“มาร์ช” จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล จากเรื่อง HOME ความรัก ความสุข ความทรงจำ

แชร์ข่าวนี้

บทสัมภาษณ์ “มาร์ช”  จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล จากเรื่อง HOME ความรัก ความสุข ความทรงจำ

ในเรื่องรับบทเป็นใคร

ในเรื่องนี้ผมรับบทเป็น “เน” เด็กเชียงใหม่เรียนอยู่ที่โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย เรียนอยู่ประมาณมัธยม 6 เป็นเหมือนตากล้องประจำโรงเรียน จะมีกล้องติดตัวอยู่ตลอดเวลา เหมือนเขาเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่สุงสิงกับใคร แต่ว่าเพื่อนจะเอาผลประโยชน์จากตัวเขาในเรื่องให้เขาไปถ่ายภาพให้ แต่ไม่ได้คบเพื่อความจริงใจ เนเป็นคนน่าสงสารนะ อยู่มา 6 ปีแต่ไม่เจอเพื่อนที่จริงใจเลย ถ่ายรูปให้โรงเรียนก็มีคนหมั่นไส้อีก เหมือนว่าคิดยังไงกับอะไรก็จะถ่ายรูปผ่านมันออกมา

มารับเล่นเรื่องนี้ได้ยังไง

ที่มาเล่นเรื่องนี้ได้คือวันนั้นผมสอบโอเน็ทเพิ่งเสร็จ ทางโมเดลลิ่งเรียกไปแคสติ้ง ตอนแรกก็ไม่ได้คิดไรเพิ่งสอบเสร็จผมก็ไม่ได้เซ็ทเลย หัวยังเกรียนๆ อยู่เลย ผมสั้นเพิ่งโดนตัดมา ก็ไม่ได้หวังอะไรเล่นตามบทไปเขาให้เล่นอะไรก็เล่น แล้วก็มีพี่มาบอกว่าได้เล่นนะ ดีใจมากเป็นโอกาสที่ดี ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจด้วยครับ ตอนที่แคสติ้งตอนนั้นพี่มะเดี่ยวให้เล่นฉากที่ต้องมีการจับกล้อง จังหวะการเล่นการพูด มีเว้นวรรค เขาจะดูการสนทนาของเรามากกว่า ว่าตัวของเราตรงกับคาแรกเตอร์ที่พี่มะเดี่ยวต้องการหรือเปล่า ก็จะมีพี่มาบรีฟบทให้เราก็พูดคนเดียวผ่านกล้อง 

คิดว่าวันนั้นเราได้เพราะอะไร

คิดว่าที่ได้เหมือนว่าเวลาผมจะพูดอะไรจะคิดก่อนพูด แต่จริงๆ ตอนนั้นต้องคิดเพราะว่าลืมบทครับ (หัวเราะ) อาจจะไม่ได้คิดจริง

ตอนนั้นพอได้เล่นแล้วได้อ่านบทเลยไหม

 ก็เรื่องบท ไปถึงครั้งแรกพี่มะเดี่ยวเขานัดเวิร์คช็อปครั้งแรก จะไปฝึกการแสดงก็ยื่นบทมาให้อ่านก่อน อ่านแล้วเออ..ก็โอเคน่าสนใจดี ท้าทาย ลุคใหม่อะไรอย่างนี้ก็ลองเล่นดูครับ ได้ท้าทายตัวเองดีครับ

เข้าฉากส่วนใหญ่เป็นบทสนทนากัน มั่นใจแน่ใจว่าจะเอาอยู่ไหม

คือเป็นเรื่องแรกของทั้ง 2 คนเลย ทั้งของผมและของแจ็ค (กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณะ รับบทเป็น บีม) ผมก็ไม่ได้มั่นใจตั้งแต่เวิร์คชอป ตอนนั้นผมยังรู้สึกอยู่เลยว่าจะไหวหรือเปล่า พอมาเล่นจริงก็รู้สึกกดดันเหมือนกัน เพราะทุกสายตาจับจ้องแค่คู่นี้คู่เดียวเล่นกันอยู่ 2 คน กลัวทำพี่ๆ เขาช้าเดือดร้อน พอได้บทมาก็รีบหัดพูดก่อน ท่องบทก่อนเยอะๆ ก่อนไปเข้าฉากนี่ท่องมาก่อนทั้งวันเลย ท่องจนซึมเข้าหัวกลัวถึงเวลาแล้วแบบตื่นกล้อง แต่ก็ได้เสิรมความมั่นใจขึ้นเยอะเพราะพี่มะเดี่ยวจับให้มีการเวิร์คช็อปและก็ให้ซ้อมแอคติ้งอยู่ตลอดเวลา

 

จริงแล้วก่อนทำหนังมาร์ชก็ถือว่าเป็นเด็กตั้งใจเรียนคนนึงเลยไหม

ก็ก่อนถ่ายทำหนังเป็นเด็กที่ติดเรียนคนนึงเลยครับ แม่ปลูกฝังให้ตั้งใจเรียนก็ตั้งใจเรียนที่สุดแหละ เพราะมันช่วงม.6 ด้วยเอาแต่เรียนๆ จะเอนทรานซ์แล้ว ก็มีไปแคสงานโฆษณาบ้างนะ ถ่ายแบบนิดหน่อย แต่งานชิ้นใหญ่ก็งานหนังเป็นชิ้นแรกเลย ตอนนั้นเพิ่งสอบเสร็จวันเดียวเอง มาแคสหนังเรื่องนี้เลย เพิ่งผ่านทุกอย่างเลยตอนนั้นไม่รับงาน อ่านหนังสืออย่างเดียว ถ่ายแบบนิตยสารทั่วไป โฆษณา KFC เล็กๆ น้อยๆ ประปรายครับ

ตัวละครที่ชื่อว่า “เน” กับ “มาร์ช” ตัวจริงมีอะไรที่เหมือนหรือแตกต่างกันบ้าง

ผมว่าคนละขั้วเลยครับ เนเป็นคนพูดน้อยมากแบบคิดไรก็คิดในใจ แต่ตัวจริงผมคิดไรพูดเลยมีแต่คนด่าว่าผมพูดไรไม่คิด แบบชอบโวยวาย แต่เนเขาเป็นคนเงียบๆ แต่ผมว่ามีส่วนที่เหมือนกัน ต้องการเพื่อนที่จริงใจ แต่ผมโชคดีนะที่ผมเจอเพื่อนที่จริงใจทุกวันนี้

ในเรื่อง เน เป็นช่างภาพต้องถ่ายรูปส่วนตัวมาร์ชสนใจทางด้านนี้บ้างไหม

ก็สนใจนะครับแต่ไม่ได้เป็นมืออาชีพแบบเน เนเขาเขามีอุปกรณ์ต่อกล้องอย่างยาว แต่ตัวจริงผมมีแต่กล้องถ่ายเล่นครับ ในไอโฟนบ้างดิจิตอลตัวเล็กๆ บ้าง โปรแกรม IG อะไรแบบนี้ ไม่ได้จริงจังแต่ชอบดูรูปสวยๆ

ก่อนที่จะมาเล่นเราต้องไปเข้าคอร์สเรียนการแสดงอะไรบ้างไหม

มีครับประมาณ 5-6 ครั้ง พี่มะเดี่ยวเขาบอกว่านักแสดง 2 คนเล่นกันอยู่ 2 คน ต้องทำความคุ้นเคยกันและเล่นกันให้สนิทใจ เพราะผมกับแจ็คต้องเล่นคู่กันตลอดทั้งเรื่อง เข้าบทบ้างหรือทำกิจกรรมที่จะเพิ่มความสนิทให้กันบ้าง ผมกับแจ็คก็เลยสนิทกันเร็วเหมือนกันนะ แจ็คก็เลยเหมือนทั้งน้องเหมือนทั้งเพื่อนผมเลยครับ เพราะพี่มะเดี่ยวช่วยด้วยล่ะครับ

 เคยติดตามผลงานของมะเดี่ยวมาก่อนไหม พอได้มาร่วมงานกันเห็นอะไรในตัวมะเดี่ยวบ้าง

พี่มะเดี่ยว เขาดังมานานแล้วแต่ที่ผมรู้จักก็จากเรื่อง “รักแห่งสยาม” ผมชอบหนังเรื่องนี้มากเลยนะครับ ชอบที่ตัวเนื้อหาดูแล้วอิน ผมก็ปลื้มผลงานพี่เขา แต่พอมาเจอตัวจริงตอนแรกก็เกร็งนะ แต่พอเจอเขาใจดีมากเป็นกันเองและพูดจาตรงๆ ผมชอบเขาดี พี่มะเดี่ยวเขาเหมือนครูผม ทั้งเรื่องการแสดงและการวางตัว พี่มะเดี่ยวสอนการวางตัวเยอะมาก สมมุติว่าถ้าถ่ายหนังไปแล้วพอหนังฉายเราต้องทำตัวยังไงถึงจะเหมาะสมในวงการนี้ถ้าเรามีโอกาสก้าวเข้ามาจะวางตัวยังไงให้เดินต่อไปได้อย่างดี อันไหนไม่ดีไม่ควรทำ สอนเยอะเลยครับตอนอยู่เชียงใหม่ ผมก็ทำตัววัยรุ่นทั่วไปมีดื้อบ้าง หนีเที่ยวดอยบ้าง ก็โดนพี่เขาติๆ มาเริ่มคิดตอนนี้ก็โตขึ้นละเริ่มคิดได้ เราก็ปรับปรุงเราไปทำงานก็ควรอยู่กับงานไม่ควรจะหนีเที่ยวครับ (หัวเราะ)

ถึงตอนแสดงมีปัญหาไรบ้างไหม

มีครับตอนซ้อมพี่มะเดี่ยวยังเป็นแบบพ่อพระอยู่เลย ก็คือใจดี แต่พอเข้าบทจริงๆ หรือเราเล่นไม่ได้บางครั้งก็มีโกรธเหมือนกันนะ ผมก็ไม่กล้ายุ่งเลยครับ เขาโมโหเป็นคนละคนกับตอนซ้อมเลยครับ แสดงว่าเขาทำงานแบบจริงจังมากเลย เขาก็จะบอกว่าทำไมตอนซ้อมมันไม่ใช่แบบนี้นี่ (ทำหน้าซีเรียสเลียนแบบมะเดี่ยว) ก็มันตื่นกล้อง (หัวเราะ) บางวันถ่ายไป 10 เทคก็ยังไม่ได้ บางครั้งก็ตาปรือบ้าง พี่มะเดี่ยวก็จะถามว่าทำไมตาปรือแบบนี้ (ทำเสียงเลียนแบบมะเดี่ยว) คือทั้งเรื่องที่ผมเล่นเขาถ่ายแต่กลางคืนผมก็ปรับตัวไม่ทัน เพราะปรกติใช้ชีวิตอยู่แต่กลางวัน กลางคืนก็นอน แต่มาถ่ายเรื่องนี้ต้องตื่นตี 4 อย่างงี้ให้ผมตาโตยังไงไหว(หัวเราะ)

 

ฉากไหนที่คิดว่ายากสุดสำหรับมาร์ชในเรื่องนี้

ฉากสบตากันกับบีม ผมต้องแบบมีอะไรหน่วงๆ ในหัว ยากเพราะเขาต้องโคสอัพมาที่ดวงตาด้วยครับมันก็เลยยาก มันยากตรงความรู้สึกที่ถ่ายทอดผ่านดวงตาออกมา ต้องยืนนิ่งสื่อทางดวงตาออกมาอวัยวะอย่างอื่นเล่นไม่ได้เล่นได้แค่ตา พี่มะเดี่ยวบอกว่าตาต้องบอกทุกอย่าง ตาคนเราเวลาอยู่ในหนังจะเท่ากับลูกบอล ทุกคนจะมองมาที่ตาหมดเลย ก็คิดว่าฉากนั้นยากสุดนะ

เรื่องบทพูดไม่ค่อยจะมีปัญหาใช่หรือเปล่า

ตัวเนที่ผมเล่นเป็นคนพูดน้อยแต่อารมณ์มันสำคัญมากกว่า ส่วนคนพูดมากเป็นของแจ็คพูดทั้งเรื่องเลยครับ คนที่จะมีปัญหาเรื่องบทพูดน่าจะเป็นแจ็ค (หัวเราะ)

ประทับใจอะไรบ้างในเรื่องของการแสดง

ประทับใจในวันแรกเลยครับ คือฉากที่ยากที่สุดที่พี่มะเดี่ยวถ่ายวันแรก ฉากนั้นคือทุกคนตื่นเต้นมากว่าเด็กสองคนนี้จะผ่านไปได้หรอ แต่มันผ่านเร็วมากไม่กี่เทคเองทั้งกองชมว่าฉากแรกเล่นได้ดีขนาดนี้เลย มันเป็นฉากสบตา ซึ่งพี่มะเดี่ยวบอกว่าฉากนี้สำคัญนะห้ามพลาดเด็ดขาด ผมกับแจ็คนี่มองหน้ากันเลย เอาไงดีล่ะจะผ่านไหมเนี่ย ทุกสายตาก็จ้องและกดดันมาที่เราสองคน แต่พอถ่ายจริงกลับผ่านได้อย่างง่ายดาย มันเลยประทับใจมากครับที่เราสองคนทำสำเร็จ

 

ร่วมงานกับแจ็คเป็นอย่างไรบ้าง

อย่างแรกที่เขามีคือสัมมาคารวะผมชอบ เราห่างกันแค่ปีแต่เขานับถือผมมากผมรู้สึกได้ว่าไม่เคยได้จากใครเท่าเด็กคนนี้มาก่อน การพูดการจายกมือไหว้ เขาเป็นเด็กร่าเริงสมกับในบทเลยครับ เขาเป็นนักกีฬาด้วย อยู่วงโยธวาทิตอีกด้วย ได้ยินกิตติศัพท์มาว่าเด็กคนนี้ความสามารถเยอะมาก ร่วมงานกันเขาเก่งนะเก่งกว่าผมด้วยซ้ำ เล่นบทยาวๆ ได้ ท่องมาได้เป๊ะมาก แล้วก็พูดมากนี่เหมือนเลยครับความกระล่อนที่หนึ่ง พริ้วมาก เอาตัวรอดตลอดเจอสาวๆ ในกองกรี๊ดกร๊าด นอกเรื่องก็มีคุยกัน ก็สนิทกันไปไหนไปกันหลังจากนั้นก็แยกย้ายไปเรียนหลังจากปิดกองแต่ก็ติดต่อกันโทรถามสารทุกข์สุขดิบ ว่าแจ็คเรียนเป็นไงเห็นบอกว่าจะเข้ามหาลัยแล้วครับ

เล่าถึงการถ่ายทำช่วงเวลากลางคืนให้ฟังหน่อยว่าบรรยากาศโรงเรียนกลางคืนที่นั่นเป็นยังไงบ้าง

ตอนถ่ายทำในตอนของผมจะเป็นเนื้อเรื่องเกิดขึ้นทุกอย่างในคืนเดียวทำให้ทุกฉากต้องถ่ายทำตอนกลางคืนในรร.มงฟอร์ต ผมก็รู้จักชื่อโรงเรียนนี้มานานแล้วเป็นรร.ที่ดังและมีชื่อใน จ.เชียงใหม่ ไปถ่ายนี่ไม่เคยเจอตอนกลางวันเห็นแต่ตอนกลางคืน ไฟเปิดทั้งรร.เลยครับ เป็นรร.ที่สวยมากเลย การเตรียมตัวก่อนถ่ายซื้อเครื่องดื่มชูกำลัง กาแฟ ใส่ทุกอย่างจนเกือบท้องเสีย กลัวตาปรือ ทุกคนก็ยอมตากยุงรอพวกผมสองคนถ่าย บางฉากถ่ายจนฟ้าสว่างก็ยังไม่ได้เลยต้องไปถ่ายวันต่อไป รู้สึกว่าพี่ๆ ทีมงานน่ารักทุกคนยืนรอตากยุงไม่บ่นสักคำว่าพวกผมสองคนเล่นไม่ได้ ประทับใจทุกคนครับ

 

เรื่องราวรักในวัยเรียนในชีวิตจริงของมาร์ชล่ะมีบ้างไหม

จะเป็นความรักระหว่างเพื่อนมากกว่า ผมเรียนรร. ชายล้วนมา เรื่องเพื่อนสำคัญสุดในรร.ชายล้วนในช่วงมัธยม คนไหนมีปัญหาก็กรูกันไปช่วยหมดเลยไม่ว่าจะเป็นการเรียน เรื่องทุกเรื่อง ทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่ รักกันมากลืมกันไม่ได้ เพื่อนมัธยมผมว่ามันส์สุดแล้วนะ เพื่อนมหาลัยมันก็ต้องเป็นแบบสหฯก็ยังเกร็งๆ อยู่บ้างเวลาอยู่กับผู้หญิง แต่ชายล้วนสุดๆ เลยเรื่องเพื่อน

ให้ความหมายของคำว่าเพื่อน

ผมว่าเพื่อนมีอิทธิพลต่อชีวิตมากนะ เพื่อนเป็นที่ปรึกษาได้ทุกเรื่องบางเรื่องผมไม่กล้าปรึกษาพ่อแม่ หรือพี่เลย เพราะว่าเพื่อนเข้าใจเราที่สุดเป็นวัยเดียวกันอยู่กับเราบ่อยกว่าพ่อแม่ เพื่อนบางคนอยู่ด้วยกันที่ รร.อยู่บ้านเราก็คุยกันก็รู้สึกว่าเพื่อนเข้าใจเราที่สุด ผู้ใหญ่บางคนคิดไม่ตรงกับเราก็ค้านแล้ว เพื่อนเขาจะเข้าใจว่าเราคิดแบบนี้เพราะอะไร เพื่อนซี้กันมากๆ ก็ตอนมัธยมอยุ่ด้วยกันมา 4-5 ปี เจอกันทุกวันมันผูกพัน เราทำกิจกรรมร่วมกันเยอะไปเที่ยวมีปัญหามีเรื่องก็ช่วยกันตลอด อย่างผมเรียนมัธยมจบจากรร.สวนกุหลาบวิทยาลัย เป็นรร.ที่มีกิจกรรมเยอะมากเลย ไม่ว่าจะแปลอักษร ซ้อมเชียร์แล้วก็กิจกรรมระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องใน รร. จะเยอะมาก รุ่นน้องจะรู้จักรุ่นพี่เยอะ สนุกนะมันไม่ได้มีแค่การเรียน ไม่ใช่มา รร. แล้วกลับบ้าน มารร.บางคนยอมอยู่จนดึกเพื่อทำกิจกรรมอยู่ถึงจนเช้า มันจะมีงานจตุรมิตรเป็นงานใหญ่แข่งระหว่าง 4 โรงเรียน สวนกุหลาบ เทพศิรินทร์ อัสสัมชัญคอนแวนต์ กรุงเทพคริสเตียน แล้วก็ทุกรร.จะแข่งกันแปลอักษร ฟุตบอล แล้วจะมีถ่ายโค้ดแปลอักษรต้องเหมือนเม็ดสีในภาพๆ นึงต้องมีเป็นหมื่นๆ เม็ดสีให้รุ่นน้องจุดนี้ต้องเป็นเม็ดสีอะไร รุ่นพี่ม.4 ม.5 มาช่วยเหลือกันบางวันอยู่จนเช้า นั่งถ่ายโค้ดเขียนโค้ดจนบางคนเขียนจนต้องเข้ารพ.ก็มีนะ แสดงถึงความที่เราทำเพื่อสิ่งๆ เดียวกันเราทำในสิ่งที่เรารักก็คือชื่อเสียงของรร. ผมรู้สึกว่ามันสอนให้เราทำหรือทำในสิ่งที่เรารักให้มันพยามที่สุด

รร.ก็เหมือนบ้านที่สองของเรา บอกความรู้สึกของมาร์ชที่มีต่อรร. มันเปรียบได้อย่างไร

ใช่เลยครับโรงเรียนก็เหมือนบ้านหลังที่สองเลย รู้สึกอุ่นใจทุกครั้งเวลาที่เราก้าวเข้าไปในรร. ผมออกจากบ้านมาเพื่อไปบ้านอีกหลังหนึ่งทุกครั้งที่ไป รร. ก็เหมือนได้เจอคนที่เรารักในรร. เจออาจารย์ เจอเพื่อน ภารโรงที่รร.ผมก็สนิท เหมือนอยู่บ้านก็เจอคนที่เรารักพ่อ แม่ พี่ ไปที่รร.ก็ยังเจออีกเปรียบเหมือนบ้านหลังที่สองของผมได้เลยครับ ทุกวันนี้ก็ยังกลับไปเรื่อยๆ ถ้ามีโอกาส และผมยังต้องวิ่งแก้บนอยู่เลย

ที่บ้านว่าอย่างไรบ้างมาเล่นหนัง

ทุกครั้งที่ใกล้สอบแม่จะบอกว่าเพลาๆ ลงบ้าง มีแคสงานหรือถ่ายงานก็จะปฏิเสธบ้างเอาเวลามาอ่านหนังสือดีกว่า เพราะว่าแม่มักจะบอกบ่อยๆ ว่าอาชีพด้านนี้มันไม่มั่นคง กราฟขึ้นๆ ลงๆ ยึดหลักอะไรไม่ได้ เรามีอาชีพประจำเป็นวิชาชีพซึ่งผมเรียนบัญชีบริหารอยู่ครับ อันนี้จะมั่นคงทำให้อนาคตเราตำแหน่งที่มั่นคงให้ยึดอันนี้เป็นหลัก ตอนเด็กเคยฝันอยากเป็นสจ๊วตมันเท่ดี ก็อยากเป็นให้ได้เลยตอนนั้น สักพักค่อยมาทำธุรกิจตัวเอง เอาความรู้ที่เรียนบริหารมาทำธุรกิจตัวเองแต่ไม่รู้จะรอดป่าวนะครับ (หัวเราะ)

นี่เป็นเรื่องแรกที่มาร์ชได้เล่นหนัง มาร์ชคิดว่ามาร์ชได้อะไรจากตรงนี้

ผมว่าเรื่องการเข้าบทบาทผมยังผิดพลาดบ่อย เราต้องไปฝึกฝนถ้ามีโอกาส พูดกับตัวเองกับกระจกให้มากขึ้น ออกกล้องยังมีเขินอยู่ทั้งที่ตอนซ้อมยังเล่นได้ พี่มะเดี่ยวบอกตอนซ้อมเล่นดีกว่านี้ เราก็มานั่งคิดเราดีกว่านี้หรอ แล้วทำไมออกกองจริงๆ เราทำไม่ได้แบบที่เราซ้อมกันก็ต้องฝึกฝนให้มากขึ้น มากขึ้นกว่าเดิมอีก

 

บ้าน ในความหมายของมาร์ชคืออะไร

คำว่าบ้าน คือ สถานที่อยู่แล้วอบอุ่นใจที่สุดแต่ต้องมีคนที่เรารักอยู่ในที่นั้นด้วย ไม่ใช่เราอยู่ในบ้านนั้นคนเดียวมันก็เป็นบ้านไม่สมบูรณ์แบบ อยู่แล้วก็มีคนที่หวังดีกับเราอยู่แล้วเวลาเรามีความสุขด้วยกัน อันนั้นน่าจะเรียกว่าบ้านที่สมบูรณ์แบบที่สุด ก็ผมเคยเรียนมาระหว่างคำว่า Home กับคำว่า House พี่มะเดี่ยวเลือกคำว่า Home มาใช้เพราะว่าโฮม คือบ้านที่มีความรักมีความอบอุ่นมีความผูกพันอยู่ในบ้านถึงเรียกว่าโฮม แต่ถ้าเฮ้าส์ก็เหมือนบ้านปกติ ไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลยมีแค่เราไปอาศัยเฮ้าส์อยู่

 นี่เป็นครั้งแรกเลยไหมไปที่ได้เชียงใหม่

ใช่ครับ ตื่นมาก็ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับเชียงใหม่เลยครับว่ามีที่เที่ยวที่ไหนบ้าง ดอยสุเทพ สถานที่ตรงไหน เส้นนิมมานเหมินทร์ มีอะไรเด็ดๆ บ้าง ไปก็กะเที่ยวเหมือนกัน เคยได้ยินว่าเชียงใหม่เด็ดรองจากกรุงเทพเลย มาทั้งทีผมเลยทั้งเที่ยวและทำงาน ผมมาถ่ายเรื่องนี้ประมาณเกือบเดือน 20 วันได้มั้ง แต่ก็มีถ่ายประมาณ 7 วัน ก็มีเวลาพักบ้างเพราะพี่มะเดี่ยวต้องไปถ่ายเรื่องอื่น ครั้งแรกที่ไปตื่นตาตื่นใจมากลงจากเครื่องประมาณ 8 โมงเช้า นั่งรถแดงที่เขาฮิตกันหาของกินไม่เจอไปเจอแต่ที่ว่างๆ สุดท้ายไปกิน MK ตอนหลังรู้ว่ามันมีตลาดตรงนั้นตรงนี้ ก็ไปอยู่จนเหมือนคนที่นั่นเลย เริ่มเที่ยว ประทับใจคนที่นู้นรู้อะไรก็ช่วยเหลือกัน ไปกินข้าวร้านไหนก็ชวนคุย สาวก็สวยดี อาหารเหนือผมซื้อแคปหมูมาฝากแม่เป็นลังเลย แม่กินจนหมอห้ามคลอเรสตอรอลพุ่ง แม่ก็เลยต้องลดไป ผมว่าอาหารเชียงใหม่อร่อยมากนะ ถูกและอร่อย มีน้ำเต้าหู้ร้านนึงอร่อยมาก แล้วมันมีร้านนึงผมไปกินบนดอย เด็ดมากมันมีเมนูนึงชื่อไก่โฮะ เป็นดอยเป็นภูเขาชั้นๆ แล้วสร้างศาลาริมดอยให้ไปนั่งกินในศาลาแล้วมีเมฆลอยผ่านหน้า สุดยอด ตอนไปฮันนีมูนต้องไปแน่นอนคิดไว้แล้วโรแมนติก อาหารอร่อย ชื่อดอยม่อนแจ่มครับ สตอเบอร์รี่ลูกเท่ากำปั้นปาหัวแตกแน่นอน (หัวเราะ) แล้วก็บางวันก็ได้แวะไปดูพวกพี่ๆ เขาแสดงกันอย่าง พี่เจมส์ พี่นุ่น พี่ตุ๊ยตุ่ย ผมประทับใจพี่นุ่นมากเล่นได้แบบสุดยอด ผมปลื้มเขาอยู่แล้วหนังที่เขาเล่นมาเขาเล่นเก่งมาก พี่เจมส์ตัวจริงนี่ตัวใหญ่มาก เจอครั้งแรกช็อคเลยเพราะผมไม่คิดว่าพี่เจมส์จะตัวใหญ่ขนาดนี้

 

ประทับใจรุ่นพี่นักแสดงคนไหนเป็นพิเศษไหม

ประทับใจพี่ต่าย เพ็ญพักตร์ครับ ดูเหมือนพี่เขาไม่ต้องท่องอะไรเขามานิ่งๆ แต่งหน้า แต่งตัว กินข้าว นั่งนิ่งๆ เข้าบทบาทได้อย่างคล่อง ทีเดียวผ่าน พี่มะเดี่ยวไม่ต้องติอะไรเลย เหมือนแบบเขาจินตนาการในความคิดพี่มะเดี่ยวได้เลยว่าต้องการแบบไหน เขาก็เล่นแบบนั้นได้เลย ผมคิดว่าเขาเก่งมาก แทบไม่ต้องคุยกับพี่มะเดี่ยวเลยเดินเข้ามาเล่น ผ่าน ส่วนผมนี่คุยมาประมาณสองเดือนยังเล่นไม่ได้เลย

 คิดว่าสิ่งที่คนดูจะได้จากการชมเรื่องนี้คืออะไร

ผมว่าหนังเรื่องนี้โดนใครหลายๆ คนนะ เพราะว่าคนเราเจอมาเยอะกับคนที่ไม่จริงใจด้วย ผมว่าหลายคนอาจเก็บไว้ในใจเจอมาแล้วก็ไม่อยากคิดถึงมัน มันต้องมีอยู่แล้วคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อน แต่ผมคิดว่ามันต้องมีคนที่จริงใจกับเรา สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อนสักวันมันต้องมีคนที่เดินเข้ามาในชีวิตเราให้ความจริงใจกับเราจริงๆ แล้วเราจะมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ผมว่ามันวิเศษที่สุดแล้วที่คนเราจริงใจให้กัน อาจจะเป็นเพื่อนหรือแฟนหรือใครที่เข้ามาแล้วให้ความไม่จริงใจรู้สึกไม่ดี รู้สึกว่าชีวิตเราโชคร้ายอย่างนั้นเลยหรอ แต่ถ้ามีสักวันที่มีคนจริงใจเข้ามามาหาเรามอบแต่สิ่งดีๆ ให้เรา ไม่ว่าจะคืนเดียว หรือ 10 ปี 20 ปี หรือตลอดชีวิตผมว่าเราจะมีความสุขมาก คนที่จะอยู่กับเราได้ คนที่เราจะปรึกษาได้ คนที่เป็นเพื่อนคุย เจอปัญหาไรก็ช่วยกันแก้ ให้ทุกคนมีหวังว่าได้เจอคนที่จริงใจกับเราแน่นอน

 ฝากผลงาน

อยากฝากเรื่องโฮม ความรัก ความสุข ความทรงจำ ด้วยนะครับ ก็อยากให้ติดตาม เพราะเป็นการแสดงครั้งแรกของผมทั้งสองคน หากมีผิดพลาดบ้างแต่เราทุกคนพยามเต็มที่ครับ ตั้งใจเต็มที่มาก กับหนังเรื่องนี้ ยิ่งพี่มะเดี่ยวทุ่มเทมากทั้งเขียนบท ทั้งสอนการแสดงกับผมเกือบเดือน เพราะอยากให้การแสดงออกมาอย่างเพอร์เฟคที่สุด รับประกันว่าทุกคนตั้งใจแสดง และหนังเรื่องนี้ออกมาดีแน่นอนครับ อยากให้ไปดูกันเยอะๆ นะครับ โฮม ความรัก ความสุข ความทรงจำ ครับ

ที่มา:  สหมงคลฟิล์ม
บันทึกภาพ:  สหมงคลฟิล์ม
นำเสนอโดย www.starupdate.com หากนำข่าวไปใช้กรุณาอ้างอิงถึง www.starupdate.com ด้วย
แชร์ข่าวนี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง