จากมุมมองความรักที่ลึกซึ้งของผู้ชายคนนึงที่ชื่อว่า “ทศพล ศรีสุคนธรัตน์” ผู้ซึ่งคลุกคลีอยู่กับวงการโทรทัศน์โดยเน้นความรักของชายและหญิง และทัศนะอันอบอุ่นบวกกับประสบการณ์ความรักที่น่าประทับใจของตนเองและคนรอบข้าง และความสามารถทางการโปรดิวซ์ของ “ จาตุศม เตชะรัตนประเสริฐ” นักทำงานรุ่นใหม่ผู้ปลุกปั้นภาพยนตร์คุณภาพมาโดยตลอด มาเรียงร้อยเป็นบทภาพยนตร์โรแมนติก-ดราม่า ที่พูดถึงวัยหนุ่มสาวผู้ซึ่งค้นหาตนเอง ค้นหาเป้าหมายในชีวิตและความรัก ซึ่งเนื้อหาของเรื่องไม่ได้พูดถึงความรักที่ฉาบฉวยหรือความรักตามกระแสวัยรุ่น แต่เป็นความรักที่เกิดจากการเรียนรู้ เกิดจากการรู้จักที่จะแบ่งปันให้กับผู้อื่น ความรักที่อาจจะดำเนินไปแค่ช่วงเวลาหนึ่งแต่เต็มไปด้วยเป้าหมาย ข้อคิด จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ทำให้ความรักเกิดการแตกแขนงออกไปหาคนรอบข้างพร้อมที่จะหยิบยื่นให้กับทุกๆ คน และแน่นอนก่อให้เกิดความรักของชายหญิงอันลึกซึ้งขึ้นในใจ เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าอะไรก็พรากความรู้สึกนั้นออกไปจากใจของเขาและเธอไม่ได้
“ (ผู้กำกับ) ผมเอามาจากประสบการณ์ความรักทั้งด้านดีและไม่ดีที่ผมเคยเจอมา และเราก็ย้อนนึกกลับไปว่า คงจะดีถ้ามีความรักสักครั้งที่ทำให้เราคิดถึงมันไว้ได้ตลอดไป เป็นแรงผลักดันในชีวิตที่ทำให้เราสามารถจะลุกขึ้นมาทำอะไรได้อีกมากมาย
แล้ววันนึงมานั่งฟังเพลงอยากส่งความรักของโต๋ “อยากส่งความรัก ผ่านเพลงนี้ ให้เธอคนที่แสนดีให้รู้ทุกๆ วันที่ฉันมี เป็นได้เพราะเธอ ไม่ใช่เพราะใคร” ท่อนนี้เลย เราฟังท่อนนี้แล้วเออ ถ้าหากมีใครสักคนมาร้องเพลงนี้ให้เราฟังว่าทุกสิ่งที่เขาประสบความสำเร็จได้ก็เพราะความรักของเราที่มอบให้ มันคงเป็นความรู้สึกที่ดีมาก มันคือเจ๋งมากมันแสดงว่าความรู้สึกของเรามันมีค่ามาก ผมเลยมาคิดกันว่าจะทำยังไงดีที่จะทำให้คนมีความรู้สึกแบบนี้ ก็มานั่งคิดว่าคนส่วนมากเวลาคบกันเป็นแฟนมันก็เป็นช่วงเวลาที่ดี แต่พอเวลาเลิกกันแบบว่าไม่ไปได้ไหมจะต้องตีโพยตีพายทำร้ายตัวเองด่าโน่นด่านี่แล้วความรักมันก็พังทลายลง ทุกอย่างมันคือแง่ลบไปหมด
ผมก็มามองว่า เออ…ถ้างั้นก็เอาความรักมาเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับชีวิตกันดีกว่า เพื่อวันนึงที่เขารู้ขึ้นมาทุกวันนี้ที่เราประสบความสำเร็จได้เพราะความรักที่เขาเคยมีให้เรา เขาจะรู้สึกดีกับเรานั่นคือที่มาของหนัง
อีกเหตุผลนึงคือตัวผมเองอยากเล่นเปียโน เป็นคนชอบเปียโนมาก อยากเรียนเปียโนมาตั้งแต่เด็กแต่ไม่มีสตางค์ ชอบบีโธเฟน ชอบโมสาร์ท ชอบฟังแต่ไม่มีปัญญาเล่น เวลาเห็นคนเล่นจะชอบมาก ผู้หญิงในฝันก็ต้องเล่นเปียโนเป็น คือฝันเอาไว้อย่างนี้มาตลอด พอเราคิดแล้วเรารู้สึกว่าเปียโนเป็นดนตรีที่มันมีเสียงเยอะมาก มันถ่ายทอดความรู้สึกได้หลากหลาย เราก็เลยคิดว่าเราจะทำยังไงดี ในเมื่อเราชอบเปียโน เราก็อยากให้ทั้งพระเอกและนางเอกเป็นนักเปียโน มันเป็นแบบนี้ได้หรือเปล่า แต่จะทำยังไงให้นักเปียโน 2 คนนี้ที่จะมาเล่นเป็นพระนางเนี่ย มีอะไรที่มันแตกต่างกัน”
และแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์สมบูรณ์แบบคือนักแสดงที่มีความพร้อม สามารถตอบโจทย์ของผู้กำกับได้อย่างแม่นยำ รวมถึงความสามารถที่ตรงใจกับผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในด้านดนตรีและด้านการแสดงอย่าง แดน วรเวช ดานุวงศ์ และ ปริยฉัตร ลิ้มธรรมมหิศร 2 นักแสงนำวัยรุ่นที่กำลังอยู่ในจุดเริ่มต้นของการมีความรักในรูปแบบทีต้องการความมั่นคงในชีวิตเหมือนอย่างในภาพยนตร์ที่ต้องการนำเสนอ
“ (แดน วรเวช) เหตุผลหลักๆ ในการเลือกเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้คือ เดอะเมโลดี้เป็นภาพยนตร์โรแมนติก-ดราม่าที่มีเรื่องราวความรักดีๆ สอดแทรกตลอดทั้งเรื่อง ผมเชื่อว่าพอภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกฉายให้คนไทยได้ดู มันน่าจะทำให้เรารู้สึกได้ว่า เราควรจะมีส่วนได้ช่วยเหลือกัน เผื่อแผ่กัน แบ่งปันความรักให้กันและกัน เพราะเนื้อเรื่องนี้เขาอยากจะถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ออกมาให้คนได้รู้สึกกัน พี่โอ๊คไม่ได้เคยบอกผมว่าทำไมเรื่องนี้ต้องเป็นผมอย่างโจ่งแจ้ง พอผมอ่านบทเสร็จผมก็ตอบตกลง จนมาวันนึงได้นั่งคุยกันระหว่างรอจะถ่ายทำ ผมถามผู้กำกับว่ารู้ไหมทำไมผมถึงมาเล่นหนังเรื่องนี้ พี่โอ๊คเงียบไปและบอกไม่รู้แต่หน้าตาอยากรู้มาก (หัวเราะ) ผมบอกว่า”พี่น่ะเหมือนผม อยากทำอะไรแล้วต้องทำ พี่รู้จักหนังพี่ดีเพราะพี่อยู่กับมันตลอด ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นยังไงแต่ผมจะเล่นเรื่องนี้”
“ (ปริยฉัตร) ตอนไปแคสติ้งหนังเรื่องนี้ นอกจากบทที่ผู้กำกับจะให้ลองทำดูแล้ว พี่โอ๊คถามก่อนเลยค่ะว่าเล่นเปียโนได้ไหม ฉัตรก็บอกว่าเล่นได้ พี่เขาก็บอกว่าดีเลยเพราะพี่ต้องการให้นางเอกเล่นเปียโนได้จริงๆ ไม่หลอกคนดูทั้งพระเอกและนางเอกที่ได้มาเล่นเรื่องนี้ต้องมีความสามารถด้านดนตรีจริงๆ อย่างพี่แดนไม่ต้องพูดถึงเขาคือศิลปินจริงอย่างที่ในคาแรกเตอร์เป็น
อีกอย่างที่ฉัตรได้จากการมาเล่นเรื่องนี้คือ เรื่องความรู้สึกกับคำว่ารักนี่แหละค่ะ คือจากบทแล้วความรักแบบที่วินและหมอกมีให้กัน มันไม่ใช่ความรักแบบรุ่นพี่รักรุ่นน้อง หรือแอบจีบกันในวัยเรียน แต่มันมีความหมายอีกมุมนึงในวัยที่มากกว่านั้น มันเป็นความรักที่รู้จักที่จะแบ่งปัน รู้จักที่ใช้มัน มันเป็นความรักที่เกิดจากการเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลง การปรับตัวของคนนึงให้เข้ากับอีกคนนึงโดยไม่รู้ตัว มันไม่ใช่การฝืนทำหรือฝืนความรู้สึกอะไร ทั้งวินและหมอกใช้เวลา ใช้ความรู้สึก บางอย่างที่มันแสดงออกมาไม่ได้แต่มันกลับรู้สึกได้ มันทำให้ฉัตรรู้สึกว่าความรักมันมีอีกรูปแบบนึงที่มันสำคัญมากกว่ารักแรกพบ หรืออะไรที่ฉาบฉวย ฉัตรว่าวัยรุ่น หรือวัยทำงาน หรือคนที่กำลังจะเริ่มต้นมีความรักกับใครสักคน น่าจะได้ข้อคิด หรือการมองความรักในมุมแบบนี้ดูบ้าง จะทำให้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมีความหมายมากขึ้น และมันก็สวยงามดีทีเดียว”
เตรียมพบกับความรักของพวกเขา กับบทเพลงเพราะๆ และบรรยากาศโรแมนติกใน “The Melody รักทำนองนี้” 17 พฤศจิกายน นี้ ในโรงภาพยนตร์
บันทึกภาพ: สหมงคลฟิล์ม