![](http://www.starupdate.com/wp-content/uploads/2012/02/IMG_2129.jpg)
คาแรกเตอร์ที่ได้รับเล่นเป็นยังไง
สำหรับภาพยนตร์เรื่อง “Home” ความรัก ความสุข ความทรงจำ ผมมารับบทเป็น “เสี่ยเล้ง” ในพาร์ทของเรื่อง “แต่งงาน” คาแรกเตอร์ของเสี่ยเล้งในเรื่องนี้ก็คือ เราจะเป็นคนที่ค่อนข้างจะจริงจังกับการทำงาน บุคลิกจะเป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ จนคนจะไม่สามารถเดาอารมณ์ถูกได้ว่าเราคิดอะไรอยู่ แต่ลึกๆ แล้วเป็นคนที่มีความรัก ความเชื่อใจเชื่อมั่นกับคนที่เรารักสูงมาก แล้วก็เป็นคนที่รับผิดชอบต่อทุกสิ่งๆ ทุกๆอย่าง เพราะว่าตำแหน่งที่เขายืน เหมือนว่าต้องมารับตำแหน่งเจ้าของโรงงานหรือดูแลกิจการใหญ่โตตั้งแต่หนุ่มๆ เลยทำให้เสี่ยเล้งต้องวางตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าวัย พอวัยเริ่มจะต้องมีครอบครัวก็เลยต้องกลายเป็นผู้นำอยู่เสมอเพิ่มขึ้นไปอีก จุดที่เขาอยู่มันผลักดันให้ชีวิตเขาต้องแสดงออกแบบนั้น เพราะว่าการที่เขาต้องดูแลคนเยอะๆ ต้องทำงานต้องดูแลลูกน้อง เขาจึงเป็นคนที่ค่อนข้างเด็ดขาดมาก เด็ดขาดทุกเรื่องครับ และก็ในเรื่องเสี่ยเล้งเป็นคนใต้ บุคลิกของคนใต้ก็สั้นๆ เด็ดขาดอยู่แล้ว จะไม่เหมือนกับตัวปรียาซึ่งเป็นผู้หญิงด้วย เป็นคนเหนือด้วย เขาจะอ่อนไหวและแสดงออกได้มากกว่าเรา ตัวปรียาเขามาทำงานกับเสี่ยเล้งที่ใต้ ทำไปทำมาก็ตกลงแต่งงานกัน แต่เลือกมาแต่งที่เชียงใหม่แทน เสี่ยเล้งก็ต้องขนครอบครัวขึ้นมาไกลถึงเชียงใหม่ด้วย เรื่องราวก็จะเกิดขึ้นที่นี่ทั้งหมด
เรื่องนี้นิ่งมาก จนนักแสดงบอกกันว่าเจมส์นิ่งมาก อันนี้นิ่งสุดในเรื่องที่ได้รับบทมาเลยหรือเปล่า?
ใช่ น่าจะได้บทที่นิ่งเงียบที่สุดแล้วตั้งแต่รับงานมา เพราะว่าความจริงแล้วเป็นความต้องการของผู้กำกับ อยากให้คนดูลุ้นไปกับตัวแสดงตัวอื่นๆ หรือว่าตัวแสดงที่เป็นเสียเล้งเองด้วยว่าเขาจะตัดสินใจยังไงกับเรื่องราวที่มันเกิดขึ้นกับเขา เพราะฉะนั้นวิธีการแสดงของภาพยนตร์เรื่องนี้ส่วนใหญ่แล้วจะต้องกลืนความรู้สึกให้หมดนะครับ ด้วยคาแรกเตอร์แล้ว ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรก็ตามที่เสี่ยเล้งก็จะไม่แสดงอาการ อย่างเจอเรื่องราวที่ต้องโมโห หรือว่าต้องอะไรก็ตาม แม้จะเจ็บปวดหรือรุนแรงแค่ไหนแต่ก็ต้องกลืนความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ข้างใน แต่สิ่งที่พูดออกไปหรือว่าแววตาที่ส่งออกมามันต้องมีความอำมหิตซ่อนอยู่เล็กน้อย เพื่อเราจะได้เห็นการตัดสินใจของตัวเสี่ยเล้ง ว่าเขาจะตัดสินใจยังไงกับเรื่องราวที่มันเกิดขึ้นทั้งหมด กับเหตุการณ์ที่เขาต้องรับฟังรับรู้ทั้งหมด มันจะไปบีบเกร็งคนดูเมื่อถึงเวลาที่เขาต้องตัดสินใจ
ทำไมถึงตอบรับเล่นเรื่องนี้กับมะเดี่ยว
มันเริ่มต้นมาจากว่า โดยส่วนตัวของผมแล้วผมชอบผลงานของมะเดี่ยวอยู่แล้ว ติดตามเขามาแล้วหลายเรื่อง แล้วก็มีโอกาสได้ร่วมงานกันในละครเรื่องวนาลีที่ออกอากาศจบไป มะเดี่ยวก็คงเห็นวิธีการแสดงของเราแล้ว เห็นการทำงานเราแล้วว่าเป็นยังไง วันนึงมะเดี่ยวก็บอกว่ามีบทภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เขาเขียนเอง อยากให้พี่เจมส์มาลองเล่นดู เราก็เอาเลยไม่อ่านบทด้วย (หัวเราะ) ก็สนใจทันทีเลย มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยเป็นเพราะความชื่นชอบส่วนตัวล้วนๆ แล้วตัวเองไม่ได้เล่นภาพยนตร์มา 10 กว่าปีแล้วครับ ก็เลยคิดว่าไม่มีเหตุผลที่จะไม่เล่นครับ
พอหลังจากที่รับเล่นแล้ว อ่านบทแล้วรู้สึกยังไงในตอนนั้น
อ่านบทครั้งแรกก็อ่านผ่านๆ ก่อน อ่านผ่านๆ ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่พออ่านรอบที่ 2-3 เริ่มใส่ใจกับรายละเอียดของแต่ละบรรทัดของแต่ละประโยค เริ่มใส่ใจแต่ละเหตุการณ์ เลยรู้สึกว่าตัวละครตัวนี้เป็นตัวละครที่เล่นยากมากอีกตัวหนึ่งเท่าที่เคยผ่านบทมา ไม่ว่าเราจะเคยเล่นบทเป็นสาวประเภทสอง หรือไปเป็นคนแก่ ไปเป็นตัวร้ายอะไรก็ตาม มันก็ยังเป็นการแสดงที่คิดแล้วแสดงออกเลย ออกมาจากร่างกาย ออกมาจากข้างใน แต่ตัวละครตัวนี้แสดงออกทันทีเลยไม่ได้ คิดแล้วต้องเก็บไว้ข้างในแล้วแสดงออกมาแค่นิดเดียว แต่ไอ้นิดเดียวนั้นเป็นอะไรที่แบบไม่ว่าจะเป็นคนดู หรือตัวละครที่เข้าร่วมด้วย เขาจะรู้สึกว่า “เฮ้ยคิดไรอยู่ว่ะ” ทำไมถึงเป็นแบบนี้ พูดกันออกมา เคลียร์กันเลยดีกว่าไหมอะไรประมาณนี้ ซึ่งอันนี้มันค่อนข้างยาก เมื่อไรที่รับการแสดงที่พูดน้อยจะเล่นยาก แต่ว่าเราก็พยายามไม่คิดว่ามันยาก วิธีการก็คือว่าปล่อยตัวเองไปตามบทละครเรื่องนี้ ปล่อยตัวเองไปตามเหตุการณ์ที่เจอ ปล่อยตัวเองไปตามคู่แสดงของเรา มันก็จะเป็นไปเองตามอัตโนมัติ อ่านบทเสร็จแล้วก็เริ่มอินกับมันขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมาเล่นแล้วก็ยิ่งต้องทำการบ้านยิ่งต้องเข้าใจบทมากยิ่งขึ้น
ร่วมงานกับมะเดี่ยวครั้งนี้แตกต่างหรือน่าสนใจยังไงบ้าง
ผมชอบเขานะครับสำหรับตัวมะเดี่ยว ตัวเขาเองเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความเข้าใจในเรื่องของบทสูงนะครับ จุดแข็งของมะเดี่ยวอยู่ตรงที่เขาเป็นคนทางบท และวิธีการเขียนบท หรือว่าวิธีการเล่าเรื่องต่างๆ นานา บ้างทีมันดูเหมือนเรียบง่ายเหมือนไม่มีอะไร แต่ในความไม่มีอะไรจะซ่อนคมดาบไว้ตลอดในแต่ละฉาก แต่ละซีนหรือในแต่ละประโยค ซึ่งมันเป็นวิธีการที่ทำให้เด็กรุ่นใหม่สามารถจะดูแล้วเข้าใจไปได้ง่ายๆ นะครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเด็กรุ่นใหม่เขาจะถูกซึมซับสิ่งดีๆ สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อผ่านทางบท ในส่วนเรื่องการทำงานมะเดี่ยวก็เป็นคนที่เฮฮา สนุกสนานตามประสาตามวัยของเขา เขาจะมีแก๊งค์ มีเพื่อนแซวเพื่อนเม้าท์เหมือนวัยรุ่นทั่วไปคนนึง เขาก็จะสร้างเสียงหัวเราะให้กับทีมงานได้ตลอดเวลา ตัวผมเองก็ชอบแซวเขาเลยครับว่าจะเอายังไงแน่ยะ (หัวเราะ) ชอบแซวมะเดี่ยว เขาเป็นน้องที่น่ารักอีกคนหนึ่ง แล้วก็เป็นคนที่เก่ง ที่สำคัญคือเขาเป็นนักดนตรี เวลาเราคุยกันเรื่องดนตรีหรือว่าเราคุยกันอะไรต่างๆนาๆ มันจะรู้สึกเลยว่าเราเป็นคนประเภทเดียวกัน รักในเสียงดนตรี เข้าใจกันง่ายมากขึ้น เขาไม่ได้วางตัวว่าเป็นผู้กำกับยิ่งใหญ่อะไร เหมือนเป็นเพื่อนเป็นพี่น้องอะไรอย่างนี้มากกว่า ถึงแม้ว่าการทำงานจะมีจริงจังบ้างอะไรบ้าง แต่มันก็เป็นการทำงานกันจริงๆ ไม่ได้มามีบทบาทอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าเข้ากันไม่ถึง สบายมากเลยทำงานกับมะเดี่ยว
แล้วนี่เป็นครั้งแรกไหมที่ได้ร่วมงานกับนุ่น (ศิรพันธ์ วัฒนจินดา)
ใช่ครับ เป็นครั้งแรกที่ร่วมงานกับนุ่น ผมว่าเขาเป็นนักแสดงที่มีความสามารถอีกคนหนึ่งเลยล่ะ ซึ่งเราไม่ค่อยรู้เพราะว่าเราอาจจะไม่ค่อยได้ติดตามผลงานของน้องเขาเท่าไหร่นัก อันนี้ต้องยอมรับตรงๆ ว่าแทบไม่ได้ติดตามงานของนุ่นเลย แต่ว่ารู้จักว่าน้องว่าเขาเป็นคนสวยคนหนึ่งซึ่งน่ารัก มีแฟนแล้ว (หัวเราะ) ก็น้องเขาเป็นคนน่ารักดีครับ แต่ว่าพอได้แสดงร่วมกับเขาแล้วมีความรู้สึกว่า เนื่องจากเรามีโอกาสได้ทำงานกับนางเอก และนักแสดงผู้หญิงมาหลายคน แต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ละคนก็จะมีความเข้าใจต่างกัน แต่ว่าผมมองว่าเขาเป็นคนที่มีความเข้าใจด้านการแสดงสูงทีเดียว สามารถที่จะแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วก็มีความลึกในการแสดงคือ เขาทำการบ้านค่อนข้างเยอะ แล้วก็เวลาที่เขาเล่นมีความรู้สึกว่าเขาสามารถที่จะสวมวิญญาณของตัวละครตัวนั้นได้อย่างเต็มที่ แล้วเล่นแล้วดูน่าสนใจ นุ่นเขาจะใส่ใจกับรายละเอียด และค่อนข้างจะอ่อนไหวกับเนื้อหาของเรื่อง ว่าง่ายๆ คือเขาจะอินกับมันจะทุ่มเทกับบทกับการทำงาน อย่างเขาเคยบอกว่ามีปัญหาเรื่องการพูดสำเนียงของคนเชียงใหม่ เขาก็มีความพยายามมาก ว่างก็จะเห็นนั่งติวคำเมืองกับน้องพิช ใครมาที่กองก็จะเห็นสองคนนี้นั่งพูดคำเมืองกันสองคนตลอดเวลา เห็นความพยายามของเขาเลยครับ
ร่วมงานกับน้องพิช (วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล)ล่ะเป็นยังไงบ้าง
จริงๆ ณ วันนี้ยังไม่ได้เข้าฉากกับน้องพิชอย่างจริงจัง จะมีเข้าฉากด้วยกันก็นิดๆ หน่อยๆ ยังไม่เข้าฉากอะไรกันมาก แต่ผมเห็นพิชมาตั้งแต่เล่นภาพยนตร์เรื่องรักแห่งสยามแล้วนะครับ ก็คิดว่าเขาเป็นเด็กอีกคนหนึ่งซึ่งมีความตั้งใจในการทำงานค่อนข้างสูง อย่างที่บอกผมสังเกตเวลาพักกองเขาจะนั่งอ่านบท เขาจะนั่งทำการบ้านดูว่าเขาจะเล่นในฉากต่อไปยังไง อันนี้ก็เป็นแบบอย่างที่ดีของนักแสดงรุ่นใหม่ๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือว่าเวลาที่เขาแสดงก็รู้สึกกับบทนั้นจริงๆ เขาก็เต็มทีกับมันจริงๆ เขาจะไม่ไปไหนห่างจากกองถ่ายเลย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีฉากที่ต้องเข้า แต่เขาจะถือบทอ่านบทอยู่ใกล้ๆ มะเดี่ยว ไม่เข้าใจอะไรตรงไหนก็ถามตลอด ขยันมากครับ ผมว่าน้องพิชไปได้อีกไกลเลยทีเดียวสำหรับการเล่นภาพยนตร์ และเท่าที่ทราบมาคือพิชก็เป็นนักร้องนักดนตรีนักแต่งเพลงด้วย ความสามารถเขาค่อนข้างหลากหลาย เลยทำให้รู้สึกว่าน้องคนนี้เป็นคนที่มีความสามารถ ทำอะไรก็ดูตั้งใจกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่เสมอ
เรื่องนี้ได้ทำงานกับอาตุ่ย (พุทธชาต พงษ์สุชาติ) ด้วย เป็นยังไงบ้างฮากันตลอดเลยไหมในการทำงานด้วยกัน
(หัวเราะ)กับอาตุ่ยหรือครับ ผมไม่เคยดูอาตุ่ยแสดงจริงๆ เลย เห็นแต่บทบาทเป็นดีเจ พิธีกร นี่ถือเป็นครั้งแรก เลยได้รับรู้ว่าเออจริงๆ แล้วอาตุ่ยเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางด้านการแสดงอยู่ไม่น้อยเลยนะ ทั้งเรื่องของเสียง ทั้งเรื่องของการแสดงออกทางสีหน้าแววตา คือเขาเป็น entertainer คนหนึ่งเลย บทตัวน้าอรที่เขาเล่น ผมว่านี้แหละเป็นสีสันที่น่าสนใจมากของภาพยนตร์เรื่องนี้ ในบทน้าอรที่อาตุ่ยรับคือเป็นบทหนึ่งซึ่งผมคิดว่าน่าจะเรียกรอยยิ้มจากคนดูได้ หลังจากที่เรื่องราวของภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะมีความเครียด ความซึ้งความเศร้า ความอะไรก็ตามที แต่น้าอรโผล่มาก็ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ดูมีสีสัน อาตุ่ยเป็นคนหนึ่งซึ่งเป็นนักแสดงที่สามารถมาก ดูเผินๆ เหมือนจะมากระชากอารมณ์หนังให้สนุกสนาน แต่จริงๆ แล้วอาตุ่ยเขาเล่นแบบอินมาก เขาสามารถทำให้เกิดอารมณ์ร่วมไปกับเนื้อหาได้อย่างแนบเนียน บนความสนุกเขาก็มีความห่วงหาห่วงใยหลาน หรือห่วงกับเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นตรงนั้นอย่างแท้จริง เขาก็ไม่ใช่ว่าจะเอาฮาอย่างเดียว อาตุ่ยเล่นได้สมกับบทที่ได้รับเลยล่ะครับ
เรื่องนี้ทุกคนพูดภาษาเหนือกันหมด แล้วเสี่ยเล้งเป็นคนใต้มีต้องพูดใต้กับเขาบ้างไหม
พูดครับ ภาษาใต้ในเรื่องนี้ใช้สำเนียงไปทางจังหวัดภูเก็ต ซึ่งแตกกต่างจากบ้านเกิดของผมที่อยู่นครศรีธรรมราช จะต่างกันตรงเสียงสูง-ต่ำนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรมากมาย ด้วยการที่ได้ใช้ภาษาใต้กลับทำให้รู้สึกว่ามันเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นภาษาถิ่นของเราเอง ก็ได้พูดเพราะในเรื่องเสี่ยเล้งยกญาติ พ่อแม่พี่น้องขึ้นมาจากใต้กันหมดเพื่อมางานแต่งงานที่จัดกันที่เชียงใหม่ เวลาที่แม่มาหรือคุยกับญาติเราก็ต้องใช้ภาษาใต้กันเพื่อให้มันดูเหมือนจริง เรื่องพูดใต้เราพูดใต้ได้อยู่แล้ว เวลาที่นักแสดงคนอื่นเขาพูดเหนือกันเราก็ฟัง แล้วก็พยายามทำความเข้าใจว่าเขาพูดอะไรกัน จำบ้างไม่จำบ้าง แต่ว่าอาตุ่ยนี่สิเป็นคนนึงเลยที่พูดได้ทั้ง 2 ภาษา เป็นเหมือนโรงเรียนสอนภาษาเลย (หัวเราะ) ก็สนุกดีครับ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ หลายๆ อย่างในความเป็นเชียงใหม่ จากเพื่อนๆ นักแสดง จากสถานที่ จากเหตุการณ์ที่เราต้องถ่ายทำกัน แล้วเวลาที่ใต้มาเจอกับเหนือความสับสนความมันส์มันก็จะคละกันไป หันไปทางนั้นทีนี่ก็พูดเหนือใส่ หันไปทางโน้นทีนี่ก็พูดใต้อีก มันก็จะแปลกไปอีกแบบ เป็นสีสันของเรื่องนี้ที่สนุกดีครับอยากให้ติดตามดูกัน
มีฉากไหนที่เล่นแล้วประทับเป็นพิเศษสำหรับเรื่องนี้
ฉากประทับใจเป็นฉากที่ไม่สามารถจะเล่าให้ฟังได้ แต่ประทับใจในการแสดงและเรื่องราวของมันมากว่า นุ่นเขาจะเล่นได้แบบเข้าถึงบทบาทมากๆ บอกใบ้ได้นิดนึงว่าเป็นฉากที่ตัวปรียามาสำนึกผิดกับเสี่ยเล้ง แต่รายละเอียดไปดูเอาว่าสำนึกผิดจากเหตุการณ์อะไรยังไง แล้วหนทางออกของทั้งคู่จะเป็นยังไง มันเป็นซีนที่คนดูจะต้องลุ้นเอาเองว่าเสี่ยเล้งจะทำให้มันออกหัวหรือออกก้อย ชีวิตคู่จะเป็นยังไงกันต่อไปสำหรับสองคนนี้ มันเป็นฉากที่เนื้อหากินอารมณ์มาก มันบีบคนดู มันลุ้นอยู่อย่างเกร็งๆ
ในเรื่องนี้มะเดี่ยวหยิบยกมาจากประสบการณ์ของตัวเองที่เขาอยากจะถ่ายทอดออกมา แล้วความรักความทรงจำของเจมส์ที่อยากจะพูดถึงมีบ้างไหม
เรื่องที่เรากำลังแสดงอยู่ จริงๆ มันคล้ายชีวิตจริงผมมากเลย ก็คือว่าเรื่องราวของความรักต่างๆ บางครั้งเราก็ไม่ได้อยู่กับคนที่เพอร์เฟ็คที่สุด แต่ว่าเราอยู่กับคนที่เรารู้แล้วว่าจุดด้อย ข้อผิดพลาดเขามีอะไรบ้าง มันดีกว่าเราจะไปอยู่กับคนที่เราไม่รู้เลยว่าเขามีจุดด้อยตรงไหน ไม่เคยรู้แล้วมารู้ตอนที่ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ด้วยกันแล้ว จริงๆ เป็นชีวิตจริงของทุกคนแหละผมว่า บทบาทของตัวเสี่ยเล้งเอง ผมว่ามีความใกล้เคียงกับผมมาก ตัวผมเองเวลาอยู่ต่อหน้ากล้อง อาจจะดูเป็นคนสนุกสนานเฮฮา แต่ชีวิตจริงก็เป็นนิ่งๆเหมือนเสี่ยเล้งไง เลยมีความรู้สึกว่าพอได้เล่นภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วมันหวนให้มองตัวเอง หวนให้คิดถึงเรื่องราวตัวเองหลายเรื่อง ทั้งเรื่องความรัก เรื่องของชีวิตของตัวเอง ก็เลยคิดว่าบางครั้งเหมือนเราไม่ได้แสดงอะไร (หัวเราะ) เดินเข้าฉากก็เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นเสี่ยเล้งเท่านั้นเอง
นิยามคำว่ารักของเจมส์มีไหม เป็นยังไง
ความรัก คือ เหมือนกับว่าเราสามารถที่จะยอมรับทุกอย่างของเขาได้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์ บางวันที่อาจจะไม่สวยเลย หรือบางวันเขาอาจจะประสบอุบัติเหตุเป็นง่อย เราต้องเลี้ยงเขา หรือว่านิสัยโกรธ หงุดหงิดง่าย นิสัยที่คนอื่นรับไม่ได้ แต่คนสองนี่สามารถรับกันได้ สิ่งนี้แหละผมเรียกว่าเป็นความรัก มันคือการตกลงกันของคนทั้งสอง มันคือการลงตัวกันของคนทั้งสอง การเติมเต็มให้กันและกัน
เรื่องนี้พูดถึงการแต่งงาน การที่คนสองคนที่ต้องตัดสินใจมาเริ่มต้นใช้ชีวิตด้วยกัน มุมมองในเรื่องแบบนี้สำหรับเจมส์มีความเห็นยังไงบ้าง
คนที่จะใช้ชีวิตด้วยกัน ผมมีความรู้สึกว่า 1.มันไม่ใช่เรื่องง่าย อย่าคิดเพียงแต่ว่าเธอสวยจัง ฉันหล่อจัง แล้วเราก็รักกันมาก แต่งงานกันเถอะจบ ส่วนใหญ่จะประสบปัญหาเลิกกัน จะดีในช่วงไม่กี่เดือนแรก ผมคิดว่ามันควรจะต้องมีการคุยและไม่มีคำว่าตัวตนของแต่ละฝ่าย ไม่มีคำว่าไอ (i) ไม่มีคำว่ายู (You) แต่มันต้องมีคำว่าวี (we) หมายความต้องลด i มาครึ่งหนึ่ง ลด you มาครึ่งหนึ่ง แล้วมาเป็น we เพราะมันไม่มีใครหรอกครับที่สองคนอยู่ด้วยกันแล้วจะลงตัว100% โดยที่ไม่มีอะไรกระทบกระทั่งกันไม่มีแน่นอน เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะลดการกระทบกระทั่งกันได้ คือ ต้องลดตัวของแต่ละฝ่ายลง ไม่ใช่ว่าฉันจะเป็นแบบนี้ ฉันจะไม่เปลี่ยน เธอต้องเปลี่ยน you ก็บอกว่าฉันจะเป็นอย่างนี้ฉันยืนยัน อยากจะชอบฉันก็เป็นตามฉัน ไม่มีทาง 100 คู่เลิกกัน 100 คู่ถ้าเกิดคิดแบบนี้ หรือถ้าไม่เลิกกันก็ใช้ชีวิตอย่างขมขื่น ผมอยากให้คู่รักทุกคู่นึกถึงคำว่าเรา อย่านึกถึงคำว่าฉัน อย่านึกถึงคำว่าเธอ นึกถึงแต่คำว่าเรา เพราะถ้าเกิดมีคำนี้เมื่อไร มันสามารถทำให้เราลดทิฐิ ลดตัวตนลงเพื่อให้เข้ากับอีกฝ่ายได้
Home หรือบ้านในความหมายของเจมส์คืออะไร
ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้นึกถึงสิ่งก่อสร้าง ไม่นึกถึงอิฐ ไม่นึกถึงอะไรเลย นึกถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์หรือจะเป็นสิ่งมีชีวิตก็ได้ ที่มีความสัมพันธ์กันโดยตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปนะครับ มีความอบอุ่น มีความโหยหาอาทร มีความคิดถึงกัน มีการดูแลซึ่งกันและกัน ซึ่งเหล่านี้มันเรียกว่าเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติที่สร้างให้กับมนุษย์ได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ผมเลยคิดว่าคำว่า Home มันน่าจะเป็นสิ่งที่พูดถึงความสุขที่มนุษย์จะได้รับจากคนที่เราอยู่ด้วย
คิดว่าคนที่ดูหนังเรื่องนี้จะได้อะไรกลับไป?
ผมว่าการจะเสียสตางค์100 กว่าบาทมาเข้าชมความบันเทิงสักอย่างหนึ่ง นอกเสียจากได้เสียงหัวเราะและรสชาติของการดูหนังแล้ว ผมว่าหากเราได้ความรู้สึกดีๆ ที่มันกระแทกใจ หรือมันสร้างความสุขในใจกับไป มันไม่มีเหตุผลที่จะไม่ดูหนังเรื่องนี้ ตอบไม่ได้ว่าใครจะได้อะไรกลับไปบ้างเพราะภาพยนตร์แต่ละคนดูก็คิดคนละแบบ แต่สิ่งที่คิดว่าเกิดแน่นอนคือ ความรู้สึกประทับใจ มันจับใจ มันไม่รู้ว่ากระทบชีวิตช่วงไหนของแต่ละคน เพราะฉะนั้นผมคิดว่าถ้าหากว่ามีโอกาสอย่างให้มาชม สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในสถานะที่เรียกว่าโฮมหรือบ้าน ที่ไม่ว่าจะเป็นแฟนหรือครอบครัว หรือจะเป็นเพื่อนก็ตามที ผมอยากให้จูงมือหรือพากันมาดูและเก็บเกี่ยวความรู้สึกดีๆ กลับออกไป และใช้มันอย่างมีค่าที่สุด
สุดท้ายแล้วอยากบอกอะไรกับแฟนหนังที่รอคอยการแสดงครั้งนี้ของเจมส์บ้าง
ครับ ก็ขอฝากภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ซึ่งเป็นผลงานภาพยนตร์อีกเรื่องในรอบ 10 กว่าปีของผม ในการที่กลับมาแสดงอีกครั้งหนึ่ง ผมคิดว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีสำหรับคนดูทุกๆ คน และก็ผมคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะสามารถทำให้ทุกคนนอกจากจะมีความสุข จากการชมภาพยนตร์แล้ว ยังจะได้สิ่งที่เรียกว่าความสุขจากความรู้สึกของคำว่า Home อยู่ในใจ แล้วก็ทำให้เรามีความรู้สึกเหมือนกับว่า เราจะสนใจสิ่งที่อยู่รอบข้างเรามากขึ้น เราจะสนใจคนที่อยู่ใกล้ตัวเรามากขึ้น ยังไงก็ฝากภาพยนตร์เรื่อง Home เอาไว้อีกเรื่องนะครับ
บันทึกภาพ: สหมงคลฟิล์ม