เนื้อเรื่อง
ในปี 1964 เมื่อโตเกียวกำลังจะเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันโอลิมปิค อาคารบ้านเรือนและระบบคมนาคมก็ถูกสร้างอย่างรวดเร็ว บรรยากาศของความตื่นเต้นอบอวลไปมั่วทั้งเมือง ช่วงกลางแห่งการเปลี่ยนแปลงและการดิ้นรนของชุมชนในถนนสายสามก็ดำเนินต่อไปย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งก็มีสีสันและเข้มข้นไม่เสื่อมคลาย
นักเขียนนิยาย เรียวโนะสุเกะ ซากาวะ (ฮิเดทากะ โยชิโอกะ) แต่งงานกับ ฮิโรมิ (โคยูกิ) และมีชีวิตที่มีความสุขกับ จุนโนสุเกะ (เคนตะ ซึกะ) เด็กผู้ชายที่เขารับเลี้ยงดูตั้งแต่ภาคแรก ที่ตอนนี้เข้าเรียนในชั้นมัธยมแล้ว ร้านขนมของ เรียวโนะสุเกะ ได้กลายเป็นร้านอาหารขนาดเล็กที่ ฮิโรมิ ดูแลจัดการ ซึ่งเธอเองก็มีข่าวดีเมื่อพบว่าตั้งท้อง และครอบครัวซากาวะก็พร้อมที่จะรับสมาชิกใหม่ อย่างไรก็ตาม เรียวโนะสุเกะ ที่เขียนนิยายชุดให้นิตยสาร Adventure Boys Book อย่างต่อเนื่อง ต้องเผชิญหน้ากับนิยมที่ถดถอยจากนักเขียนหน้าใหม่ และทำให้เขาต้องพบกับทางตัน
ในขณะเดียวกัน โนริฟูมิ ซูซูกิ (ชินอิจิ สึสึมิ), ภรรยาของเขา โทโมอิ (ฮิโรโกะ ยากุชิมารุ), ลูกชายคนเดียว อิปเป (คาซุกิ โคชิมิซึ) และลูกจ้างสาวที่อยู่บ้านเดียวกัน มัตสึโกะ โฮชิโนะ (มากิ โฮริคิตะ) ก็เริ่มที่จะขยายกิจการอู่ซ่อมรถ มัตสึโกะ ได้กลายเป็นหัวหน้าและเป็นคนที่ขาดไม่ได้ของ ซูซูกิ ออโต้ แต่ทุกเช้าเธอก็จะแต่งหน้าทำผม เพื่อออกไปเจอกับคุณหมอหนุ่ม โคทาโร่ คิคุชิ (มิไร โมริยาม่า) ที่ผ่านมาแถวถนนสายสามเพื่อไปทำงานทุกวัน มัตสึโกะ ใฝ่ฝันที่จะลงหลักปักฐานและใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับเขา
โอลิมปิกฤดูร้อน ปี 1964 ถือเป็นฉากหลังของเรื่องราวใหม่ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของแต่ละตัวละคร ซึ่งเราคุ้นเคยและหลงรักบนถนนสายสาม เมื่อผู้คนที่อาศัยอยู่ในชุมชนแห่งนี้ ต่างก็มีชีวิตที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและเหตุการณ์ แต่ก็มีใครบางคนก็กำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิต…
เส้นทางตลอด 7 ปีที่ผ่านมาของ Always
Always – Sunset on the Third Street ฉายครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน ปี 2005 หนังประสบความสำเร็จในเรื่องรายได้ถล่มทลาย และได้รับรางวัลมากมาย (รวมถึงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม) ทำให้กลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จที่สุด สองปีต่อมา Always – Sunset on the Third Street 2 หนังภาคต่อก็ทำรายได้แซงหน้าภาคแรก และตรึงหัวใจของคนดูทั้งประเทศอีกครั้ง
5 ปีต่อมา ตัวละครบนถนนสายสามที่ทุกคนหลงรักกลับมาอีกครั้งใน Always – Sunset on the Third Street 3 ซึ่งครั้งนี้ก็ถูกถ่ายทอดด้วยระบบสามมิติ
เรื่องราวเปิดในปีค.ศ. 1964 หรือ 5 ปีหลังจากเรื่องราวในภาคสอง กรุงโตเกียวได้รับเกียรติในการจัดโอลิมปิคฤดูร้อน เมื่อแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างยอดเยี่ยมตลอด 19 ปี หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นอยู่ในช่วงเวลาของการเติมโตทางเศรษฐกิจและผู้คนก็เปี่ยมไปด้วยพลังงาน เมื่อฝูงบินสร้างวงแหวนสัญลักษณ์ของโอลิมปิกบนท้องฟ้าช่วงพิธีเปิด มันก็กลายเป็นตัวแทนของช่วงเวลาที่ทำให้ทุกคนมีความหวังและอนาคตที่สดใส
ภาพยนตร์ดัดแปลงมาจากการ์ตูนชุดของ เรียวเฮ ไซงัง ที่ในปัจจุบันถูกเขียนออกมาแล้วถึง 58 เล่ม ผลงานการกำกับของ ทาคาชิ ยามาซากิ ที่กลับมารับหน้าที่เดิมอีกครั้งหลังจากการทำภาคหนึ่งและสอง ครั้งนี้เขาได้นำเอาเทคโนโลยีสามมิติที่ล้ำหน้าที่สุด มาเสริมสร้างช่วงเวลาที่น่าทึ่งและทำให้ผู้ชมยิ่งหลงรักมากขึ้น
นอกจากถนนสายสามและหอคอยโตเกียวที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ในภาคนี้ก็ยังมีช่วงเวลาประวัติศาสตร์เกิดขึ้น เช่นการสร้างวงแหวนโอลิมปิคเหนือน่านฟ้าโตเกียวช่วงพิธีเปิด รวมถึง โทไคโด ชินคันเซ็น รถไฟหัวจรวดที่ให้บริการครั้งแรกในปีเดียวกัน จุดมุ่งหมายของ Always 3 ก็คือการเป็นเหมือนไทม์แมชชีนที่พาคนดูกลับไปสัมผัสญี่ปุ่น ในช่วงหลังสงครามที่มีพลังงานและสีสัน ด้วยเทคโนโลยีสามมิติรุ่นล่าสุด ผู้ชมจะเข้าใกล้ปี 1964 มากกว่าทุกครั้ง
ด้วยทีมนักแสดงเดิมทุกคนกลับมา ไม่ว่าจะเป็น ฮิเดทากะ โยชิโอกะ, ชินอิจิ สึสึมิ, โคยูกิ, มากิ โฮริคิตะ, มาซาโกะ โมไค, โทโมคาสุ มิอุระ และ ฮิโรโกะ ยาคุชิมารุ ผสมผสานกับทีมนักแสดงใหม่ที่ปรากฏตัวในภาคนี้ และทีมงานที่กวาดรางวัลเกือบทุกสาขาในภาคแรก ก็กลับมาร่วมกันสร้างสรรค์อีกครั้ง ที่จะสร้างเรื่องราวที่น่าประทับใจและอบอุ่นหัวใจ ด้วยหนังที่ฉายในระบบสามมิติ ก็เปรียบเสมือนการตีตั๋วเข้าร่วมพิธีเปิดโอลิมปิคปี 1964 ที่จะเชื้อเชิญผู้ชมเข้าไปร่วมเชียร์ หัวเราะ และร้องไห้ไปพร้อมกับผู้คนแห่งถนนสายสาม
บันทึกภาพ: สหมงคลฟิล์ม