คาแรกเตอร์ที่ได้รับในเรื่องนี้เป็นอย่างไร
ในเรื่องนี้ฉัตรมารับบทเป็น “หมอก” ค่ะ หมอกจะเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจดี อ่อนโยน เข้าใจและแคร์ความรู้สึกของคนอื่น เป็นคนที่มีความสุขเมื่อเห็นคนรอบข้างมีความสุข หมอกเป็นหญิงสาวที่มารักษาตัวอยู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีความสามารถในด้านดนตรี มีพรสวรรค์ ความสุขของเธอคือการแบ่งปันสิ่งต่างๆ ที่เธอสามารถทำได้ให้กับคนรอบข้าง และใช้เสียงเพลงบรรเทาความทุกข์ให้กับคนทุกคน เป็นคนใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่มีจุดหมายในชีวิต หมอกเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่รักและภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำ สิ่งนึงที่หมอกทำได้ดีคือการเล่นดนตรีที่ให้ความสุขกับทุกๆ คน หมอกค้นพบตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่เธอต้องการ และวันนึงเสียงดนตรีของหมอกก็ทำให้หมอกได้เจอกับใครดีๆ สักคนนั่นก็คือ “วิน”
ในเรื่องนี้ฉัตรมารับบทเป็น “หมอก” ค่ะ หมอกจะเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจดี อ่อนโยน เข้าใจและแคร์ความรู้สึกของคนอื่น เป็นคนที่มีความสุขเมื่อเห็นคนรอบข้างมีความสุข หมอกเป็นหญิงสาวที่มารักษาตัวอยู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีความสามารถในด้านดนตรี มีพรสวรรค์ ความสุขของเธอคือการแบ่งปันสิ่งต่างๆ ที่เธอสามารถทำได้ให้กับคนรอบข้าง และใช้เสียงเพลงบรรเทาความทุกข์ให้กับคนทุกคน เป็นคนใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่มีจุดหมายในชีวิต หมอกเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่รักและภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำ สิ่งนึงที่หมอกทำได้ดีคือการเล่นดนตรีที่ให้ความสุขกับทุกๆ คน หมอกค้นพบตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่เธอต้องการ และวันนึงเสียงดนตรีของหมอกก็ทำให้หมอกได้เจอกับใครดีๆ สักคนนั่นก็คือ “วิน”
ก่อนหน้านี้เคยเล่นแต่ละครและโฆษณาทางทีวีมา พอมาเล่นภาพยนตร์เป็นยังไงบ้าง
จากที่ฉัตรเคยเล่นละครและโฆษณามา พอมาเล่นหนังฉัตรถึงได้รู้ว่ามันยากกว่าสิ่งที่ฉัตรเคยทำมา เพราะอย่างการถ่ายทำละครก็ต้องใช้กล้อง 3 ตัว เล่นแค่เพียงครั้งหรือสองครั้งก็ผ่านแล้ว แต่ภาพยนตร์คล้ายกับการถ่ายโฆษณาเพียงแต่โฆษณามันเหมือนซีนสั้นๆ ซีนเดียวแล้วจบ แต่ภาพยนตร์มันมีฉากต่อเนื่อง มีการใช้กล้องแค่เพียงตัวเดียว เราต้องเล่นหลายรอบมาก แล้วเราต้องจำอารมณ์ที่เราเล่นไปให้ได้ ถ้าเล่นไม่เหมือนกันก็ต้องย้อนเทปกลับไปดู แล้วพอเล่นซีนนี้เสร็จก็ต้องจำให้ได้อีกว่าต่อไปจากฉากนี้เป็นฉากอะไรรู้สึกยังไงต่ออีก ขั้นตอนมันซับซ้อนมากความละเอียดที่ต้องแสดงออกทางอารมณ์มันมากกว่า แตกต่างกันในเรื่องของคาแรกเตอร์ด้วย อย่างตัวละครที่ชื่อว่า “วินดี้” ในเรื่องใต้ฟ้าตะวันเดียวผลงานที่ผ่านมาของฉัตร กับตัวบทของหมอกในเรื่องนี้มีความต่างกันเยอะมาก วินดี้จะมีลักษณะใกล้เคียงกับฉัตรมากกว่าเพราะจะเป็นรุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นเหมือนชีวิตของวัยรุ่นทั่วไปมากกว่า แต่คาแรกเตอร์ของหมอกจะเป็นผู้หญิงที่มีความคิดโตเกินกว่าตัว เป็นคนเข้าใจโลกที่ออกจะเป็นแนวปลงชีวิตด้วยซ้ำ เหมือนว่าหมอกถึงจุดอิ่มตัวของเขาแล้วในเรื่องของความคิดอะไรหลายๆ อย่าง ก็เลยรู้สึกว่าบทของหมอกเป็นอะไรที่เข้าใจได้ยากกว่าและโตกว่าฉัตรเยอะ เขาจะคิดอะไรซับซ้อนหลายชั้นเอาไว้แต่ไม่แสดงออกมาให้คนอื่นเห็น มันมีมิติมีอีกคนนึงอยู่ในตัวเขามันเลยยากมากสำหรับฉัตรค่ะ
จากที่ฉัตรเคยเล่นละครและโฆษณามา พอมาเล่นหนังฉัตรถึงได้รู้ว่ามันยากกว่าสิ่งที่ฉัตรเคยทำมา เพราะอย่างการถ่ายทำละครก็ต้องใช้กล้อง 3 ตัว เล่นแค่เพียงครั้งหรือสองครั้งก็ผ่านแล้ว แต่ภาพยนตร์คล้ายกับการถ่ายโฆษณาเพียงแต่โฆษณามันเหมือนซีนสั้นๆ ซีนเดียวแล้วจบ แต่ภาพยนตร์มันมีฉากต่อเนื่อง มีการใช้กล้องแค่เพียงตัวเดียว เราต้องเล่นหลายรอบมาก แล้วเราต้องจำอารมณ์ที่เราเล่นไปให้ได้ ถ้าเล่นไม่เหมือนกันก็ต้องย้อนเทปกลับไปดู แล้วพอเล่นซีนนี้เสร็จก็ต้องจำให้ได้อีกว่าต่อไปจากฉากนี้เป็นฉากอะไรรู้สึกยังไงต่ออีก ขั้นตอนมันซับซ้อนมากความละเอียดที่ต้องแสดงออกทางอารมณ์มันมากกว่า แตกต่างกันในเรื่องของคาแรกเตอร์ด้วย อย่างตัวละครที่ชื่อว่า “วินดี้” ในเรื่องใต้ฟ้าตะวันเดียวผลงานที่ผ่านมาของฉัตร กับตัวบทของหมอกในเรื่องนี้มีความต่างกันเยอะมาก วินดี้จะมีลักษณะใกล้เคียงกับฉัตรมากกว่าเพราะจะเป็นรุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นเหมือนชีวิตของวัยรุ่นทั่วไปมากกว่า แต่คาแรกเตอร์ของหมอกจะเป็นผู้หญิงที่มีความคิดโตเกินกว่าตัว เป็นคนเข้าใจโลกที่ออกจะเป็นแนวปลงชีวิตด้วยซ้ำ เหมือนว่าหมอกถึงจุดอิ่มตัวของเขาแล้วในเรื่องของความคิดอะไรหลายๆ อย่าง ก็เลยรู้สึกว่าบทของหมอกเป็นอะไรที่เข้าใจได้ยากกว่าและโตกว่าฉัตรเยอะ เขาจะคิดอะไรซับซ้อนหลายชั้นเอาไว้แต่ไม่แสดงออกมาให้คนอื่นเห็น มันมีมิติมีอีกคนนึงอยู่ในตัวเขามันเลยยากมากสำหรับฉัตรค่ะ
มีอุปสรรคหนักใจในการรับบทนี้บ้างไหม
ปัญหาที่ติดบ่อยๆ เลยคือเรื่องของความลึกในอารมณ์ของตัวหมอก อย่างฉัตรเวลาวิเคราะห์ตัวละครอาจจะคิดได้ตื้นเกินไป มันมีหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวหมอกเขา แต่เราคิดไม่ถึง เราไม่เคยรู้สึกแบบนี้บางอย่างมันจินตนาการไปไม่ถูก แรกๆ ก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี พี่โอ๊คผู้กำกับ (ทศพล ศรีสุคนธรัตน์) จะต้องคอยบอกคอยเตือนอยู่เสมอค่ะ อย่างเวลาเล่นพี่โอ๊คจะแนะนำหลายอย่างมาก จริงๆ เขาจะปล่อยให้เราเล่นไปตามความเข้าใจของเราก่อน แล้วถ้ามันไม่ใช่ตรงไหนเขาก็จะพยายามอธิบายอย่างง่ายให้มันชัดเจนขึ้น ให้ฉัตรเข้าใจได้มากที่สุด
ปัญหาที่ติดบ่อยๆ เลยคือเรื่องของความลึกในอารมณ์ของตัวหมอก อย่างฉัตรเวลาวิเคราะห์ตัวละครอาจจะคิดได้ตื้นเกินไป มันมีหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวหมอกเขา แต่เราคิดไม่ถึง เราไม่เคยรู้สึกแบบนี้บางอย่างมันจินตนาการไปไม่ถูก แรกๆ ก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี พี่โอ๊คผู้กำกับ (ทศพล ศรีสุคนธรัตน์) จะต้องคอยบอกคอยเตือนอยู่เสมอค่ะ อย่างเวลาเล่นพี่โอ๊คจะแนะนำหลายอย่างมาก จริงๆ เขาจะปล่อยให้เราเล่นไปตามความเข้าใจของเราก่อน แล้วถ้ามันไม่ใช่ตรงไหนเขาก็จะพยายามอธิบายอย่างง่ายให้มันชัดเจนขึ้น ให้ฉัตรเข้าใจได้มากที่สุด
ดราม่าหนักมากไหนเรื่องนี้สำหรับฉัตร
จริงๆ เรื่องนี้ไม่ได้ถือว่าเป็นบทที่หนักทางดราม่ามากเกินไป มีบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับเรียกว่าหนัก เพราะส่วนใหญ่เนื้อเรื่องจะเน้นความผูกพันของพระเอกนางเอกมากกว่า ความเอาใจเขามาใส่ใจเรา ความรักที่ทำให้ใครสักคนเปลี่ยนมุมมองใหม่ได้ อารมณ์หนักๆ น่าจะเป็นของพี่แดนมากกว่า
จริงๆ เรื่องนี้ไม่ได้ถือว่าเป็นบทที่หนักทางดราม่ามากเกินไป มีบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับเรียกว่าหนัก เพราะส่วนใหญ่เนื้อเรื่องจะเน้นความผูกพันของพระเอกนางเอกมากกว่า ความเอาใจเขามาใส่ใจเรา ความรักที่ทำให้ใครสักคนเปลี่ยนมุมมองใหม่ได้ อารมณ์หนักๆ น่าจะเป็นของพี่แดนมากกว่า
บุคลิกของฉัตรออกจะขี้เล่นบ้างมากกว่าโรแมนติกหรือเปล่า
ใช่ค่ะจริงๆ ฉัตรเป็นคนไม่ค่อยโรแมนติกเลย ออกจะขี้เล่นและมีมุมที่ห้าวๆ โก๊ะๆ ด้วยซ้ำ มุมโรแมนติกหรือหวานๆ เท่าที่จำได้แทบไม่มีเลย (หัวเราะ) พอมาเล่นบทแบบนี้ก็จะรู้สึกว่าขัดกับบุคลิกของตัวเอง แต่ก็ตั้งใจที่จะเล่นบทแบบนี้มาก
ใช่ค่ะจริงๆ ฉัตรเป็นคนไม่ค่อยโรแมนติกเลย ออกจะขี้เล่นและมีมุมที่ห้าวๆ โก๊ะๆ ด้วยซ้ำ มุมโรแมนติกหรือหวานๆ เท่าที่จำได้แทบไม่มีเลย (หัวเราะ) พอมาเล่นบทแบบนี้ก็จะรู้สึกว่าขัดกับบุคลิกของตัวเอง แต่ก็ตั้งใจที่จะเล่นบทแบบนี้มาก
แล้วก่อนถ่ายมีการไปเวริกช็อปล่วงหน้าบ้างไหม
ก่อนที่จะมีการถ่ายทำก็จะมีการเวิรกช็อปกันก่อน มาทวนบทด้วยกันกับพี่แดน พี่โอ๊คจะบอกความรู้สึกของแต่ละฉาก และก็คุยในเรื่องของคาแรกเตอร์ และคุยเรื่องราวของบททั้งหมด แต่ละซีนแต่ละอารมณ์แตกต่างกันยังไงบ้าง แต่เข้าฉากจริงไม่มีแอคติ้งโค้ช ก็ต้องทวนเรื่องราวเอาเอง พี่โอ๊คกับพี่แดนก็จะช่วยในเรื่องนี้ได้เยอะค่ะ
ก่อนที่จะมีการถ่ายทำก็จะมีการเวิรกช็อปกันก่อน มาทวนบทด้วยกันกับพี่แดน พี่โอ๊คจะบอกความรู้สึกของแต่ละฉาก และก็คุยในเรื่องของคาแรกเตอร์ และคุยเรื่องราวของบททั้งหมด แต่ละซีนแต่ละอารมณ์แตกต่างกันยังไงบ้าง แต่เข้าฉากจริงไม่มีแอคติ้งโค้ช ก็ต้องทวนเรื่องราวเอาเอง พี่โอ๊คกับพี่แดนก็จะช่วยในเรื่องนี้ได้เยอะค่ะ
มารับบทเรื่องนี้ได้ยังไง
ตอนนั้นมีคนบอกให้มาลองแคสเรื่องนี้ดู ตั้งแต่ปี 52 ฉัตรเพิ่งจะอายุ 17 เอง เรื่องนี้ผ่านมานานมากใช้เวลากว่า 2 ปีกว่าจะได้ถ่ายทำจริงจัง ตอนมาแคสติ้งฉัตรยังไม่รู้เลยค่ะว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร บทเป็นยังไง ก็ได้มาอ่านบทวันแคสติ้งนิดหน่อย ตอนนั้นพี่โอ๊คให้โจทย์มาว่าฉัตรสนิทกับน้องอายุเกือบ 10 ขวบคนนึงชื่อว่าน้องพลอย เป็นคนที่สนิทกันมากแล้วน้องก็ป่วยต้องเข้ารับการรักษา เราซึ่งสนิทกับน้องพลอยมากไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องพลอยมารู้ทีหลังน้องพลอยก็อาการหนักมากแล้ว ต้องแสดงอารมณ์ดราม่าร้องไห้อะไรแบบนี้ค่ะ แล้วพี่โอ๊คก็มีให้ร้องเพลง อยู่ๆ ก็บอกให้ร้องเพลงขึ้นมา 1 เพลง ฉัตรก็คิดอยู่ตั้งนานว่าจะร้องเพลงอะไรดี ซึ่งจริงๆ ฉัตรร้องเพลงไม่เก่งเลย การร้องเพลงเป็นเรื่องที่ยากมาก ตอนนั้นร้องเพลง “กว่าจะรักกัน” เพราะช่วงนั้นเพิ่งจบม.6 มาใหม่ๆ กำลังอินกับเพลงนี้เลย พี่โอ๊คยังแซวว่าเลือกร้องเพลงได้เก่ามาก (หัวเราะ) เลือกเพลงเก่าประมาณรุ่นพี่โอ๊คเลยนะ
ตอนนั้นมีคนบอกให้มาลองแคสเรื่องนี้ดู ตั้งแต่ปี 52 ฉัตรเพิ่งจะอายุ 17 เอง เรื่องนี้ผ่านมานานมากใช้เวลากว่า 2 ปีกว่าจะได้ถ่ายทำจริงจัง ตอนมาแคสติ้งฉัตรยังไม่รู้เลยค่ะว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร บทเป็นยังไง ก็ได้มาอ่านบทวันแคสติ้งนิดหน่อย ตอนนั้นพี่โอ๊คให้โจทย์มาว่าฉัตรสนิทกับน้องอายุเกือบ 10 ขวบคนนึงชื่อว่าน้องพลอย เป็นคนที่สนิทกันมากแล้วน้องก็ป่วยต้องเข้ารับการรักษา เราซึ่งสนิทกับน้องพลอยมากไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องพลอยมารู้ทีหลังน้องพลอยก็อาการหนักมากแล้ว ต้องแสดงอารมณ์ดราม่าร้องไห้อะไรแบบนี้ค่ะ แล้วพี่โอ๊คก็มีให้ร้องเพลง อยู่ๆ ก็บอกให้ร้องเพลงขึ้นมา 1 เพลง ฉัตรก็คิดอยู่ตั้งนานว่าจะร้องเพลงอะไรดี ซึ่งจริงๆ ฉัตรร้องเพลงไม่เก่งเลย การร้องเพลงเป็นเรื่องที่ยากมาก ตอนนั้นร้องเพลง “กว่าจะรักกัน” เพราะช่วงนั้นเพิ่งจบม.6 มาใหม่ๆ กำลังอินกับเพลงนี้เลย พี่โอ๊คยังแซวว่าเลือกร้องเพลงได้เก่ามาก (หัวเราะ) เลือกเพลงเก่าประมาณรุ่นพี่โอ๊คเลยนะ
ตอนนั้นรู้เหตุผลไหมว่าทำไมพี่โอ๊คถึงเลือกฉัตรมาเป็นนางเอกเรื่องนี้
ตอนนั้นไม่รู้ค่ะ มารู้ทีหลังพี่โอ๊คเล่าให้ฟังว่าเคยเห็นฉัตรในโฆษณาตัวนึงทางโรงภาพยนตร์แล้วชอบมากอยากได้มาแคสบทนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะไปหาฉัตรจากไหน ติดต่อยังไงก็ไม่มีใครรู้ แล้ววันนึงฉัตรก็มาแคสติ้งพี่โอ๊คก็ดีใจมาก ถามฉัตรว่ามาได้ไง (หัวเราะ) แต่ที่ฉัตรอึ้งไปกว่านั้นคือ พี่โอ๊คบอกว่าที่เลือกฉัตรเพราะฉัตรหน้าป่วย ตอนแรกที่ได้ยินตกใจมากทำไมต้องหน้าป่วย หน้าเราไม่ดีหรือว่ามันยังไงหรอ แต่พี่โอ๊คอธิบายว่าหน้าป่วยของเขาไม่ได้หมายถึงคนป่วย แต่หมายถึงดูแล้วเชื่อว่ามีความน่าสงสาร เห็นแล้วเชื่อว่ามีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ แล้วปรกติฉัตรเป็นคนหน้าซีดอยู่แล้วด้วย แต่งหน้าให้ป่วยง่ายดี (หัวเราะ) อันนี้เป็นเหตุผลหลักที่เลือกฉัตรหรือเปล่าก็ไม่รู้ค่ะ
ตอนนั้นไม่รู้ค่ะ มารู้ทีหลังพี่โอ๊คเล่าให้ฟังว่าเคยเห็นฉัตรในโฆษณาตัวนึงทางโรงภาพยนตร์แล้วชอบมากอยากได้มาแคสบทนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะไปหาฉัตรจากไหน ติดต่อยังไงก็ไม่มีใครรู้ แล้ววันนึงฉัตรก็มาแคสติ้งพี่โอ๊คก็ดีใจมาก ถามฉัตรว่ามาได้ไง (หัวเราะ) แต่ที่ฉัตรอึ้งไปกว่านั้นคือ พี่โอ๊คบอกว่าที่เลือกฉัตรเพราะฉัตรหน้าป่วย ตอนแรกที่ได้ยินตกใจมากทำไมต้องหน้าป่วย หน้าเราไม่ดีหรือว่ามันยังไงหรอ แต่พี่โอ๊คอธิบายว่าหน้าป่วยของเขาไม่ได้หมายถึงคนป่วย แต่หมายถึงดูแล้วเชื่อว่ามีความน่าสงสาร เห็นแล้วเชื่อว่ามีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ แล้วปรกติฉัตรเป็นคนหน้าซีดอยู่แล้วด้วย แต่งหน้าให้ป่วยง่ายดี (หัวเราะ) อันนี้เป็นเหตุผลหลักที่เลือกฉัตรหรือเปล่าก็ไม่รู้ค่ะ
หลังจากที่ได้เลือกเล่นแล้ว ได้อ่านบททั้งหมดแล้วมีความรู้สึกยังไงกับเรื่องราวนี้
ตอนนั้นรู้เลยว่าต้องทำการบ้านหนักแน่ๆ เพราะเป็นอะไรที่ใหม่มากสำหรับฉัตร คาแรกเตอร์แบบนี้ฉัตรไม่เคยเล่นมาก่อนแล้วฉัตรเองก็ยังใหม่มากสำหรับการเล่นภาพยนตร์ แล้วเล่นครั้งแรกเจอกับบทที่มีความคิดซับซ้อน มันท้าทายมากกังวลอยู่เหมือนกัน ตื่นเต้นมากยิ่งใกล้ถึงวันจะเปิดกล้องยิ่งตื่นเต้น จริงๆ โดยส่วนตัวแล้วฉัตรไม่ค่อยชอบดูหนังที่เป็นแนวโรแมนติกดราม่า ฉัตรจะชอบดูหนังที่เป็นแนวบู๊ล้างผลาญ สยองขวัญอะไรแบบนั้น แต่ฉัตรก็อยากจะเล่นให้ได้ทุกบทบาท อย่างเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตอนแรกก็ไม่อินกับบทเท่าไหร่ จนกระทั่งมาทวนบทกับพี่โอ๊ค ได้รู้เรื่องราวที่มันลึกกว่าตัวหนังสือในบทจากความรู้สึกของพี่โอ๊ค เลยทำให้บทมันมีมิติมากขึ้น เข้าใจกับเนื้อเรื่องมากขึ้นก็เริ่มอินกับบทมากขึ้นค่ะ
ตอนนั้นรู้หรือยังว่ารับบทคู่กับพี่แดน (แดน วรเวช ดานุวงศ์)
ทราบแล้วค่ะ ตอนนั้นได้รู้ว่าเล่นคู่กับพี่แดนก็ตื่นเต้นหนักเข้าไปใหญ่ เพราะรู้มาว่าพี่แดนเป็นนักแสดงมีประสบการณ์การทำงานมาเยอะมาก เก่งหลายด้าน ฉัตรเกร็งมากเลยค่ะเพราะฉัตรเป็นนักแสดงใหม่กลัวว่าตัวเองจะทำอะไรช้าแล้วจะทำให้พี่เขาหงุดหงิดไหม กองถ่ายหงุดหงิดไหม พี่แดนจะยอมรับในการแสดงของเราไหม การบ้านและความกังวลเต็มหัวไปหมดเลยค่ะ และพอมาเจอกันจริงๆ ในคิวแรกพี่แดนก็นิ่งมาก เงียบไม่ค่อยคุยกับใคร ฉัตรนี่ซีดเลยไอ้ที่กลัวมาทั้งหมดกลัวหนักเข้าไปอีก (หัวเราะ) แต่พอได้เข้าฉากกันถึงได้รู้ว่าจริงๆ พี่แดนเองก็เกร็งเหมือนกัน พี่แดนก็ช่วยสอนหลายอย่างในเรื่องของการแสดง ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ก็เริ่มคุ้นเคยบ้าง พี่แดนก็มียิงมุข เริ่มมีเรื่องขำๆ มาปล่อยในกองถ่ายอะไรแบบนี้ บรรยากาศก็เลยสบายมากขึ้น ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่าตอนแรกเลยเคยเห็นแต่พี่แดนเล่นหนังแนวตลกใช่ไหมคะ เราก็คาดหวังว่าจะได้เจอพี่แดนในลุคนั้นก่อนไง แต่พอวันมาเจอจริงๆ มันไม่ใช่พี่แดนเงียบมากและก็มีมุมส่วนตัวของเขา แต่ทุกอย่างก็ปรับเข้าหากันได้เร็วมาก เหมือนกับว่าพี่แดนเขาอยู่ตรงไหนก็ได้ไม่ซีเรียสแรกๆ เขาก็มีมุขกับเพื่อนของเขาที่ไปด้วย หลังๆ มามุขก็เริ่มกระจายไปทั่วกอง ทำให้สนิทกันง่ายมากยิ่งขึ้นค่ะ
ตอนนั้นรู้เลยว่าต้องทำการบ้านหนักแน่ๆ เพราะเป็นอะไรที่ใหม่มากสำหรับฉัตร คาแรกเตอร์แบบนี้ฉัตรไม่เคยเล่นมาก่อนแล้วฉัตรเองก็ยังใหม่มากสำหรับการเล่นภาพยนตร์ แล้วเล่นครั้งแรกเจอกับบทที่มีความคิดซับซ้อน มันท้าทายมากกังวลอยู่เหมือนกัน ตื่นเต้นมากยิ่งใกล้ถึงวันจะเปิดกล้องยิ่งตื่นเต้น จริงๆ โดยส่วนตัวแล้วฉัตรไม่ค่อยชอบดูหนังที่เป็นแนวโรแมนติกดราม่า ฉัตรจะชอบดูหนังที่เป็นแนวบู๊ล้างผลาญ สยองขวัญอะไรแบบนั้น แต่ฉัตรก็อยากจะเล่นให้ได้ทุกบทบาท อย่างเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตอนแรกก็ไม่อินกับบทเท่าไหร่ จนกระทั่งมาทวนบทกับพี่โอ๊ค ได้รู้เรื่องราวที่มันลึกกว่าตัวหนังสือในบทจากความรู้สึกของพี่โอ๊ค เลยทำให้บทมันมีมิติมากขึ้น เข้าใจกับเนื้อเรื่องมากขึ้นก็เริ่มอินกับบทมากขึ้นค่ะ
ตอนนั้นรู้หรือยังว่ารับบทคู่กับพี่แดน (แดน วรเวช ดานุวงศ์)
ทราบแล้วค่ะ ตอนนั้นได้รู้ว่าเล่นคู่กับพี่แดนก็ตื่นเต้นหนักเข้าไปใหญ่ เพราะรู้มาว่าพี่แดนเป็นนักแสดงมีประสบการณ์การทำงานมาเยอะมาก เก่งหลายด้าน ฉัตรเกร็งมากเลยค่ะเพราะฉัตรเป็นนักแสดงใหม่กลัวว่าตัวเองจะทำอะไรช้าแล้วจะทำให้พี่เขาหงุดหงิดไหม กองถ่ายหงุดหงิดไหม พี่แดนจะยอมรับในการแสดงของเราไหม การบ้านและความกังวลเต็มหัวไปหมดเลยค่ะ และพอมาเจอกันจริงๆ ในคิวแรกพี่แดนก็นิ่งมาก เงียบไม่ค่อยคุยกับใคร ฉัตรนี่ซีดเลยไอ้ที่กลัวมาทั้งหมดกลัวหนักเข้าไปอีก (หัวเราะ) แต่พอได้เข้าฉากกันถึงได้รู้ว่าจริงๆ พี่แดนเองก็เกร็งเหมือนกัน พี่แดนก็ช่วยสอนหลายอย่างในเรื่องของการแสดง ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ก็เริ่มคุ้นเคยบ้าง พี่แดนก็มียิงมุข เริ่มมีเรื่องขำๆ มาปล่อยในกองถ่ายอะไรแบบนี้ บรรยากาศก็เลยสบายมากขึ้น ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่าตอนแรกเลยเคยเห็นแต่พี่แดนเล่นหนังแนวตลกใช่ไหมคะ เราก็คาดหวังว่าจะได้เจอพี่แดนในลุคนั้นก่อนไง แต่พอวันมาเจอจริงๆ มันไม่ใช่พี่แดนเงียบมากและก็มีมุมส่วนตัวของเขา แต่ทุกอย่างก็ปรับเข้าหากันได้เร็วมาก เหมือนกับว่าพี่แดนเขาอยู่ตรงไหนก็ได้ไม่ซีเรียสแรกๆ เขาก็มีมุขกับเพื่อนของเขาที่ไปด้วย หลังๆ มามุขก็เริ่มกระจายไปทั่วกอง ทำให้สนิทกันง่ายมากยิ่งขึ้นค่ะ
ประทับใจอะไรในตัวพี่แดนมั่งหลังจากที่ได้ทำงานร่วมกันแล้ว
เยอะค่ะ แต่รวมๆ แล้วน่าจะเป็นเรื่องของการทำงานมากกว่า เพราะพี่แดนเป็นคนทำงานเก่งสั่งปุ๊ปได้ปั๊ป แล้วเขาก็เป็นคนมีความสามารถหลายอย่าง เรื่องการแสดง เรื่องร้องเพลง แล้วก็มาเป็นผู้กำกับ มาเป็นโปรดิวเซอร์ด้วย แล้วเขาก็เป็นพี่ที่ดีคนนึงเวลาที่เรางงกับการแสดงพี่เขาก็จะคอยแนะคอยสอนว่าตรงนี้ควรจะเล่นอารมณ์ประมาณไหน แล้วก็ไม่ทำให้เขารู้สึกหนักใจอะไร ความเป็นกันเองของพี่เขาด้วยซ้ำที่ทำให้เรามีความเกรงใจ มีความเชื่อมั่นในความคิดของเขา
เยอะค่ะ แต่รวมๆ แล้วน่าจะเป็นเรื่องของการทำงานมากกว่า เพราะพี่แดนเป็นคนทำงานเก่งสั่งปุ๊ปได้ปั๊ป แล้วเขาก็เป็นคนมีความสามารถหลายอย่าง เรื่องการแสดง เรื่องร้องเพลง แล้วก็มาเป็นผู้กำกับ มาเป็นโปรดิวเซอร์ด้วย แล้วเขาก็เป็นพี่ที่ดีคนนึงเวลาที่เรางงกับการแสดงพี่เขาก็จะคอยแนะคอยสอนว่าตรงนี้ควรจะเล่นอารมณ์ประมาณไหน แล้วก็ไม่ทำให้เขารู้สึกหนักใจอะไร ความเป็นกันเองของพี่เขาด้วยซ้ำที่ทำให้เรามีความเกรงใจ มีความเชื่อมั่นในความคิดของเขา
แล้วได้ทำงานร่วมกับพี่โอ๊ค (ผู้กำกับ) เป็นยังไงบ้าง
ตอนแรกเลยไม่รู้จักพี่โอ๊คมาก่อน แต่พี่โอ๊คเป็ นคนที่เจอกันครั้งแรกก็สามารถคุยกันได้น้ำไหลไฟดับ เป็นคนที่เปิดเผย ยิ้มตลอดเวลา เลยทำให้คุยกันง่ายขึ้น เข้าใจในการทำงานและตัวเขามากขึ้น มารู้ทีหลังว่านี่ก็เป็นเรื่องแรกของพี่โอ๊คเหมือนกันและเขาก็ใช้เวลากับผลงานชิ้นนี้มานานมาก ทุ่มเทกับมันมาก เขาเตรียมตัวมากว่า 2 ปี ทั้งเขียนบทเอง ทั้งเดินทางไปแม่ฮ่องสอนเองดูโลเกชั่นเองหมดทุกอย่าง เป็นผู้กำกับที่ละเอียดมาก นิดนึงก็ไม่ได้ ยิ่งเรื่องการแสดงแล้วเนี่ยยิ่ง
ไม่ได้ใหญ่เลยกว่าฉัตรจะผ่านแต่ละเทคพี่โอ๊คต้องติวหลายรอบมาก ทุกฉากพี่โอ๊คจะละเอียดหมด ทำให้ฉัตรรู้สึกว่าซีนนึงของหนังเรื่องนี้มันใช้เวลาและความประณีตมาก มันต้องเล่นให้ถึงกับตัวละครนั้นจริงๆ ถึงจะผ่านในแต่ละฉาก
ในเวลาทำงานพี่โอ๊คจะเป็นคนพูดเสียงดังนิดหน่อยอาจจะดูเหมือนว่าดุ เวลาทำงานก็จะซีเรียสนิดนึงแต่เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะรู้ว่าเรื่องนี้เขาตั้งใจทำมากๆ บางคนอาจจะเห็นแค่มุมทำงานของพี่โอ๊ค แต่ตัวจริงนอกเวลาที่ทำงานแล้ว เขาเป็นคนใจดี สนุกสนาน ขำ เฮฮาเหมือนกับคนอื่นๆ เขา
ตอนแรกเลยไม่รู้จักพี่โอ๊คมาก่อน แต่พี่โอ๊คเป็ นคนที่เจอกันครั้งแรกก็สามารถคุยกันได้น้ำไหลไฟดับ เป็นคนที่เปิดเผย ยิ้มตลอดเวลา เลยทำให้คุยกันง่ายขึ้น เข้าใจในการทำงานและตัวเขามากขึ้น มารู้ทีหลังว่านี่ก็เป็นเรื่องแรกของพี่โอ๊คเหมือนกันและเขาก็ใช้เวลากับผลงานชิ้นนี้มานานมาก ทุ่มเทกับมันมาก เขาเตรียมตัวมากว่า 2 ปี ทั้งเขียนบทเอง ทั้งเดินทางไปแม่ฮ่องสอนเองดูโลเกชั่นเองหมดทุกอย่าง เป็นผู้กำกับที่ละเอียดมาก นิดนึงก็ไม่ได้ ยิ่งเรื่องการแสดงแล้วเนี่ยยิ่ง
ไม่ได้ใหญ่เลยกว่าฉัตรจะผ่านแต่ละเทคพี่โอ๊คต้องติวหลายรอบมาก ทุกฉากพี่โอ๊คจะละเอียดหมด ทำให้ฉัตรรู้สึกว่าซีนนึงของหนังเรื่องนี้มันใช้เวลาและความประณีตมาก มันต้องเล่นให้ถึงกับตัวละครนั้นจริงๆ ถึงจะผ่านในแต่ละฉาก
ในเวลาทำงานพี่โอ๊คจะเป็นคนพูดเสียงดังนิดหน่อยอาจจะดูเหมือนว่าดุ เวลาทำงานก็จะซีเรียสนิดนึงแต่เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะรู้ว่าเรื่องนี้เขาตั้งใจทำมากๆ บางคนอาจจะเห็นแค่มุมทำงานของพี่โอ๊ค แต่ตัวจริงนอกเวลาที่ทำงานแล้ว เขาเป็นคนใจดี สนุกสนาน ขำ เฮฮาเหมือนกับคนอื่นๆ เขา
หลังจากที่ได้อ่านบทแล้ว รู้แล้วว่าเรื่องนี้ต้องไปแต่ละที่ไกลมาก หนทางคดเคี้ยวมากตอนนั้นรู้สึกยังไงมั่ง
หลังจากที่ฉัตรได้อ่านบทเรื่องนี้แล้วก็ได้รู้ว่าจะต้องเตรียมตัวเตรียมร่างกายเดินทางไปถ่ายทำกันที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนต้องตะลุยไปกันหลายที่มากทั้งปางอุ๋ง ดอยแม่อูคอ ห้วยน้ำดัง และอีกหลายๆ ที่ก็ตื่นเต้นดีค่ะ จริงๆ ฉัตรเป็นคนชอบเที่ยวอยู่แล้วและยิ่งที่บ้านนี่ก็เป็นคนภาคเหนือ คุณแม่เป็นคนเชียงรายแล้วฉัตรก็ชอบที่เที่ยวที่หนาวๆ อากาศดีๆ อยู่แล้ว แต่ปรกติไม่ค่อยจะได้มีเวลาไปเที่ยวและก็ยังไปเที่ยวไม่ครบทุกที่ ได้มาถ่ายทำเรื่องนี้เรียกว่าคุ้มค่ามาก ได้ไปในที่แปลกใหม่ที่เราไม่เคยได้ไปหลายที่มาก ถ้ามีโอกาสก็อยากจะกลับไปเที่ยวอีกแต่คราวนี้ขอไปเที่ยวจริงๆ นะ ไม่เอาแบบไปทำงานเพราะมันไม่ได้เที่ยวอย่างเต็มอิ่ม แต่ต้องขอเช็คสภาพอากาศด้วยว่ามันจะไม่เป็นแบบที่เจอมาระหว่างถ่ายทำ เพราะเจอทั้งพายุหมอก พายุฝนกระหน่ำกันจนถ่ายหนังไม่ได้ จะได้เที่ยวได้อย่างสบายใจเพราะแม่ฮ่องสอนก็ขึ้นชื่อเรื่องอากาศดีอยู่แล้ว
ได้ไปถ่ายทำที่ไหนมาบ้างของแม่ฮ่องสอน
คิวแรกของการถ่ายทำก็ไปที่ดอยแม่อูคอค่ะ ที่นั่นจะเป็นทุ่งดอกบัวตองจริงๆ ไม่น่าจะเรียกว่าทุ่งนะคะเพราะทั้งภูเขาเป็นดอกบัวตอบเหลืองเต็มทั้งเขาเลยพอไปแล้วได้เห็นกับตามันประทับใจมาก ตื่นออกมาจากรถตู้แล้วตะลึงเลย แต่คิวนั้นมีอุปสรรคเรื่องการถ่ายทำตลอด เพราะว่าด้วยความใหม่ของฉัตร อย่างที่บอกฉัตรยังไม่เคยถ่ายหนัง ทุกอย่างใหม่หมดสำหรับฉัตรเลยทำให้คิวแรกถ่ายทำกันได้ช้ามาก เพราะยังปรับตัวไม่ได้ วันนั้นหลายเทคมาก วันนั้นรู้ซึ้งเลยว่าถ่ายหนังมันยากตรงไหน อีกเรื่องก็จะเป็นเรื่องของสถานที่เพราะที่ทุ่งดอกบัวตองเป็นสถานที่ท่องเที่ยวคนจะเยอะมาก กว่าจะหลบคนได้ แล้ววันนั้นมีกองถ่ายอื่นมาถ่ายวันเดียวกับพวกเราด้วยต้องหลบมุมกล้องกันวุ่นวาย บวกกับนักท่องเที่ยวที่มาชมก็มาดูกันเยอะมากบางทีฉัตรก็หลุดจากสมาธิของหนังมาก ทั้งที่วันนั้นฉัตรกับพี่แดนก็ถ่ายฉากง่ายๆ ไม่มีบทพูดอะไรมากแค่ตะโกนดังๆ จ้องตากันนิดหน่อยแค่นี้แหละค่ะ กว่าจะได้ภาพประทับใจของฉากนี้มาก็ใช้เวลากันทั้งวันเลย
แล้วก็มีฉากที่เราต้องไปถ่ายทำที่ห้วยน้ำดัง รู้สึกว่าจะเป็นคิวที่สอง ตอนนั้นฉัตรต้องไปอยู่แม่ฮ่องสอนประมาณอาทิตย์กว่าๆ ที่แม่ฮ่องสอนนี่ขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องของการเดินทางไปที่ยากลำบาก เราจะต้องเจอกับโค้งเยอะมาก แต่ว่าฉัตรไม่หวั่นเพราะฉัตรหลับตลอดทาง (หัวเราะ) เลยไม่ค่อยจะรู้สึกว่า โค้งเยอะขนาดไหน คนเมารถอาการเขาเป็นยังไง แล้วเป็นการถ่ายทำที่หนักหนาสาหัสอย่างไม่รู้ลืมเลย เพราะว่าคิวนั้นเราต้องออกเดินทางจากที่พักในตัวเมืองไปห้วยน้ำดังกันตั้งแต่ตี 2 เพื่อจะต้องถ่ายฉากที่วินกับหมอกนั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ ทีมงานทุกคนง่วงนอนมาก พอเราไปก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ฝนตกมาเรื่อยๆ หมอกก็ตกหนักมากจนมองอะไรไม่เห็น แล้วห้วยน้ำดังอากาศมันหนาวอยู่แล้วพอมาเจอกับฝนยิ่งหนาวทรมานมากขึ้นไปอีก เวลาพูดปากสั่นแหง๊กๆ ทีมงานก็รอกันว่าเมื่อไหร่ฝนจะหยุดหรือหมอกจะจาง แต่ไม่มีวี่แววเลย พี่โอ๊คตัดสินใจตั้งกองถ่ายเลยถ่ายมันท่ามกลางฝนและหมอกนี่แหละ
แล้วอย่างที่บอกฉากนี้เป็นฉากที่จะต้องเห็นพระอาทิตย์ขึ้นและวิวทะเลหมอกอย่างสวยงาม ต้องห่มผ้าผืนเดียวกัน ทั้งที่ความเป็นจริงแทบจะแย่งผ้าห่มกันอยู่แล้ว ก็ต้องพยายามดื่มน้ำอุ่นตลอดเวลา และก็มีถุงน้ำร้อนมาให้ใช้ ทีมงานก็นั่งรอเวลาฟ้าสางแต่พอทุกอย่างสว่างจ้าหมดแล้ว พระอาทิตย์ก็ยังไม่เห็นเป็นดวงสักที เราก็เลยต้องจินตนาการเอาเองว่าภาพข้างหน้าเป็นภาพพระอาทิตย์ขึ้นอย่างสวยงาม ทั้งที่ความเป็นจริงมีหมอกหนาทึบมาก ไม่จางลงเลยแม้กระทั่งตอนเราขนของกลับกันลำบากและทรมานกันมากค่ะวันนั้น เสร็จแล้วเราก็ต้องมีฉากที่ไปถ่ายตามท้องถนนอีกมีอุปกรณ์การริกรถเยอะแยะ แต่สภาพอากาศวันนั้นไม่เป็นใจเลย ระหว่างที่เราเตรียมจะขึ้นรถกันก็มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นมากมาย เพราะระยะการมองเห็นมันน้อยมาก มันเต็มไปด้วยหมอกหมดมองไม่เห็นทางเลย อันตรายมากเพราะทางมันเป็นเขาชันคดเคี้ยวไปมา ถนนก็เล็ก ทีมงานก็ขึ้นไปติดฝนและหมอกกันหมดอยู่ที่ดอยกิ่วลมไปไหนไม่ได้ ซึ่งจริงๆ แล้วเราต้องเดินทางไปถ่ายกันต่อที่ปางอุ๋ง ปรากฏว่าสถานการณ์ไม่ดีขึ้น พี่โอ๊คเลยตัดสินใจกลับไปนอนที่เมืองก่อนแปปนึงเพื่อกลางดึกคืนนี้เมื่ออากาศดีขึ้นก็จะออกเดินทางไปถ่ายที่ปางอุ๋งกันต่อ
วันนั้นได้นอนแปปเดียวจริงๆ แล้วก็ไปปางอุ๋งกันต่อไปถึงก็ไปถ่ายฉากที่วินกับหมอกพากันไปกางเต้นท์ที่ปางอุ๋งแต่ดันกางเต้นท์ไม่สำเร็จเลยต้องเอาถุงนอนออกมานอนกางดูดาวกันนอกเต้นท์ แล้วความจริงคือมันหนาวมาก พื้นก็เย็นมากยิ่งใกล้เช้ายิ่งหนาวสุดๆ วันนั้นนอนตากน้ำค้างถ่ายฉากนี้ไปจนแทบจะหลับจริงๆ พอพระอาทิตย์ขึ้นก็ไปลงแพไม้ไผ่ของชาวบ้านที่ทะเลสาบในปางอุ๋งต่อ เสียดายที่วันนั้นไม่มีหมอกเลี่ยน้ำอย่างที่พี่โอ๊คจินตนาการเอาไว้ทั้งที่ก่อนหน้านี้แทบจะเป็นพายุหมอกอยู่แล้ว บรรยากาศที่ปางอุ๋งดีมากค่ะ วันนั้นไปถ่ายฉากล่องแพกันสองคน แล้ววินก็ยุให้หมอกร้องเพลงให้ฟัง หมอกก็ต้องร้องออกมาแบบเพี้ยนๆ คือวันนั้นทุกอย่างโอเคหมดแล้ว อากาศดีมาก มีหงส์มาเล่นน้ำ มีลมพัดเอื่อยๆ แต่ถูกกลบบรรยากาศหมดด้วยเสียงเพี้ยนๆ ของฉัตร ก็สงสารนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยววันนั้นมาก ที่ต้องมาทนฟังเสียงฉัตรร้องกลางทะเลสาบ (หัวเราะ)
คิวแรกของการถ่ายทำก็ไปที่ดอยแม่อูคอค่ะ ที่นั่นจะเป็นทุ่งดอกบัวตองจริงๆ ไม่น่าจะเรียกว่าทุ่งนะคะเพราะทั้งภูเขาเป็นดอกบัวตอบเหลืองเต็มทั้งเขาเลยพอไปแล้วได้เห็นกับตามันประทับใจมาก ตื่นออกมาจากรถตู้แล้วตะลึงเลย แต่คิวนั้นมีอุปสรรคเรื่องการถ่ายทำตลอด เพราะว่าด้วยความใหม่ของฉัตร อย่างที่บอกฉัตรยังไม่เคยถ่ายหนัง ทุกอย่างใหม่หมดสำหรับฉัตรเลยทำให้คิวแรกถ่ายทำกันได้ช้ามาก เพราะยังปรับตัวไม่ได้ วันนั้นหลายเทคมาก วันนั้นรู้ซึ้งเลยว่าถ่ายหนังมันยากตรงไหน อีกเรื่องก็จะเป็นเรื่องของสถานที่เพราะที่ทุ่งดอกบัวตองเป็นสถานที่ท่องเที่ยวคนจะเยอะมาก กว่าจะหลบคนได้ แล้ววันนั้นมีกองถ่ายอื่นมาถ่ายวันเดียวกับพวกเราด้วยต้องหลบมุมกล้องกันวุ่นวาย บวกกับนักท่องเที่ยวที่มาชมก็มาดูกันเยอะมากบางทีฉัตรก็หลุดจากสมาธิของหนังมาก ทั้งที่วันนั้นฉัตรกับพี่แดนก็ถ่ายฉากง่ายๆ ไม่มีบทพูดอะไรมากแค่ตะโกนดังๆ จ้องตากันนิดหน่อยแค่นี้แหละค่ะ กว่าจะได้ภาพประทับใจของฉากนี้มาก็ใช้เวลากันทั้งวันเลย
แล้วก็มีฉากที่เราต้องไปถ่ายทำที่ห้วยน้ำดัง รู้สึกว่าจะเป็นคิวที่สอง ตอนนั้นฉัตรต้องไปอยู่แม่ฮ่องสอนประมาณอาทิตย์กว่าๆ ที่แม่ฮ่องสอนนี่ขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องของการเดินทางไปที่ยากลำบาก เราจะต้องเจอกับโค้งเยอะมาก แต่ว่าฉัตรไม่หวั่นเพราะฉัตรหลับตลอดทาง (หัวเราะ) เลยไม่ค่อยจะรู้สึกว่า โค้งเยอะขนาดไหน คนเมารถอาการเขาเป็นยังไง แล้วเป็นการถ่ายทำที่หนักหนาสาหัสอย่างไม่รู้ลืมเลย เพราะว่าคิวนั้นเราต้องออกเดินทางจากที่พักในตัวเมืองไปห้วยน้ำดังกันตั้งแต่ตี 2 เพื่อจะต้องถ่ายฉากที่วินกับหมอกนั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ ทีมงานทุกคนง่วงนอนมาก พอเราไปก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ฝนตกมาเรื่อยๆ หมอกก็ตกหนักมากจนมองอะไรไม่เห็น แล้วห้วยน้ำดังอากาศมันหนาวอยู่แล้วพอมาเจอกับฝนยิ่งหนาวทรมานมากขึ้นไปอีก เวลาพูดปากสั่นแหง๊กๆ ทีมงานก็รอกันว่าเมื่อไหร่ฝนจะหยุดหรือหมอกจะจาง แต่ไม่มีวี่แววเลย พี่โอ๊คตัดสินใจตั้งกองถ่ายเลยถ่ายมันท่ามกลางฝนและหมอกนี่แหละ
แล้วอย่างที่บอกฉากนี้เป็นฉากที่จะต้องเห็นพระอาทิตย์ขึ้นและวิวทะเลหมอกอย่างสวยงาม ต้องห่มผ้าผืนเดียวกัน ทั้งที่ความเป็นจริงแทบจะแย่งผ้าห่มกันอยู่แล้ว ก็ต้องพยายามดื่มน้ำอุ่นตลอดเวลา และก็มีถุงน้ำร้อนมาให้ใช้ ทีมงานก็นั่งรอเวลาฟ้าสางแต่พอทุกอย่างสว่างจ้าหมดแล้ว พระอาทิตย์ก็ยังไม่เห็นเป็นดวงสักที เราก็เลยต้องจินตนาการเอาเองว่าภาพข้างหน้าเป็นภาพพระอาทิตย์ขึ้นอย่างสวยงาม ทั้งที่ความเป็นจริงมีหมอกหนาทึบมาก ไม่จางลงเลยแม้กระทั่งตอนเราขนของกลับกันลำบากและทรมานกันมากค่ะวันนั้น เสร็จแล้วเราก็ต้องมีฉากที่ไปถ่ายตามท้องถนนอีกมีอุปกรณ์การริกรถเยอะแยะ แต่สภาพอากาศวันนั้นไม่เป็นใจเลย ระหว่างที่เราเตรียมจะขึ้นรถกันก็มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นมากมาย เพราะระยะการมองเห็นมันน้อยมาก มันเต็มไปด้วยหมอกหมดมองไม่เห็นทางเลย อันตรายมากเพราะทางมันเป็นเขาชันคดเคี้ยวไปมา ถนนก็เล็ก ทีมงานก็ขึ้นไปติดฝนและหมอกกันหมดอยู่ที่ดอยกิ่วลมไปไหนไม่ได้ ซึ่งจริงๆ แล้วเราต้องเดินทางไปถ่ายกันต่อที่ปางอุ๋ง ปรากฏว่าสถานการณ์ไม่ดีขึ้น พี่โอ๊คเลยตัดสินใจกลับไปนอนที่เมืองก่อนแปปนึงเพื่อกลางดึกคืนนี้เมื่ออากาศดีขึ้นก็จะออกเดินทางไปถ่ายที่ปางอุ๋งกันต่อ
วันนั้นได้นอนแปปเดียวจริงๆ แล้วก็ไปปางอุ๋งกันต่อไปถึงก็ไปถ่ายฉากที่วินกับหมอกพากันไปกางเต้นท์ที่ปางอุ๋งแต่ดันกางเต้นท์ไม่สำเร็จเลยต้องเอาถุงนอนออกมานอนกางดูดาวกันนอกเต้นท์ แล้วความจริงคือมันหนาวมาก พื้นก็เย็นมากยิ่งใกล้เช้ายิ่งหนาวสุดๆ วันนั้นนอนตากน้ำค้างถ่ายฉากนี้ไปจนแทบจะหลับจริงๆ พอพระอาทิตย์ขึ้นก็ไปลงแพไม้ไผ่ของชาวบ้านที่ทะเลสาบในปางอุ๋งต่อ เสียดายที่วันนั้นไม่มีหมอกเลี่ยน้ำอย่างที่พี่โอ๊คจินตนาการเอาไว้ทั้งที่ก่อนหน้านี้แทบจะเป็นพายุหมอกอยู่แล้ว บรรยากาศที่ปางอุ๋งดีมากค่ะ วันนั้นไปถ่ายฉากล่องแพกันสองคน แล้ววินก็ยุให้หมอกร้องเพลงให้ฟัง หมอกก็ต้องร้องออกมาแบบเพี้ยนๆ คือวันนั้นทุกอย่างโอเคหมดแล้ว อากาศดีมาก มีหงส์มาเล่นน้ำ มีลมพัดเอื่อยๆ แต่ถูกกลบบรรยากาศหมดด้วยเสียงเพี้ยนๆ ของฉัตร ก็สงสารนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยววันนั้นมาก ที่ต้องมาทนฟังเสียงฉัตรร้องกลางทะเลสาบ (หัวเราะ)
มีคิวไหนที่ฉัตรรู้สึกว่าตั้งแต่ถ่ายทำมายากที่สุด หรือประทับใจที่สุดบ้างไหม
ฉัตรว่าตั้งแต่ที่เราถ่ายทำกันมามันยากทั้งหมดเลย ยากทุกคิว แต่ที่หนักใจที่สุดคงจะเป็นคิวแรกเลย อย่างที่บอกฉัตรยังใหม่ ตอนนั้นเหมือนคนทำอะไรไม่เป็น ตื่นเต้นด้วย ไม่รู้มุมกล้องด้วยว่าเราจะต้องเล่นยังไง แอคติ้งประมาณไหน ต้องปรับตัวเยอะมากในคิวแรก ส่วนเรื่องประทับใจก็ประทับใจแทบจะทุกฉากเลย พิเศษหน่อยก็จะเป็นฉากที่วินกับหมอกไปลอยกระทงสวรรค์กันที่ถนนคนเดินหน้าวัดจองคำที่แม่ฮ่องสอนค่ะ คือวันนั้นเป็นฉากที่หมอกพาวินไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน แล้วมีงานลอยกระทงสวรรค์ก็เลยชวนวินไปปล่อยกระทงกันซึ่งเป็นประเพณีจำเพาะของคนไทยใหญ่ที่อยู่ที่นั่น จะไม่เหมือนกับการปล่อยโคมลอยใหญ่ๆ ขึ้นฟ้า อันนี้จะเป็นกระทงเล็กๆ และมีลูกโป่งสวรรค์ผูกติดข้างบนเท่านั้น แล้ววันนั้นที่เราถ่ายทำกันมีชาวบ้าน พระเณรมาช่วยเราปล่อยกระทงสวรรค์กันเยอะมาก มีกระทงสวรรค์ลอยเต็มท้องฟ้าสวยงามมาก ทุกๆ คนร่วมแรงร่วมใจอยากให้ฉากนี้ออกมาสวยที่สุด แล้วเราก็ปล่อยกันหลายรอบมาก แต่ละรอบก็เยอะมากมันก็เลยประทับใจกับฉากนี้เป็นพิเศษ ฉากที่ประทับใจก็มีอีกฉากคือฉากที่ฉัตรต้องเต้นเป็นตุ๊กตา คือฉัตรไม่เคยทำอะไรแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นมาก่อน เป็นฉากที่พี่แดนกำลังเล่นเปียโนอยู่ แล้วฉัตรก็มาเต้นอยู่ข้างๆ เต้นเหมือนหุ่นเชิด คือปรกติเต้นเล่นๆ ที่บ้านหรือกับเพื่อนบางคนก็อาจจะเคยเห็นแล้ว แต่เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นเยอะๆ บางทีก็มีเขินเหมือนกัน วันนั้นพี่ที่กองถ่ายก็ช่วยบอกว่าควรจะเต้นยังไงให้ประหลาด เต้นยังไงให้ดูแปลกไม่ติดขัด เลยชอบฉากนี้เพราะตลกดีค่ะ
ในเรื่องมีฉากนึงที่เรียกว่าหินสำหรับฉัตรเหมือนกัน เพราะฉัตรต้องเล่นเปียโนเอง เป็นฉากแรกที่วินกับหมอกมาเจอกัน วินเดินมาตอนที่หมอกกำลังเล่นเปียโนอยู่ แล้วจู่ๆ วินก็ลงมานั่งเล่นอยู่ข้างๆ เป็นการเล่นเปียโนพร้อมกันสองคน แล้วก็พี่โอ๊คให้โจทย์มาว่าต้องเล่นเพลงคลาสสิคของโชแปง ซึ่งเพลงคลาสสิคนี่อยากจะบอกว่าเพลงไหนมันก็ยากค่ะคือฉัตรเคยเรียนเปียโนมาตั้งแต่เด็กแล้วห่างหายจากการแตะเล่นเปียโนมาประมาณเกือบ 10 ปีได้ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานมาก ทำให้ฉัตรต้องไปรื้อฟื้นเล่นเปียโนใหม่ ต้องให้อาจารย์สอน ระหว่างการถ่ายทำพอจะถ่ายจริงก็เกร็งมาก จริงๆ ตั้งแต่เช้ามาถึงกองถ่ายนี่ก็ซ้อมเพลงนี้แต่เช้าแล้ว ซ้อมไม่หยุดเลย แต่พอถ่ายจริงมันยังเกร็งไม่หายด้วยความที่กลัวจะเล่นผิดแล้วห่างหายจากการเล่นเปียโนมานานก็จะพะวงว่าเราจะเล่นถูกไหม รอบแรกๆ อาจจะยังไม่อินไปกับเพลง แล้วด้วยความที่ฉัตรลืมโน้ตไว้ที่กรุงเทพด้วย นั่นแหละอันนี้คือปัญหา เล่นแล้วกังวลว่าเราจะเล่นถูกไหม มีลืมโน้ตจำโน้ตไม่ได้ก็มี แล้วมันไม่ใช่แค่นั้นการเล่นเปียโนมันไม่ใช่ว่าจะแค่เล่นให้ถูกโน้ตเพียงอย่างเดียว แต่มันต้องสื่อความหมายสื่ออารมณ์ของเพลงนั้นออกมาให้ได้ด้วยว่าเพลงนั้นมีอารมณ์ความรู้สึกยังไง ซึ่งมันยากมากต้องแบ่งสมาธิหลายส่วนมากค่ะ วันนั้นเล่นบ่อยจนเพลงนี้หลอนติดหูเลย ฉัตรกับพี่แดนแบบว่าจำเพลงนี้ไปอีกนานเลย อยากให้ทุกคนได้ดูฉากนี้เพราะเป็นฉากที่พี่แดนกับฉัตรเล่นเปียโนกันเองจริงๆ ไม่มีสแตนอินไม่มีอะไรทั้งนั้น อยากฝากเอาไว้เป็นของขวัญให้กับแฟนหนังทุกคนเพราะเราตั้งใจซ้อมกันมาเพื่อเล่นฉากนี้ค่ะ
ฉัตรว่าตั้งแต่ที่เราถ่ายทำกันมามันยากทั้งหมดเลย ยากทุกคิว แต่ที่หนักใจที่สุดคงจะเป็นคิวแรกเลย อย่างที่บอกฉัตรยังใหม่ ตอนนั้นเหมือนคนทำอะไรไม่เป็น ตื่นเต้นด้วย ไม่รู้มุมกล้องด้วยว่าเราจะต้องเล่นยังไง แอคติ้งประมาณไหน ต้องปรับตัวเยอะมากในคิวแรก ส่วนเรื่องประทับใจก็ประทับใจแทบจะทุกฉากเลย พิเศษหน่อยก็จะเป็นฉากที่วินกับหมอกไปลอยกระทงสวรรค์กันที่ถนนคนเดินหน้าวัดจองคำที่แม่ฮ่องสอนค่ะ คือวันนั้นเป็นฉากที่หมอกพาวินไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน แล้วมีงานลอยกระทงสวรรค์ก็เลยชวนวินไปปล่อยกระทงกันซึ่งเป็นประเพณีจำเพาะของคนไทยใหญ่ที่อยู่ที่นั่น จะไม่เหมือนกับการปล่อยโคมลอยใหญ่ๆ ขึ้นฟ้า อันนี้จะเป็นกระทงเล็กๆ และมีลูกโป่งสวรรค์ผูกติดข้างบนเท่านั้น แล้ววันนั้นที่เราถ่ายทำกันมีชาวบ้าน พระเณรมาช่วยเราปล่อยกระทงสวรรค์กันเยอะมาก มีกระทงสวรรค์ลอยเต็มท้องฟ้าสวยงามมาก ทุกๆ คนร่วมแรงร่วมใจอยากให้ฉากนี้ออกมาสวยที่สุด แล้วเราก็ปล่อยกันหลายรอบมาก แต่ละรอบก็เยอะมากมันก็เลยประทับใจกับฉากนี้เป็นพิเศษ ฉากที่ประทับใจก็มีอีกฉากคือฉากที่ฉัตรต้องเต้นเป็นตุ๊กตา คือฉัตรไม่เคยทำอะไรแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นมาก่อน เป็นฉากที่พี่แดนกำลังเล่นเปียโนอยู่ แล้วฉัตรก็มาเต้นอยู่ข้างๆ เต้นเหมือนหุ่นเชิด คือปรกติเต้นเล่นๆ ที่บ้านหรือกับเพื่อนบางคนก็อาจจะเคยเห็นแล้ว แต่เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นเยอะๆ บางทีก็มีเขินเหมือนกัน วันนั้นพี่ที่กองถ่ายก็ช่วยบอกว่าควรจะเต้นยังไงให้ประหลาด เต้นยังไงให้ดูแปลกไม่ติดขัด เลยชอบฉากนี้เพราะตลกดีค่ะ
ในเรื่องมีฉากนึงที่เรียกว่าหินสำหรับฉัตรเหมือนกัน เพราะฉัตรต้องเล่นเปียโนเอง เป็นฉากแรกที่วินกับหมอกมาเจอกัน วินเดินมาตอนที่หมอกกำลังเล่นเปียโนอยู่ แล้วจู่ๆ วินก็ลงมานั่งเล่นอยู่ข้างๆ เป็นการเล่นเปียโนพร้อมกันสองคน แล้วก็พี่โอ๊คให้โจทย์มาว่าต้องเล่นเพลงคลาสสิคของโชแปง ซึ่งเพลงคลาสสิคนี่อยากจะบอกว่าเพลงไหนมันก็ยากค่ะคือฉัตรเคยเรียนเปียโนมาตั้งแต่เด็กแล้วห่างหายจากการแตะเล่นเปียโนมาประมาณเกือบ 10 ปีได้ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานมาก ทำให้ฉัตรต้องไปรื้อฟื้นเล่นเปียโนใหม่ ต้องให้อาจารย์สอน ระหว่างการถ่ายทำพอจะถ่ายจริงก็เกร็งมาก จริงๆ ตั้งแต่เช้ามาถึงกองถ่ายนี่ก็ซ้อมเพลงนี้แต่เช้าแล้ว ซ้อมไม่หยุดเลย แต่พอถ่ายจริงมันยังเกร็งไม่หายด้วยความที่กลัวจะเล่นผิดแล้วห่างหายจากการเล่นเปียโนมานานก็จะพะวงว่าเราจะเล่นถูกไหม รอบแรกๆ อาจจะยังไม่อินไปกับเพลง แล้วด้วยความที่ฉัตรลืมโน้ตไว้ที่กรุงเทพด้วย นั่นแหละอันนี้คือปัญหา เล่นแล้วกังวลว่าเราจะเล่นถูกไหม มีลืมโน้ตจำโน้ตไม่ได้ก็มี แล้วมันไม่ใช่แค่นั้นการเล่นเปียโนมันไม่ใช่ว่าจะแค่เล่นให้ถูกโน้ตเพียงอย่างเดียว แต่มันต้องสื่อความหมายสื่ออารมณ์ของเพลงนั้นออกมาให้ได้ด้วยว่าเพลงนั้นมีอารมณ์ความรู้สึกยังไง ซึ่งมันยากมากต้องแบ่งสมาธิหลายส่วนมากค่ะ วันนั้นเล่นบ่อยจนเพลงนี้หลอนติดหูเลย ฉัตรกับพี่แดนแบบว่าจำเพลงนี้ไปอีกนานเลย อยากให้ทุกคนได้ดูฉากนี้เพราะเป็นฉากที่พี่แดนกับฉัตรเล่นเปียโนกันเองจริงๆ ไม่มีสแตนอินไม่มีอะไรทั้งนั้น อยากฝากเอาไว้เป็นของขวัญให้กับแฟนหนังทุกคนเพราะเราตั้งใจซ้อมกันมาเพื่อเล่นฉากนี้ค่ะ
เรื่องนี้มีต้องเข้าฉากกับเด็กเยอะมาก เป็นยังไงบ้าง
ถ่ายทำกับเด็กๆ ก็สนุกดีค่ะ มันก็มีปัญหาบ้างแหละแต่เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเด็กๆ มารวมตัวกันเขาก็ต้องมีซุกซน มีวิ่งเล่น มีพัก มีเวลากินขนมกันบ้าง พอเรารู้ปัญหาเราก็จะไม่คิดอะไร เพราะเด็กๆ ที่มาเข้าฉากว่าง่ายมาก ผู้กำกับให้ทำอะไรก็ทำตามได้หมด ฉัตรมองความรักของวินและหมอกในเรื่องนี้ยังไงบ้าง หลังจากที่ได้เล่นเรื่องนี้จนจบแล้ว อย่างแรกเลยที่ความรักของเขาสองคนดูมีคุณค่า เพราะเขามีสิ่งๆ เดียวกันที่พวกเขารักนั่นก็คือเสียงดนตรี มันเป็นจุดเริ่มต้นเชื่อมต่อให้วินและหมอกได้มาเจอกัน ถ้าเราได้เจอกับใครสักคนและมีความชอบเหมือนกันไม่ต้องทุกอย่างก็ได้ มันก็ทำให้เป็นจุดๆ นึงที่ทำให้เราผูกพันกันได้ จากนั้นก็ค่อยๆ อยู่ด้วยกัน ซึมซับผูกพันกันไปเรื่อยๆ เนื่องจากเขาจะมีช่วงนึงที่เขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจริงๆ ฉัตรถือว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์ เป็นการให้โดยอยากเห็นเขามีความสุขไม่ต้องการสิ่งตอบแทนจริงๆ ซึ่งเป็นความรักที่จะได้เห็นจากวินและหมอกมอบให้แก่กัน และมีคุณค่าพอที่จะเป็นตัวอย่างความรักให้กับใครหลายๆ คน
ถ่ายทำกับเด็กๆ ก็สนุกดีค่ะ มันก็มีปัญหาบ้างแหละแต่เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเด็กๆ มารวมตัวกันเขาก็ต้องมีซุกซน มีวิ่งเล่น มีพัก มีเวลากินขนมกันบ้าง พอเรารู้ปัญหาเราก็จะไม่คิดอะไร เพราะเด็กๆ ที่มาเข้าฉากว่าง่ายมาก ผู้กำกับให้ทำอะไรก็ทำตามได้หมด ฉัตรมองความรักของวินและหมอกในเรื่องนี้ยังไงบ้าง หลังจากที่ได้เล่นเรื่องนี้จนจบแล้ว อย่างแรกเลยที่ความรักของเขาสองคนดูมีคุณค่า เพราะเขามีสิ่งๆ เดียวกันที่พวกเขารักนั่นก็คือเสียงดนตรี มันเป็นจุดเริ่มต้นเชื่อมต่อให้วินและหมอกได้มาเจอกัน ถ้าเราได้เจอกับใครสักคนและมีความชอบเหมือนกันไม่ต้องทุกอย่างก็ได้ มันก็ทำให้เป็นจุดๆ นึงที่ทำให้เราผูกพันกันได้ จากนั้นก็ค่อยๆ อยู่ด้วยกัน ซึมซับผูกพันกันไปเรื่อยๆ เนื่องจากเขาจะมีช่วงนึงที่เขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจริงๆ ฉัตรถือว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์ เป็นการให้โดยอยากเห็นเขามีความสุขไม่ต้องการสิ่งตอบแทนจริงๆ ซึ่งเป็นความรักที่จะได้เห็นจากวินและหมอกมอบให้แก่กัน และมีคุณค่าพอที่จะเป็นตัวอย่างความรักให้กับใครหลายๆ คน
แล้วมุมมองความรักของฉัตรเป็นยังไง
ฉัตรว่ามุมมองความรักของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว อย่างความหมายของความรักของแต่ละคนถ้าให้บอกก็คงจะมีความหมายไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ฉัตรว่าความรักนี่ไม่จำเป็นต้องรักเฉพาะคนหนุ่มสาว รักครอบครัว รักเพื่อน ความรักมันอยู่รอบตัวเรา ความรักของฉัตรก็มีทั้งรักครอบครัวรักเพื่อน หรืออย่างความรักของคนหนุ่มสาว ฉัตรว่าฉัตรยังอยู่ในช่วงของวัยรุ่นก็อาจจะมีที่ต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ ต้องเข้าใจอะไรอีกเยอะ ชีวิตฉัตรเพิ่งผ่านอะไรมาได้แค่นี้ ยังต้องใช้เวลาเรียนรู้เรื่องพวกนี้อีกมากมาย
มีอะไรอยากบอกกับผู้ชมในฐานะวัยรุ่นคนนึง
ก็สำหรับฉัตรที่อยากจะฝากเอาไว้ในเรื่องมุมมองของความรักฉัตรว่าความรักมันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมันเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก ฉัตรว่าถ้าอยากที่จะรักกันไปนานๆ ไม่ใช่เฉพาะหนุ่มสาวนะคะอาจจะเพื่อนหรือครอบครัว ฉัตรว่าเราควรจะค่อยๆ เรียนรู้กันไปดีกว่า ฉัตรว่าความรักสมัยนี้มันค่อนข้างฉาบฉวย บางคนอาจจะแบบแค่เห็นก็ปิ้งกัน มันอาจจะมีรักแรกพบฉัตรไม่เถียง ตรงนั้นเนี่ยถ้าอยู่ด้วยกันไปนานๆมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ ฉัตรว่าค่อยๆ เรียนรู้กันไปค่อยปรับตัวเข้าหากันจนมาอยู่ตรงกลาง จะทำให้ความรักอยู่ยืนยาวมากกว่า
ฉัตรว่ามุมมองความรักของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว อย่างความหมายของความรักของแต่ละคนถ้าให้บอกก็คงจะมีความหมายไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ฉัตรว่าความรักนี่ไม่จำเป็นต้องรักเฉพาะคนหนุ่มสาว รักครอบครัว รักเพื่อน ความรักมันอยู่รอบตัวเรา ความรักของฉัตรก็มีทั้งรักครอบครัวรักเพื่อน หรืออย่างความรักของคนหนุ่มสาว ฉัตรว่าฉัตรยังอยู่ในช่วงของวัยรุ่นก็อาจจะมีที่ต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ ต้องเข้าใจอะไรอีกเยอะ ชีวิตฉัตรเพิ่งผ่านอะไรมาได้แค่นี้ ยังต้องใช้เวลาเรียนรู้เรื่องพวกนี้อีกมากมาย
มีอะไรอยากบอกกับผู้ชมในฐานะวัยรุ่นคนนึง
ก็สำหรับฉัตรที่อยากจะฝากเอาไว้ในเรื่องมุมมองของความรักฉัตรว่าความรักมันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมันเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก ฉัตรว่าถ้าอยากที่จะรักกันไปนานๆ ไม่ใช่เฉพาะหนุ่มสาวนะคะอาจจะเพื่อนหรือครอบครัว ฉัตรว่าเราควรจะค่อยๆ เรียนรู้กันไปดีกว่า ฉัตรว่าความรักสมัยนี้มันค่อนข้างฉาบฉวย บางคนอาจจะแบบแค่เห็นก็ปิ้งกัน มันอาจจะมีรักแรกพบฉัตรไม่เถียง ตรงนั้นเนี่ยถ้าอยู่ด้วยกันไปนานๆมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ ฉัตรว่าค่อยๆ เรียนรู้กันไปค่อยปรับตัวเข้าหากันจนมาอยู่ตรงกลาง จะทำให้ความรักอยู่ยืนยาวมากกว่า
ฝากผลงานภาพยนตร์ส่งท้ายปีชิ้นนี้กับผู้ชม
อย่างแรกเลยที่อยากให้เข้าไปชมก็คือเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยวค่ะ เราไปกันหลายที่มากแล้วบรรยากาศสวยมาก โรแมนติก อยากให้ไปชมกันมากๆ ฉัตรกับพี่แดนและทีมงานทุกๆ คนไปเที่ยวที่ไหนกันบ้างเผื่อจะอยากเที่ยวตามที่แม่ฮ่องสอน
และที่สำคัญเลยคือเรื่องของความรักทุกๆ คนอาจจะดูหนังรักในหลายๆ เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็อาจจะมีหลายแง่มุม หลายข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์แนวรักมา อาจจะมีทั้งในแง่ที่ดีหรือไม่ดี ฉัตรว่าในหนังรักเรื่องนี้เป็นอีกทางเลือกนึงที่เราดูแล้วจะได้ความรักในแง่มุมใหม่กลับไปคิด อาจได้อะไรใหม่ๆ อย่างที่เราลืมมันไป หรืออาจจะกำลังค้นหามัน
นอกจากนี้ยังมีเพลงเพราะๆ อีกเยอะแยะที่จะทำให้ผู้ชมอินกับตัวหนังมากยิ่งขึ้น เป็นเพลงที่แต่งมาจากความรู้สึกของพี่แดนที่มีต่อตัวละคร ต่อเรื่องราวในเรื่อง The melody รักทำนองนี้ ซึ่งเป็นเพลงที่แต่งมาใหม่สำหรับหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ ฝากผลงานเรื่องนี้เอาไว้ด้วยนะคะ พวกเราตั้งใจทำให้ดีที่สุดเพื่อหวังจะให้เป็นของขวัญดีๆ ส่งท้ายปีนี้กันค่ะ
อย่างแรกเลยที่อยากให้เข้าไปชมก็คือเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยวค่ะ เราไปกันหลายที่มากแล้วบรรยากาศสวยมาก โรแมนติก อยากให้ไปชมกันมากๆ ฉัตรกับพี่แดนและทีมงานทุกๆ คนไปเที่ยวที่ไหนกันบ้างเผื่อจะอยากเที่ยวตามที่แม่ฮ่องสอน
และที่สำคัญเลยคือเรื่องของความรักทุกๆ คนอาจจะดูหนังรักในหลายๆ เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็อาจจะมีหลายแง่มุม หลายข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์แนวรักมา อาจจะมีทั้งในแง่ที่ดีหรือไม่ดี ฉัตรว่าในหนังรักเรื่องนี้เป็นอีกทางเลือกนึงที่เราดูแล้วจะได้ความรักในแง่มุมใหม่กลับไปคิด อาจได้อะไรใหม่ๆ อย่างที่เราลืมมันไป หรืออาจจะกำลังค้นหามัน
นอกจากนี้ยังมีเพลงเพราะๆ อีกเยอะแยะที่จะทำให้ผู้ชมอินกับตัวหนังมากยิ่งขึ้น เป็นเพลงที่แต่งมาจากความรู้สึกของพี่แดนที่มีต่อตัวละคร ต่อเรื่องราวในเรื่อง The melody รักทำนองนี้ ซึ่งเป็นเพลงที่แต่งมาใหม่สำหรับหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ ฝากผลงานเรื่องนี้เอาไว้ด้วยนะคะ พวกเราตั้งใจทำให้ดีที่สุดเพื่อหวังจะให้เป็นของขวัญดีๆ ส่งท้ายปีนี้กันค่ะ
ที่มา:
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บันทึกภาพ: ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บันทึกภาพ: ฝ่ายประชาสัมพันธ์
นำเสนอโดย www.starupdate.com หากนำข่าวไปใช้กรุณาอ้างอิงถึง www.starupdate.com ด้วย