ฮิวโก้ เปิดใจสัมภาษณ์ถึงอัลบั้มชุดใหม่ Old Tyme Religion

แชร์ข่าวนี้

ชื่อเล่น : เล็ก หรือ ฮิวโก้

ชื่อ/นามสกุล : จุลจักร จักรพงษ์

ชื่อภาษาอังกฤษ : Hugo Chula Alexander

วัน/เดือน/ปีเกิด : 6 ส.ค. 2524

มารดา/บิดา : หม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์/ แอลเลน เลวี่

พี่น้อง : มีน้องชายต่างบิดา “กู้”ภูวสวัสดิ์ จักรพงษ์

การศึกษา : ร.ร.จิตรลดา/ ร.ร.ชาร์เตอร์ เฮาส์ กรุงลอนดอน

สถานภาพ : สมรสกับ ฮาน่า-ทัศนาวลัย มีลูกชาย 1 คนชื่อ “ฮาเปอร์”ด.ช.ทัศนจักร จักรพงษ์ อายุ 10 เดือน

 

 

ที่มาก่อนโกอินเตอร์ที่อเมริกา
– ผิดหวังจากการทำเพลงที่ อังกฤษ
“อแมนดาเปิดเพลงที่ผมแต่งให้เพื่อนที่อยู่ค่ายไอแลนด์ เร็กคอร์ดในเครือยูนิเวอร์แซลฟัง เพื่อนเขาสน ใจ บินมาเมืองไทยดูตัวผม คุยกันตกลงเซ็นสัญญา ทำไปได้สักพัก คนที่เซ็นสัญญาถูกไล่ออก โปรเจ็กต์ถูกยกเลิก เคว้ง เพราะผมลาออกจากวงสิบล้อแล้ว เพราะคิดว่าจะไปได้สวย คิดว่าตัวเองเจ๋ง อีโก้มาก เหลิงมาก เก่ง คิดว่าตัวเองต้องดังมาก แต่ทุกอย่างกลับไม่ใช่ จากนั้นเลยตระเวนออดิชั่นตามค่ายต่างๆ แต่ไม่มีใครเอา เราท้อและไม่กระตือรือร้นแล้ว เพราะอีโก้ที่เรามีโดนอัดยับ ตัดสินใจกลับเมืองไทย อแมนดาก็โทร.มาว่า ที่บียอนเซ่ เอาเพลง Disappear ของผมไปร้อง ซึ่งตอนแรกเพลงนี้จะอยู่ในอัลบั้มผม แต่เขาคงเอาไปให้เจย์ซีสามีบียอนเซ่ฟังแล้วชอบ เจย์ซีส่งคนมาคุยให้ผมเซ็นสัญญาเป็นนักร้องค่ายร็อก เนชั่น ที่นิวยอร์ก จากนั้นผมก็กลับมาแต่งงานกับฮาน่าและไปนิวยอร์กด้วยกัน”

– เพลงอัลบั้มชุด Old Tyme Religion ภายใต้สังกัดร็อกเนชั่น ของเจย์ซี
“เพลงถือว่าประสบผลสำเร็จประมาณหนึ่ง ซิงเกิ้ลขึ้นชาร์ตในบิลบอร์ด เพลงถูกใช้ในหนัง ละคร โฆษณา และจะให้ทำชุด 2 ต่อ คือวงการเพลงตอนนี้อยู่ขั้นวิกฤต แต่เขายังให้เราทำต่อ เป็นนิมิตหมายที่ดี ถือว่ารอด”
– อะไรคือปัจจัยหลักในการตัดสินใจว่า “เซ็นสัญญา” กับ Roc Nation ทั้งๆ ที่คุณกล่าวว่า วงการเพลงเต็มไปด้วยความผิดหวัง และการทรยศหักหลัง
“ถึงเราจะรู้ลักษณะของวงการว่ามันเป็นอย่างไรแต่เราก็ปฎิเสธไม่ได้เพราะเราเลือกที่จะทำสายงานนี้ความเฉือดเฉือนกับความหักหลัง ความผิดหวังมันก็เป็นสิ่งที่มาพร้อมกับงานศิลปะในเรื่องของการอกหัก ถ้าศิลปินคนไหนไม่เผชิญความอกหักหรือไม่เจอความผิดหวังคงทำอะไรซักอย่างผิดแล้วล่ะเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องมา ถ้าเราใฝ่สูงเราต้องพร้อมที่จะล้มเหลว อย่างน้อยๆมันต้องยอมรับว่านี่คือความจริง ถึงมันจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมอยากจะทำผมแค่ยอมรับว่าสิ่งที่ผมพูดว่ามันเป็นความจริง แต่ยังไงก็ตามเราต้องดำเนินการต่อ ร็อคเนชั่นหรือค่ายไหนก็ตาม มันก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ แต่คนอย่างผมนี่ อยากทำแบบมีค่ายเพราะโอกาสที่จะทำแบบระดับแมสนี่มันสูงกว่า ถ้าเราอยากจะรักษาความบริสุทธิ์และทำแบบใต้ดินก็ทำได้แต่วัยสามสิบ ไม่ใช่เวลาที่ทำอะไรแบบนั้น เพราะเราต้องทำเป็นอาชีพและนี่คือเงื่อนไขของอาชีพ อาชีพนี้มันเป็นอย่างนี้ มันอาจจะไม่ได้เป็นด้วยคนอื่นด้วยมันเป็นตัวเราด้วย เราในฐานะศิลปินนักร้องนี่ ก็แน่นอนเป็นคนที่อาจจะมีsensitive มีเรื่องหัวใจ จิตใจความรู้สึกเข้าไปเกี่ยวพันกับสายงานเรามากกว่าสายงานอื่น มันไม่สามารถที่จะเข้าไปรับจ๊อบแล้วทำโดยไม่ได้คิดอะไร มันเป็นทั้งชีวิตเราใส่ใจกับมันทั้งหมดทั้งเวลาต้องสละ ห่างจากครอบครัวไปเล่นดนตรีไปไรงี้ เลย พอเสียสละทั้งหมดนี้แล้วนี่ ถ้าจะเสี่ยงและถ้าจะลงเอาหัวใจเอาวิญญาณเอาทั้งหมดทุ่มเทไปกะมัน โอกาสจะรุ่งมันต้องสูง เพราะฉะนั้นต้องทำกับค่ายที่ใหญ่มีอิทธิพล อย่างน้อยค่ายของผมนี่เจ้าของเป็นศิลปินอย่างน้อยก็น่าจะเข้าใจมากกว่าเจ้าของเป็นนักธุรกิจที่ถูกโยกย้ายมาจากบอร์ดไหนก็ไม่รู้มากอบกู้ ค่ายใหญ่ๆในเมืองนอกเป็นอย่างนี้ ที่ไม่อาจจะไม่ได้เป็นบ.ทำเพลงอย่างเดียว อาจเป็นบ.บันเทิงที่ทำหลายอย่าง เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ”
-แสดงว่าคุณก็ต้องปรับตัวเองใช่ไม๊ให้เข้ากับสิ่งที่คุณคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ว่าค่อนข้างจะร้ายกาจในความรู้สึก
“เราไม่ได้ปรับตัวเองแบบจงใจเราปรับตัวเหมือนสัตว์ทุกตัวที่เจอระบบนิเวศน์ใหม่ ไม่ต้องปรับตัวเองก็ได้แต่ก็ไม่รอด เราไหลตามโอกาส เราเป็นคนฉวยโอกาสในการทำงาน เพราะเรารู้สึกว่าไอ้สิ่งที่เราทำนี่มันเป็นตัวเราอยู่แล้วเราก็ทำมานานพอที่จะมั่นใจ อีกอย่างนึงจุดประสงค์ของเราไม่น่าจะจะขัดแย้งกับบ.ด้วยซ้ำ เพราะเราก็ไม่ได้อยากให้มันเจ๊งเราอยากให้มันรุ่ง เพราฉะนั้นเจตนาในทางธุรกิจเราไม่ขัดแย้งกับเค้า เราเน้นไปที่เพลงเราอาจจะไม่ได้เน้นไปที่ภาพรวมของอุดมการณ์ สมัยสิบล้อนี่มันไม่ใช่แค่เพลงมันเป็นอุดมการณ์มันเป็นทั้งหมด ความเป็นอยู่รวบรวมไปในงานจะเรียกว่าศิลปะมันดูสูงส่งเกินไป แต่ว่าในconceptทั้งหมด ตื่นเช้ามาเราก็ทำตัวเป็นคนในวงสิบล้อ พอมาเป็นศิลปินเดี่ยว เราเองก็เฉือดเฉือนได้มากขึ้น เราเองก็เด็ดขาดได้มากขึ้น เพราะเราเป็นศิลปินเดี่ยว”
-คือมันไม่เหมือนกับว่าอยู่กับวงแล้วเราต้องมองข้างหลังคือสมาชิกด้วย
ใช่ไม่ต้อง มันง่ายสำหรับคนเดี่ยวๆที่จะเอาตัวรอดละทำงานในวงการที่เฉือดเฉือนและเด็ดขาดเพราะว่าเราไม่ต้องห่วงอะไร เราจะเลือกร่วมงานกับใครก็ได้เพราะไม่มีใครเป็นเพื่อนเรา ทุกคนเป็นผู้ร่วมงานทุกคนเป็นมืออาชีพทุกคนเป็นผู้ใหญ่ ไอ้ความเฉือดเฉือนกับความเด็ดขาดสำหรับเล็กนี่ไม่ใช่ข้อเสียมันเป็นเรื่องที่ดีเพราะมันทำให้เรายอมรับความจริงว่าเราทำงานอะไรอยู่ และทำแบบจริงๆซีเรียส ไม่ได้ทำเล่นๆรักสนุกหรือหลงใหลในวิถีชีวตอของนักดนตรี ความอิสระของการได้ไปเที่ยวไปปาร์ตี้ไปใช้ชีวิตไม่ใช่เราเลิกคิดเรื่องพวกนั้นไปนานแล้วมันเป็นข้อดีสำหรับผมด้วยซ้ำในเรื่องการเฉือดเฉือนนี่”
-ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบร็อคสตาร์ไรงั้นเลยใช่ไม๊
“ไม่ อันนั้นมันเป็นภาพลวงตาที่เด็กอายุ 17-18มักจะหลงใหลกัน มันไม่ได้เป็นความจริงหรอก พวกร็อคสตาร์ที่ได้ทำตัวเป็นร็อคสตาร์นี่เค้าทำได้เพราะเค้าประสบความสำเร็จแล้ว เพราะงานหนักเค้าจบไปแล้ว เค้าทำได้เพราะเค้ามีเงินเหลือเฟือ เวลาเหลือเฟือเยอะแยะ เค้าจะทำตัวแบบไหนก็ได้ไม่มีศิลปินคนไหนเริ่มต้นจากจุดนั้น มันต้องดังก่อนและก็มีตังค์เยอะและก็มีแต่คนเอาใจรอบข้างมันถึงจะทำตัวแบบนั้นได้”
-ถ้าคุณไปถึงจุดนั้นคุณจะเป็นอย่างนั้นไม๊
“มันไม่ได้แล้วมันมีลูกแล้ว ถ้าผมโสดมันจะเป็นไปได้ ก็ได้ผมอาจจะเสียคนก็ได้ แต่นี่คือเรามีคนสองคนในชีวติ นี่คือยังไม่ได้นับเพื่อนๆที่เรารักเอาแบบใกล้ชิดสุดก็คือเมียกะลูกยังไงก็ตามเราก็ต้องเป็นคนดีในสายเค้าเราก็ต้องเค้าเป็นคนที่พึ่งได้เป็นคนที่ร่วมชีวิตกับเค้าเองทางแฟนผมก็เสียสละอะไรเยอะ ในการมาเป็นแฟนผม คอยรอผมทำงานกับผม ไรงี้ เพราะงั้นถ้าให้ผมดังแล้วไปทำตัวแบบร็อคสตาร์มันไม่ได้แล้วล่ะ มันสายไปแล้วโอกาสของผมที่ทำตัวอย่างนั้นมันผ่านไปแล้ว ในวัยทีนผมก็ได้ทำตัวอย่างนั้น โอกาสของผมในเมืองไทย ผมก็ดังตอนอายุ17”

-ตอนนั้นมีหลงไม๊
“อ่ะ แน่นอนรั่วเลยล่ะ และยิ่งไปทำสิบล้อนี่ไม่มีใครมาห้ามไรผมได้เวลานั้นเพราะผมมีรายได้ของผมเอง แต่เรารู้เราเป็นมีสมองว่าหนังม้วนนั้นมันจบยังไงถ้าจะไปทางนั้น ก็คือ ความตาย ทุกข์ ล้มละลาย นั่นคือเส้นทางสุดท้ายของการใช้ชีวิตแบบร็อคสตาร์เพราะว่าถ้าคุณไปหลงใหลในแสงเสียงหรือในยาเสพติด หรือเปลี่ยนคู่ไปเรื่อยๆคุณจะไม่มีจุดยืน มันก็อยากที่จะรักษาสติ รักษาตำแหน่ง รักษาไรหลายๆอย่างที่ตามมาที่เรารู้อยู่แล้วว่ามันจบยังไง”
-มาถึงความคิดจุดนี้ได้อย่างไร ไม่ไปทางนั้นล่ะ
“มันไม่มีเวลาไม่ใช่ว่าผมเป็นคนดีมาก คิดออก แล้วบรรเจิด เราแค่ไปโฟกัสที่ตัวงาน เราหลงในดนตรีที่จริงนี่เราในที่สุดเราหลงใหลในขั้นตอน เราหลงใหลในห้องอัด เราชอบเดินทางเราชอบเล่นดนตรีบนเวทีให้คนดู นี่คือเหตุผลและปัจจัยที่ทำให้ผมทำงานนี้ไม่ใช่ผลพลอยที่ตามมา มันไม่แน่นอน”
-Roc Nation เค้าให้โอกาสคุณในการตัดสินใจทำงานอย่างไรบ้าง
“ก็ทั้งหมด ถึงเค้าจะให้หรือไม่ให้อำนาจมันก็ไม่สำคัญถ้าเราไม่เอาเพลงไหนที่เราไม่ชอบลงไปในอัลบั้มเราก็ไม่เอาเค้าจะไม่สามารถทำงานกับคนที่ไม่ร่วมงานกับเค้าไม่ได้อ่ะ ถ้าสมมติว่าเค้าบอกว่าอยากให้เราใส่สูทสีชมพู เราไม่ใส่อ่ะ คือต้องกล้าที่จะบอกว่าไม่และให้เหตุผล ไม่งั้นเค้าจะเซ็นต์เราทำไมถ้าเค้าไม่ไว้ใจไม่เชื่อใจในรสนิยม หรือฝีมือที่เราอาจจะมีหรือไม่มี”
– พูดถึงมุมมองการแต่ง “เนื้อเพลง” คุณคิดว่าอะไรของคุณในเพลง Disappear ที่ไปโดนใจ “บียองเซ่” เข้า ถึงถูกเธอขอเอาเพลงนี้ไปใช้
“อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันผมพยามจะไม่วิเคราะห์มากเกินไปเดี๋ยวเราจะพยามทำซ้ำและทำไม่ได้ มันเหมือนการถ่ายรูปบางทีเผลอแล้วมันดูดีกว่า การแต่งเพลงมันก็คล้ายๆกัน มันเป็นช่วงเวลาช่วงนึงที่เราดันรู้สึกอย่างนั้นและก็ร้องออกไปในจังหวะนั้น ถ้าเราไม่แต่งวันนั้นให้วันรุ่งขึ้นเรามาแต่งมันก็จะไม่เหมือนกัน”
-เล่าเรื่องบียอนเซ่กับเจซิย์ให้ฟังหน่อย
“มันไม่ถึงกับร่วมงานอะไรกับเค้า เค้าเอาเพลงของเราซึ่งมันเสร็จแล้วซึ่งผมไม่ได้เข้าห้องอัดไปคลุกคลีอะไรกะเค้า ทั้งหมดเรามาอยู่ใน บ.ครอบครัวเค้ามากกว่าร่วมงาน เราเจอเค้า เราก็อึ้งๆ เพราะด้วยความที่เค้าดังมาก เค้าเป็นคนที่มีรัศมี มีเสน่ห์มีอะไร เราก็พูดไม่ค่อยออก เราก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับคนที่ดังขนาดนั้น เค้าคงมีแต่คนมาชม มาอะไร จะซื้อของฝากก็ยังไม่รู้จะซื้ออะไรให้ เค้ามีทุกอย่างแล้ว เราก็จะเงียบๆเราก็แล้วแต่เค้าจะให้ทำไร”
-แล้วมีออเดอร์มาอีกไม๊ขอเพลงอีก
“มีแต่ก็ยังไม่มีโอกาสจะได้ทำ ถ้าจะให้มันดีต้องได้ทำด้วยกัน ตอนเราแต่งเพลงนี่ถ้าคนที่เราแต่งให้นี่อยู่ในห้องด้วยนี่มันจะชัดเจน และมันจะง่ายขึ้นแต่งให้เข้ากับเค้าไปเลย ด้วยการคุยกะเค้าในอารมณ์ที่ว่าเค้าอยากจะร้องเรื่องอะไรบ้าง เพราะว่าบางทีผมอยากร้องอย่างนึง แต่เค้าอาจจะร้องอีกอย่างนึง เช่นเพลง Disappearเค้าก็เปลี่ยนใน Verse 2 เพื่อให้เข้ากับชีวิตเค้า”
-กับเรื่องของการเป็นคนเขียนเพลง คุณคิดว่าคนที่จะเขียนเพลงควรจะต้องมีการศึกษาข้อมูลที่ลึกซึ้งและใกล้เคียงความถูกต้องแค่ไหนก่อนที่จะเขียนออกมาเป็นเพลง หรือเอาแค่ภาพที่เห็น ข่าวที่ได้ยิน แล้วเอามาเขียนเป็นเพลงเลยโดยไม่จำเป็นต้องตรวจสอบความถูกต้อง????
“มันแล้วแต่เพลง อย่างเพลง “ปั่นเมือง” ที่ผมทำโครงการ ผมกับ “ใหม่” ก็ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับจักรยานให้เยอะที่สุด รู้คำศัพท์และประโยชน์ของมันก่อนที่จะมาทำเพลง ถ้าเพลงมันมีประเด็นที่กะจะร้องเรื่องนี้..โดยเฉพาะในอารมณ์ของเมืองไทยที่เค้าเรียกว่า “เพื่อชีวิต” ตอนนี้ เราก็ควรจะรู้เรื่อง แต่ถ้ามันเป็นเพลงเกี่ยวกับความรู้สึก คุณก็ควรจะรู้ตัวว่าคุณรู้สึกอะไรอยู่ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่มีอะไรต้องศึกษา แต่ถ้าเป็นเพลงอกหัก แล้วคุณเคยอกหักมาก็ว่ากันไปตามนั้น มันไม่มีอะไรที่คุณจะหาจากคนอื่นได้หรอก นอกจากว่าเป็นเพลงแบบอื่นๆ ที่คุณต้องระวังคือคุณจะต้องไม่ไปลอกเพลงเค้ามา แต่ถ้าเพลงมันเป็นเรื่องซีเรียสมากๆ และต้องเสี่ยงอย่างเรื่อง “ยา” …คนจะมาเขียนเรื่องยาแต่ไม่เคยลองยาก็ดูตลกๆ อยู่ ก็ไม่รู้ว่าเราควรจะลองเขียนหรือเปล่า แต่ถ้าเขียนออกมาโดยไม่ได้ลองเลยแต่เป็นความสามารถเฉพาะตัวของคนเขียนที่สามารถสวมตัวเองเข้าไปในสถานการณ์ต่างๆ แล้วมันดีก็ว่ากันไป”
-นี่เป็นการรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองมั้ยว่าจะต้อง “คลีน” โดยไม่ไปเขียนเรื่องพวกนี้เพราะมันหมายถึงคุณจะต้องไปสัมผัสสิ่งเหล่านั้นด้วย
“ผมไม่เคยคิดอย่างนั้นอยู่แล้ว เราทำงานของเรามา เราสุจริต ไม่ใช่คนร้าย ไม่ได้ไปโกงกินใคร แน่นอน “ศิลปิน” โดยเฉพาะนักดนตรีในบางอารมณ์วิถีชีวิตคล้ายๆ “โจร” มันก็มีบ้าง”
ยังไง รบกวนอธิบายความ??
“นักดนตรี หรือศิลปินนี่มันหลงใหลในความสวยความงาม โจรนี่หลงใหลในความสนุก ความมักง่าย ไม่อยากทำงานประจำ อยากทำอะไรที่มันง่ายกว่า ศิลปินก็มีอารมณ์ตรงนั้นด้วย ไม่อยากไปเข้าออฟฟิศแต่เช้า ไม่อยากทำอะไร อยากสุนทรีย์อย่างเดียว เป็นอะไรที่สังคมส่วนใหญ่มองดูว่าเป็นเจตนารมณ์ที่ผิด ผิดจากคนปกติ คนที่เรียกว่า “คนดี” ยิ่งต้องเดินอยู่สังคมที่ไม่ต้องแต่งตัวเหมือนคนอื่น นักดนตรีบางคนสามารถประกอบอาชีพด้วยการกินเหล้าตั้งแต่เช้ายันเย็นแต่ก็ยังทำงานได้ นี่ผมว่ามันใกล้เคียงพวกโจรมาก ยิ่งพอแก่ตัวแล้วหน้าตายิ่งดูไม่ได้เลย”
-ถ้าพูดถึงตัวเพลงที่ได้รับความสนใจจากวิคตอเรียซีเครท อย่างเพลง Bread & Butter ขั้นตอนมันเป็นยังไง
“ผมจะไม่ได้นั่งลงแล้วเอากีตาร์โปร่งมาเล่นแล้วแต่ง แต่เข้าห้องอัดไปเลย คือทางค่ายบอกว่าต้องการเพลงอีกเพลงนึง เราก็ไปห้องอัด เจอโปรดิวเซอร์แล้วเราก็ขึ้นเพลงใหม่เลย จริงๆ มาจากศูนย์ทุกเพลง คงไม่เหมือนวงร็อคที่เค้าจะแจมกันแล้วแต่งเพลง เวลาเราเข้าห้องอัดมันก็จะมีแรงกดดัน เพราะเราจองห้องอัด มีค่าใช้จ่าย มีเวลาบีบ ภายในหนึ่งวันหรือสองวันเพลงต้องเสร็จ ด้วยศักดิ์ศรีของเราเองด้วย คือเค้าออกค่าห้องอัดให้แล้วเราทำอะไรออกมาไม่ได้เราก็ดูไม่ดีเท่าไหร่ เราก็ต้องเริ่มเลย เขียนเนื้อตรงนั้นเลย ถ้ามีชื่อเพลงมาก่อนนี่จะยิ่งง่ายเลย โดยเฉพาะถ้าเป็นเพลงที่ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมาก เพลง ก็ไม่ได้เป็นเพลงลึกซึ้ง เป็นเพลงเกี่ยวกับ “ความอยากความใคร่” ของผู้ชายที่มองเห็นผู้หญิงคนนี้คนนั้นสวย ก็แบบว่า “เดี๋ยวโดน” มันง่าย เราทำในแบบอารมณ์นั้นที่..บลูส์มันจะเป็นอารมณ์นั้นอยู่แล้ว คือด้านมืดของนิสัยผู้ชาย”
-ถ้าเปรียบเทียบแนวดนตรีสมัยที่ทำกับวงสิบล้อ กับตอนทำงานเดี่ยวนี่ ดนตรีเปลี่ยนไปเยอะมั้ย แล้วทำไมถึงตัดสินใจที่จะทำงานเพลงในแนวนี้
“ดนตรีเปลี่ยนไปเยอะ เพราะบุคคลที่ทำงานกับเราไม่เหมือนกัน สิบล้อนี่ กลอง เบส กีตาร์ มันก็จะออกมาจากคนที่เป็นสมาชิกในวง แต่พอทำงานเดี่ยวนี่เราสามารถเลือกเอาใครก็ได้มาทำงานให้เรา จิ้มเอาเลยว่า เพลงนี้เอาคนนี้ๆ มาทำ ไม่ต้องโดนคอนเซ็ปท์ว่าเป็น “วง” มาบีบ คือเราคิดว่า ถ้าเราทำงานเป็นวงแล้วพอถึงเวลาทำงานก็เอาคนอื่นมาทำงานแทนสมาชิกในวงก็ไม่รู้ว่าจะเป็นวงไปทำไม การทำงานเดี่ยวนี่การทำงานในห้องอัดเราสามารถคิดเลยว่าเพลงนี้เอาคนนี้เล่น เพลงโน้นเอาอีกคนเล่น เราเอาความเพราะของเพลงเป็นตัวตั้ง เพลงนี้อยากได้เสียงไวโอลินเราก็เอามาเลย”
-คุณคิดว่าถ้าวงที่เล่นให้คุณอยู่ตอนนี้ ถ้าเปลี่ยนสมาชิกเป็นคนไทย มันจะยังได้ฟีลที่คุณต้องการอยู่มั้ย
“ได้ เมืองไทยมีนักดนตรีที่เก่งถึงระดับนั้นเพียงพอ แต่พวกเค้าจะแยกกันอยู่ตามวงนั้นวงนี้กัน ถ้าผมจะทำแบบนั้น ผมก็คงต้องพยายามยุบวงหลายวงเพื่อดึงเอาสมาชิกบางคนของวงเหล่านั้นมาเป็นสมาชิกวงผม คนเก่งเค้ามีงานอยู่แล้ว พี่ใหญ่เค้าก็เล่นให้พี่ป้อม พี่ต่อก็เล่นให้ซิลลี่ ฟูลส์ พี่เอ (พอส) ก็ทำวงของเค้า”
-เกี่ยวกับเรื่องที่เพลงและตัวคุณไปปรากฏในหนัง
“มาโดยบังเอิญ คือ ทางค่ายเค้าจะมีแผนกที่คอยดูว่าคนสร้างหนังสร้างละครบริษัทไหนเค้าต้องการเพลงใหม่เข้าไปใช้ในหนังที่เค้าสร้าง โดยเค้าต้องการเพลงใหม่ ไม่ต้องการเพลงเก่าที่ดังแล้วเพราะเค้าต้องจ่ายมาก คนพวกนี้เค้าก็จะไปตามค่ายต่างๆ ไปหาศิลปินใหม่ๆ ที่คงยินดีที่จะเซ็นอนุมัติให้นำเพลงไปใช้ฟรี หรือจ่ายน้อยได้ ตรงนี้ขึ้นอยู่กับเราเลยว่าเราจะเซ็นอนุมัติให้หรือเปล่า ซึ่งทางค่ายก็มีวิธีเรียกคนพวกนี้ให้หันมาสนใจเพลงที่ค่ายต้องการโปรโมทด้วยเหมือนกัน อาจจะด้วยการจัดคอนเสิร์ตแล้วเชิญคนของบริษัทหนังมาดู แล้วหวังว่าเราจะเล่นได้ดีพอที่จะฝังใจเค้าจนเค้าเอาเพลงเราไปใช้ในหนัง หรือไปเข้าฉากด้วย ซึ่งค่ายก็จะให้เราไปเพราะเป็นโอกาสโปรโมทที่ดี ซึ่งตรงนี้เราก็เอาด้วยเพราะเราไม่แคร์แล้ว ทำทุกอย่างให้มันดัง แค่ขออย่ามายุ่งในขั้นตอนการผลิตในห้องอัดของเราก็พอ คือ คุณเลือกเพลงได้ว่าชอบเพลงไหนไม่ชอบเพลงไหน แต่อย่ามาขอเปลี่ยนท่อนเพลงหรืออะไรเพราะคุณไม่ใช่ผู้รู้ ส่วนเรื่องผมจะขึ้นเวทียังไงก็ปรึกษาแนะนำได้แต่อย่ามายุ่ง ส่วนการจะขายยังไงเราก็ไม่เข้าไปยุ่ง”
-สำหรับทัวร์คราวนี้ มาแถวนี้กี่ประเทศ
“ก็เมืองไทย เสร็จแล้วไปสิงคโปร์ เป็นทัวร์ท้ายๆ ก่อนจะเริ่มต้นทำงานใหม่แล้ว ตอนนี้ได้นักดนตรีที่มาเมืองไทยเราก็ต้องจ่ายค่าตัวเค้าเป็นรายอาทิตย์ พอมีเวลาว่าเราก็ลากเค้าเข้าห้องอัดเลย จะเรียกว่าเดโมก็…มันอาจจะไม่เป็นเดโม่ก็ได้ เพราะจริงๆ แล้วเราอาจจะเอาไปมิกซ์ หรือแค่เอาไปร้องใหม่ก็จบงานเลยก็ได้ เพราะคำว่าเดโม่มันก็ติดแค่ว่าค่ายยังไม่อนุมัติที่จะปล่อยเท่านั้นเอง เพราะบางเพลงมันไม่ได้แตกต่างจากเดโม่เลย เพราะขั้นตอนการทำงานมันลงทุนเหมือนงานจริงๆ มันยาวนานเลย กว่าอัลบั้มจะได้ออกก็อย่างเร็ว ปี 2013”
-คาดหวังคนฟังเพลงจะติดตามผลงาน และซื้อบัตรคอนเสิร์ตครั้งนี้ยังไงบ้าง
“ก็…คาดหวังแต่ยังไงก็ได้ ด้วยเราจัดในที่ๆ ไม่ใหญ่มาก และเราก็ผมแพร่ทางอินเตอร์เน็ตทางเฟซบุ๊ค เราสามารถทำความเข้าใจกับแฟนเพลงได้มากขึ้น แฟนเพลงที่จะมาติดตามเราก็คงจะเป็นแฟนเพลงตัวจริง เพราะเราจะพูดคุยและตอบคำถามทางเฟซบุ๊คเองช่วงเวลาที่เราตื่น”
-เตรียมตัวยังไงสำหรับงานนี้
“คือ มันก็คือหนึ่งโชว์ที่…เราทำมาตลอดอยู่แล้ว แต่จะพิเศษกว่าคือความยาวมากขึ้น และเพิ่มเพลงไทยเข้าไป เล่นทั้งอัลบั้ม แต่เต็มที่เหมือนตอนโชว์ที่โน่นแน่นอน”
-มีความรู้สึกประมาณว่าตื่นเต้นมั้ย กับการนำโชว์กลับมาแสดงที่เมืองไทยในฐานะของคนที่สามารถโกอินเตอร์ได้
“ก็มี…แต่มันไม่มาก เพราะความรู้สึกนี้มันเคยมีไปนานแล้วตอนที่ผมพยายามจะนำโชว์เข้ามาครั้งแรกแต่ไม่ได้รับความร่วมมือ จนกระทั่งผมกับภรรยาต้องทำงานนี้เอง คือ การที่เราพยายามจะเล่นในโรงละครที่ไม่ใหญ่มากมันเป็นเรื่องที่เข้าใจยากสำหรับคนลงทุน ว่าทำยังงั้นทำไม ทำไมไม่ทำในอิมแพ็คไปเลย แต่เรารู้สึกว่าเราให้เกียรติคนฟัง อยากให้เค้าฟังอะไรที่มันเพราะ อยากได้ที่ที่มันมีอคูสติกดีๆ ที่ๆ คนดูทุกคนไม่ว่านั่งตรงไหนก็ตามก็ต้องได้ฟังชัดเจนและดีทุกมุม ซึ่งในที่ๆ ใหญ่มากๆ เรารับประกันเรื่องนี้ไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจจัดในที่เล็กๆ มันก็เลยยากที่จะเข้าใจเพราะมันดูแล้วไม่น่าได้กำไร แต่ผมกับแฟนก็ทำงานนี้จะได้”
-ชีวิตเปลี่ยนยังไงบ้างเมื่อมีครอบครัว
“เปลี่ยนมาก ทั้งเรื่องงานและลำดับความสำคัญของครอบครัว แต่ที่คาดไม่ถึงคือ บทบาทชีวิตของฮาน่า คือ บางคนคนมีภรรยาแล้วมันอาจะเกิดสิ่งที่ขัดแย้งกับงานที่เราทำ คือ อยากให้เราใช้เวลากับเค้า แต่ฮาน่านี่กลับกลายเป็นว่าพอผมมาอยู่เมืองไทยเค้าก็เข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการ คอยอำนวยความสะดวกในการทำงานด้วยซ้ำ ดิวเรื่องธุรกิจค่อนข้างเก่ง เข้าใจเรื่องหลายๆ เรื่องเป็นอะไรที่ดีมาก”
-บ่นให้ฟังว่าเหนื่อยมั้ย
“ก็มีบ้าง แต่ก็เป็นช่วงก่อนคอนเสิร์ตนี่แหล่ะ พอจบคอนเสิร์ตแล้วคงสบายขึ้น”
-ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ภรรยาสามารถปรับชีวิตและเข้าใจการทำงานของเรา
“เค้าได้เห็นว่าเราเป็นยังไงและงานของเราเป็นยังไง ยากง่ายแค่ไหน คือคิดว่าคนเราเมื่อใช้ชีวิตคู่กันแล้วก็ควรจะต้องใช้ชีวิตคู่กันให้มากที่สุด จะได้ไม่มีเรื่องระหองระแหงมาแยกกันแบบว่าอยู่คนละโลก อยู่คนละสังคมอะไรแบบนั้น เพราะเราไม่สามารถอยู่กับแฟนทำตัวเป็นคนนึงแต่อยู่กับเพื่อนเป็นอีกคนนึง เราก็ต้องอยู่กับคนที่รับเราได้อยู่แล้ว”
ความฝันและการวางแผนชีวิตของตัวเองเป็นยังไง
“ผมรู้สึกว่าผมอยู่ในช่วงเพลง “ทะเลใจ” ของคาราบาวแล้ว ไม่คิดถึงเรื่องของความฝันแล้ว เลยวัยนั้นมาแล้ว เรากำลังอินกับเรื่องรายวันชีวิตประจำวัน ไม่อะไรกับเรื่องที่อยากทำหรือเรื่องต้องพิสูจน์ตัวเอง คือ เส้นทางชีวิตของเราไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สุดแล้ว เราไม่ได้ต้องเอาชีวิตของตัวเองว่ามายืนอยู่จุดนี้แล้วเปรียบเทียบกับคนนู้นคนนี้ เราทำงานได้แต่ให้ความสำคัญกับเรื่องลูกเรื่องภรรยา แต่ผมไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตครอบครับเท่าไหร่เพราะจะใช้ชีวิตอยู่บนถนนตลอด แล้วอีกไม่นานผมก็ต้องไปใช้ชีวิตบนถนนอีก เวลาว่าที่ผมมีก็เลยใช้กับครอบครัวให้มากที่สุด”
-วางไว้มั้ยว่าจะใช้ชีวิตแบบนี้อีกกี่ปี แล้วจะกลับมาใช้ชีวิตครอบครับที่สมบูรณ์เลย
“ว่ากันเป็นชุดๆ ไปเลยดีกว่า คือ ถ้างานเพลงชุดหน้าใช้เวลานานเกินไปก็อาจจะไม่ทันออกก็ได้ (หัวเราะ) แน่นอนว่าผมก็อยากจะทำงานเบื้องหลัง อยู่ในเมืองไทย แต่ด้วยดนตรีอย่างเดียวคงยาก ยิ่งเหมือนเราเคยแซวคนอื่นว่าคุ้นเคยกับชีวิตแบบคุณภาพประมาณหนึ่ง แถมมีอีกสองคนที่ต้องดูแล….ถ้าได้กลับมาเมืองไทยก็คงต้องดู แต่ว่า ตราบใดที่ประตูทางฝั่งโน้นยังเปิดอยู่ก็คงจะลุยต่อ คงมีแต่คนโง่ที่จะปฏิเสธโอกาส แต่ถ้ากลับมาเมืองไทย เราก็คงมองเรื่องธุรกิจ ฮาน่าเป็นคนเก่งเค้าก็คงจะไม่เป็นแค่แม่บ้าน ชอบทำอะไรชอบดิว ชอบมีกิจกรรมทำ คงมีอะไรทำกับเพื่อนๆ ด้วย อาจจะทำรายการของเค้าไป ไม่ค่อยเป็นห่วงเท่าไหร่ ส่วนตัวเองถ้าเล่นตามเกมส์วงการบันเทิงเมืองไทยผมก็อยู่ได้ ตอนนี้ก็มีไอเดียบางอย่างที่ยังไม่อยากพูดไปเพราะถ้าทำไม่ได้มันก็จะเสียเราเอง เพราะแม้แต่ตอนไปทำเพลงเมืองนอกก็ยังไม่อยากพูดจนกว่าจะทำสำเร็จก่อน เป็นจริง เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอับอายถ้าพูดแล้วไม่ทำหรือทำไม่ได้ เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง”

ที่มา:  Hugo Old Tyme Religion Live In Bangkok
บันทึกภาพ:  Hugo Old Tyme Religion Live In Bangkok
นำเสนอโดย www.starupdate.com หากนำข่าวไปใช้กรุณาอ้างอิงถึง www.starupdate.com ด้วย
แชร์ข่าวนี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง