แนะนำตัวทำความรู้จักกันก่อน
สวัสดีครับผมชื่อ แจ็ค กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณา รับบทเป็น “บีม” ในเรื่องโฮม ความรัก ความสุข ความทรงจำ
อธิบายถึงคาแร็คเตอร์ของบีม เป็นอย่างไร
คาแร็คเตอร์ของบีม จะเป็นนักกีฬาบาสของโรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย บีมอยู่ม.3 ของโรงเรียนนี้ แต่ว่าย้ายโรงเรียนบ่อยจึงไม่ค่อยมีเพื่อน นิสัยของบีมจะเป็นคนพูดเก่ง พูดมาก มักจะขี้สงสัยในทุกๆ เรื่องเข้ากับคนง่าย จนวันนึงเจอ เน (แสดงโดย มาร์ช จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล) ซึ่งเป็นรุ่นพี่ม.ปลาย สองคนก็ได้มีโอกาสคุยกันในคืนหนึ่งของโรงเรียน เลยทำให้สนิทกันเพียงระยะเวลาเพียงคืนเดียวเท่านั้น คาแร็คเตอร์ที่ดูเด่นชัดของบีมคือ พูดมากอย่างเดียวเลยเป็นคนชอบเล่าเรื่อง อยากรู้อยากเห็นว่าเนเขาทำอะไรอยู่ เป็นเด็กร่าเริงแจ่มใส และบีมก็ไปแอบชอบผู้หญิงคนนึงซึ่งเป็นเพื่อนกับเนครับ
เข้ามาแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างไร
ผมรู้จักกับพี่มะเดี่ยวมาก่อนหน้านี้อยู่แล้วครับ พี่เขามาช่วยซ้อมวงโยธาวาทิต ของโรงเรียนบดินทร์เดชา แล้วเขาก็มาชวนให้เล่นหนัง ตอนแรกชวนเล่น MV ก่อน และก็มาถามว่าเล่นหนังไหวไหมก็เลยลองดูครับ ตอนไปแคสติ้งผมต้องเล่นสื่ออารมณ์ ซึ่งเป็นฉากในหนังที่ต้องใช้อารมณ์มากที่สุด ใช้อารมณ์ผ่านสายตา ต้องสื่อออกมาด้วยสายตา วันที่ไปแคสติ้ง มีคนมาแคสบทเนพอดี ก็เล่นคู่กัน ตื่นเต้นมากเพราะเราไม่เคยเจอกันมาก่อน
ตอนทราบผลว่าถูกเลือกแสดงภาพยนตร์รู้สึกอย่างไรบ้าง
มีพี่ทีมงานโทรมาบอก ตกใจมากครับ ตอนนั้นกำลังจะแข่งบาสของโรงเรียนกำลังวอร์มร่างกายพอดี อยู่ๆ พี่เขาโทรมาบอกว่าได้เล่นหนัง ก็เล่นหนังหรอตกใจเลย แล้วก็วางไปเพราะแข่งบาสอยู่สมาธิไม่อยู่กับตัวชู๊ตไม่ลงเลย (หัวเราะ) ดีใจมากครับ
ก่อนหน้านี้แจ็คเคยผ่านผลงานอะไรมาบ้าง
แสดง MV ของพี่โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เพลง อยู่ที่ไหน โดยมีพี่มะเดี่ยวเป็นผู้กำกับครับ แค่นี้เลย แต่ผมจะทำกิจกรรมทางโรงเรียนเป็นส่วนใหญ่อย่างอยู่วงโยธาวาทิต จะเล่นเครื่องดนตรี บาริโทน และทอมโบนครับ บาริโทนจะเป็นเครื่องเป่าเวลาแข่งจะมี 2 อย่าง คอนเสิร์ท คือพวกนั่งบรรเลง และมาร์ชชิ่ง คือเดินแปรรูป หากผมเดินแปรรูปก็จะเป็นบาริโทน ถ้านั่งบรรเลงก็จะเป็นทอมโบน นอกจากนี้ก็เป็นนักกีฬาบาส ตำแหน่งการ์ดจ่าย หรือตัวส่งบอลครับ
มีการเตรียมตัวเพื่อการแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกในชีวิตของเราอย่างไรบ้าง
ฝึกเรียนการแสดงกับพี่มะเดี่ยว ไปพร้อมกับพี่มาร์ชที่เล่นเป็นเน ฝึกการใช้อารมณ์ว่าต้องเล่นยังไงควรทำอย่างไง เวลาเจอสถานการณ์แบบนี้ ครั้งละ 3 ชม.ต่อวัน ประมาณ 2 เดือนครับ พี่มะเดี่ยวสอนเน้นในเรื่องแสดงอารมณ์ การใช้ควบคุมอารมณ์ ก็ถ้าเกิดเจอสถานการณ์แบบนี้ต้องทำยังไง และหากเวลามีปัญหาทางการแสดงผมก็จะบอกพี่มะเดี่ยวตรงๆเลยครับว่าผมทำไม่ได้ พี่สอนผมหน่อย
ตัวละคร บีม มีความเหมือนหรือแตกต่างจากตัวจริงของแจ็คบ้างไหม
แตกต่างเกือบทุกอย่างเลยนะ ตัวจริงผมเป็นคนไม่ค่อยพูด และมีเพื่อนเยอะแต่ไม่ค่อยพูด ซึ่งในบทเป็นคนที่พูดมากและขี้สงสัย ตัวจริงผมไม่ใช่อย่างนั้น สิ่งที่เหมือนกันคือเป็นนักกีฬาบาสของโรงเรียน มีแค่อย่างเดียวนอกนั้นก็แตกต่างหมดครับ
เปิดกล้องแสดงภาพยนตร์วันแรกครั้งแรกรู้สึกอย่างไรบ้าง
ช่วงแรกพี่มะเดี่ยวพาผมไปดูกองถ่ายเรื่องก่อนหน้าผม ซึ่งเขาบอกว่าทำตัวให้ชินนะ จนผมสนิทกับพวกพี่ๆ ในกอง เปิดกล้องวันแรกก็ตื่นเต้นนิดหน่อยนะครับ
มีปัญหายากง่ายอย่างไรบ้าง
มันยากตรงที่เวลาเจอไฟจะเบลอไปหมดเลย ผมเป็นคนที่เจอไฟส่องเข้าตาแล้วสมาธิเบลอไปหมดเลย ที่ผมจำมาก็หลุดหมดเลย อันนี้ผมแก้ด้วยตัวเองก็คือทำให้ชินครับ ระยะเวลาการถ่ายทำจะถ่ายกันประมาณ 4 วัน ส่วนใหญ่ถ่ายเป็นกลางคืน เรื่องเวลานอนไม่ค่อยมีปัญหาเพราะปกติผมเป็นคนนอนดึกอยู่แล้วชอบดูบอล ก็เลยไม่ซีเรียสเรื่องนอนดึกครับ แต่ต้องใช้สมาธิมากกว่าการดูบอล ต้องใช้พูด ใช้แรง ใช้สมาธิ วิธีแก้ของผมคือการหาอะไรทำ เดินเล่น เดินดูบท ท่องบทไปเรื่อยๆ กินน้ำของที่กอง กินน้ำร้อนให้มันกระชุ่มกระชวยครับ
ร่วมงานกับพี่มะเดี่ยวเป็นอย่างไรบ้าง
ตอนแรกตื่นเต้น ไม่คิดว่าพี่เขาจะเป็นร่าเริงเห็นบุคลิกครั้งแรกดูเป็นคนมาดเข้ม จริงๆแล้วพี่มะเดี่ยวเขาเป็นคนร่าเริง ตลก หัวเราะตลอดเวลา ตอนสอนการแสดงไม่เครียดเลย เขาจะสอนไม่ให้เกร็งเวลาเล่นหนัง
แล้วพอเปิดกล้องจริงๆล่ะ
มีอยู่ฉากนึงผมเกือบร้องไห้ กดดันมากเลย แค่บทพูดเปลี่ยนนิดนึงสลับตรงนั้นตรงนี้ ผมพูดไม่ได้ก็โดนพี่เขาชาร์ตเลย น้ำตาเกือบไหลไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน และก็กดดันด้วยเพราะว่าทุกคนรอเราอยู่(หัวเราะ) วิธีแก้ปัญหาก็คือ พี่มะเดี่ยวให้ผมออกไปทำสมาธิให้ยืนคนเดียวหลับตา แล้วค่อยเข้ามาในฉากอีกรอบนึง ก่อนหน้านี้เคยเล่น MV ที่พี่มะเดี่ยวกำกับมาแล้ว ก็ทำให้สนิทเหมือนพี่น้องกัน แต่พอมาเล่นหนังแล้วเขากำกับมันคนละฟิวส์กันเลย เขาเป็นคนที่ถึงเวลาจะจริงจังแบบสุดๆ ผิดพลาดนิดนึงก็จะเริ่มใหม่ ก็จะกดดันมาก พอผ่านฉากนั้นไปเหมือนขึ้นสวรรค์ รู้สึกฟินาเล่มาก (หัวเราะ)
ร่วมงานกับมาร์ช เป็นอย่างไรบ้าง
ตอนแรกก็เกร็งๆเพราะไม่รู้จักกัน พอมาเรียนการแสดงก็ทำให้สนิทเหมือนเป็นพี่คนนึงของผม ตอนไปเรียนการแสดงพี่มะเดี่ยวจะให้ผมกับพี่มาร์ชซ้อมตรงที่ไม่เข้าใจให้คุยกันเองซ้อมกันเอง ถึงเวลาเขาก็จะไหนขอดูหน่อย อยู่ที่เชียงใหม่ก็ทำให้รู้นิสัยพี่มาร์ชมากขึ้น คือชอบมองผู้หญิง (555) ส่วนผมไม่มองแต่จะคอยบอกว่าพี่มาร์ชคนนี้ดีกว่า (555)
ส่วนตัวแล้วมีความประทับใจอะไรบ้างในภาพยนตร์เรื่องนี้
ผมประทับใจทีมงานทุกคนเต็มที่มาก ส่วนใหญ่เรื่องราวของผมจะถ่ายแต่กลางคืนทุกคนจะอดหลับอดนอนกันหมดเลย จะเริ่มถ่าย 6 โมงเย็นถึง 6 โมงเช้าทุกวันเลย ทำให้รู้สึกว่าทุกคนเต็มที่มากเลยประทับใจครับ สำหรับสถานที่ถ่ายทำเป็นที่โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย ตอนกลางคืนยุงเยอะมาก(หัวเราะ) ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวผมไม่ค่อยได้ออกไป จะอยู่ซ้อมบทกับพี่มาร์ชในห้องมากกว่า แต่บางทีพี่มาร์ชก็แอบหนีออกไปครับ(หัวเราะ) แต่พี่มะเดี่ยวเขาก็พาไปกินข้าวซอย อร่อยชอบ และถูกด้วย เป็นการมาเชียงใหม่ครั้งแรกของผมครับ ถ้าจะประทับใจก็ตรงที่เป็นหนังเรื่องแรกของผม และยังมาถ่ายที่เชียงใหม่ด้วย รู้สึกดีประทับใจมากครับ
ฉากที่รู้สึกว่าเป็นฉากพิเศษของแจ็คเลย คือฉากเกี่ยวกับอะไร
ฉากชู๊ตบาส และต้องชู๊ตให้ลง เป็นฉากสุดท้ายของวันนั้น ซึ่งฉากนี้บีมจะต้องชู๊ตบาส และให้พี่เนถ่ายรูป ต้องชู๊ตทำ 3 แต้ม ผมก็ชู๊ตไม่ลงสักลูกเลย จนพี่ทีมงานมายืนกดดันกันหมดเลย ช่างกล้อง ช่างไฟ ทุกคนเต็มไปหมด ก็ยังชู๊ตไม่ลง จนมีคนตะโกนบอกว่า เฮ้ยกูง่วง! (555) จนสุดท้ายก็ชู๊ตลงซึ่งผ่านไปตั้ง 6 ลูก สำหรับคนปกติแค่ 6 ลูกเอง แต่สำหรับนักบาสมันตั้ง 6 ลูก ซึ่งมันเสียชื่อนักบาสนะ และตอนนั้นเป็นเวลาตี 5 ผมก็หลับๆ ตื่นๆ ตามัวมาก เบลอไปหมด พอชู๊ตลงปุ๊ป เฮ! เลิกกอง(หัวเราะ) เขารอให้ลงปุ๊ปเลิกกองเลย
เรื่องราวของ เน กับ บีม ทั้งสองคนจะต้องสนทนากันตลอดเป็นอย่างไรบ้าง
เป็นฉากแรกเลยที่ยาก เป็นฉากที่ผมพยายามจะสนิทกับพี่เน ก็จะเล่าเรื่องต่างๆที่ผมเคยทำมา คืออยากอวด ซึ่งมันมีอยู่ 8 บรรทัดในบท และตัวจริงผมไม่ใช่คนพูดมากเลย ในบทมันเยอะไปให้ตายเหอะ มันหลายเทคมาก เพราะบทเยอะเกินแต่ก็ผ่านมาได้ ฉากนั้นผมจะพูดเกี่ยวกับเรื่องรถกระดาษ อยากอวดตัวเองว่าเก่ง เคยพับรถกระดาษเป่าชนะคนอื่น ยาวมากกว่าจะอ่านเสร็จก็นานเช่นกันครับ
ใช้เวลาถ่ายฉากนั้นนานไหม
ก็นานนะ กล้องเขาจะตั้งไว้และปล่อยให้เราเล่นออกมา ผิดเอาใหม่ ตั้งกล้องแล้วผมก็เดินพูดๆๆแล้วค่อยตัดไปอีกมุมนึง น่าจะหลายเทคอยู่เพราะเป็นฉากที่ต้องพูดเยอะมาก ประมาณ 6 เทคครับ
ช่วงวัยเรียนของแจ็ค เคยแอบรักใครสักคนไหม
เคยแอบชอบตอนม.1 ตอนนั้นผมขี้อายไม่กล้าเข้าไป ปรึกษาเพื่อน เพื่อนก็บอกว่าเดินเข้าไปเลย จนพอวันนึงโดนตัดหน้าไปก็เลยคิดว่าทำไมตัวเองไม่ทำตามที่เพื่อนบอกตั้งแต่แรกนะ และผมเคยปรึกษาแม่ แม่บอกให้จำคำนี้ไว้ ด้านได้อายอด แล้วพอผมเจอคนที่ผมชอบจริงๆผมก็เดินตรงเข้าไปเลย ตอนนั้นยังเป็นอีเมล์ ก็เดินเข้าไปขออีเมล์เขา เขาก็ให้แต่ให้วันละตัว ซึ่งยาวมาก 14 ตัว และให้ผมมาเรียงเองด้วยจนได้มาจนครบ เรียงเองเรียงเสร็จก็ประมาณ 14 เมล์ครับ กว่าจะเสร็จเมล์นึงแต่พยายามมาก แถมช่วงนั้นยังเป็นช่วงที่ลำบากที่สุดคือผมซ้อมวงโยธาวาทิตเลิกดึก แล้วเขาจะออนเอ็มช่วง 2 ทุ่มถึง 3 ทุ่ม แต่ผมเลิกซ้อมถึงห้าทุ่มเที่ยงคืนก็เลยลำบากตรงนี้ครับ
คำว่า เพื่อน ในความหมายของแจ็คคืออะไร
เพื่อนเหมือนทุกอย่างของชีวิตผม ไม่ได้มากไป ไม่น้อยไป ทุกคนต้องเจอมาหมดคำว่าเพื่อน สำหรับผมนี่คือขาดกันไม่ได้ เวลาจะสนุก สนุกคนเดียวได้ไหม ไม่ได้ก็ต้องมีเพื่อน เวลาเศร้าคนเดียวได้ไหม ได้นะแต่ว่าอยากให้เพื่อนเศร้าด้วยประมาณนี้ชิวิตผม รักเพื่อนมาก เวลาไม่มีตังค์ก็ยืมเพื่อนได้ ล้อเล่นนน… เพื่อนเปรียบเป็นทุกอย่าง เพื่อนขาดไม่ได้จริงๆสำหรับผม เวลาผมมีอะไรผมจะเก็บกดแต่เวลาเพื่อนมาถาม ผมจะระบายให้เพื่อนฟังทุกอย่างทุกเรื่อง ถ้าเพื่อนไม่เข้าใจก็ต่อยเลย(หัวเราะ)ล้อเล่นๆ
ในชีวิตจริงเราผูกพันกับโรงเรียนจนเหมือนเป็นบ้านที่สองเลยไหม
ผมอยู่วงโยธาวาทิตของโรงเรียนบดินทร์เดชา ซ้อมเย็นเลิกดึกตลอด เลิกเรียนก็จะซ้อมหลังสามโมงเย็นจนถึงห้าทุ่มเที่ยงคืนตลอดทุกวัน บางวันก็นอนโรงเรียน ผูกพันกับโรงเรียนมาก ตอนกลางคืนโรงเรียนจะเป็นของข้า
อยู่โรงเรียนทำกิจกรรมอะไรบ้าง
ผมจะมีพี่สาวเป็นฝาแฝดเขาอยู่วงโยธาวาทิต พอผมเห็นเขาไปแข่งแล้วมันเท่ดีจัง ก็เลยสมัครเข้าวงโยธาวาทิตด้วย ความรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวอีกครอบครัว มีทุกรุ่นทุกวัยเข้าใจกันทุกอารมณ์ มีการรับน้องใหม่เป็นการละเล่น โดยผู้ชายจะจับแก้ผ้าเลยรับน้องเขียนเต็มตัวเลย แต่พอมารุ่นผมม.6 ก็ไม่มีล่ะ เดี๋ยวเด็กมันออกหมด ต้องฝึกซ้อมตั้งแต่ม.1 ตอนนั้นได้ไปแข่งที่ประเทศเกาหลี แข่งชิงแชมป์โลกได้รางวัลอันดับที่ 5 และมีตอนม.3 ไปแข่งที่ประเทศมาเลเซีย ได้ที่1 ชิงแชมป์โลก ลงข่าวเบ้อเริ่มเลยของนสพ.ไทยรัฐ แล้วก็มีแข่งที่ไทยปกติทุกปี และก็เป็นนักกีฬาบาสของโรงเรียนครับ
ทำกิจกรรมเยอะขนาดนี้มีวิธีแบ่งเวลาอย่างไรบ้าง
มีวันนึงช่วง 10 โมงถึงบ่ายโมงจะมาไปเรียนการแสดงกับพี่มะเดี่ยว หลังจากบ่ายโมงก็ไปซ้อมเต้น หลังสี่โมงถึงหกโมงซ้อมบาส ทุ่มนึงถึงสามทุ่มซ้อมวงโยฯ อันนี้คือวันปิดเทอม เหนื่อยมากแต่ว่าสนุกดี ผมเป็นคนชอบทำกิจกรรมครับ อย่างเล่นบาสมันสนุกได้ออกกำลังกายด้วย ซ้อมเต้นผมเป็นคนชอบฟังเพลงเต้นโรบ๊อท มีเคยไปประกวดไทยแลนด์ก๊อตทาเล้นท์เข้ารอบคัดเลือกด้วยนะ
กิจกรรมทั้งหมดที่ทำมามีอันไหนที่รู้สึกว่าชอบมากเป็นพิเศษ
มันสนุกคนละแบบเต้นก็จะสนุกตามอารมณ์เพลง ส่วนบาสก็จะเล่นกับเพื่อนเวลาเราจ่ายลูกแม่น เพื่อนทำแต้มได้ก็ยิ้ม ส่วนเรื่องวงโยธาวาทิตมันเป็นความสามัคคีเดินเล่นกันเป็นร้อยคนตามเพลง 8 นาที มันคนละแนวหมดเลย ชอบทุกอย่างครับ
และการแสดงภาพยนตร์ล่ะชอบไหม
ผมชอบเล่นหนังนะ เพราะจะสื่ออารมณ์ได้มากกว่าเล่นMV มันมีทั้งบทพูด มีผู้หญิง มีเพื่อน อะไรมากมาย
ฝากผลงานภาพยนตร์
มาดูเรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ เป็นหนังเรื่องแรกของผม ซึ่งผมแสดง ก็อยากให้มาดูกัน และยังมีทั้งนักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง พี่เจมส์ เรืองศักดิ์, พี่นุ่น ศิรพันธ์, พี่ต่าย เพ็ญพักตร์ ฝีมือทางการแสดงคุณภาพทุกคน เป็นเรื่องที่พี่มะเดี่ยวกำกับเอง เขียนบทเองด้วย นักแสดงตั้งใจจริงและรวมถึงทีมงานตั้งใจกันอย่างมาก 19 เมษายนนี้นะครับ
บันทึกภาพ: สหมงคลฟิล์ม