บทสัมภาษณ์ สมชาย เข็มกลัด(เต๋า)
รับบท “แดง” ในภาพยนตร์เรื่อง “อันธพาล”
เมื่อตัดสินใจตอบรับบท “แดง” และร่วมงานในภาพยนตร์ “อันธพาล”
“เริ่มแรกผมอยากรู้ว่าเป็นแบบไหน ช่วยส่งบทมาให้ผมอ่านก่อนได้ไหม ผมอยากอ่านบทเลย ไม่ต้องทรีทเมนต์หรือเรื่องย่อ คือเรื่องนี้เคยถูกทำมาแล้วครั้งหนึ่ง และเรื่องนี้มาอ้างอิงถึง คนก็ต้องมีบทวิพากษ์วิจารณ์เปรียบเทียบมันคือเรื่องปกติ ซึ่งผมอยากอ่านว่า พี่โขมอยากให้ผมเป็นแดง ในเวอร์ชั่นแบบไหน แล้วอยากได้อะไร ผมจึงต้องศึกษาในสิ่งที่ผมจะต้องทำในการแสดง และก็สิ่งที่ผมจะต้องรู้ว่าผมมีความสามารถพอไหมที่จะมารับบทนี้ มันเป็นเรื่องสำคัญมาก อยากให้คนดูรับรู้ได้ในสิ่งที่ผมทำ”
การเตรียมตัวเพื่อภาพยนตร์แอ็คชั่น-ดราม่า ผลงานการแสดงล่าสุดเรื่อง “อันธพาล”
“ค่อนข้างเตรียมตัวเยอะพอสมควร เพราะบทที่ได้รับเป็นตำนานของนักเลงเมืองไทยเมื่อสมัยพ.ศ. 2499-2500 เราก็ต้องทำการบ้าน ทั้งบุคลิก รูปร่าง ลักษณะท่าทางของเขาเป็นอย่างไร รวมถึงคนยุคนั้นเขามีอุปนิสัยหรือค่านิยมแบบไหน ที่สำคัญคือยุคตอนนั้นเป็นวัยอายุ 20 กว่าๆ เป็นวัยรุ่นมาก ต้องผอมเพรียว ต้องใส่กางเกงเอวสูง ใส่เสื้อยืด ใส่เสื้อกล้าม เราก็พยามทำออกมาให้ดี และรักษาคาแร็คเตอร์กับบทบาทนั้นให้ออกมาดีที่สุด ก็เลยค่อนข้างต้องทำการบ้านเยอะมากครับ ส่วนแอ็คชั่นจากที่เราได้ศึกษาและอ่านบทมันเป็นเรื่องของตีรันฟันแทง ใช้ไม้ใช้มีดแล้วต่อยกันเป็นวัยรุ่นยุคนั้นจริงๆ เมื่อมีแอ็คชั่นเราก็ต้องออกกำลังกายเรื่องของรูปร่างหน้าตาบุคลิกมันก็ต้องให้สมจริงกับสิ่งที่เราต้องได้รับบท จึงพยามออกกำลังกายครับ อย่างน้อยร่างกายเราต้องแข็งแรงก่อน ต้องพร้อมกับการแสดง จะมากี่โมง ทำการแสดงกี่โมง ยกพวกตีกันกี่โมง เลิกกี่โมงครับ”
อันธพาล เป็นภาพยนตร์แนวย้อนยุค จึงต้องมีการปรับลุคใหม่หมดอย่างไรบ้าง
“สำหรับการปรับลุคให้ตรงกับคาแร็คเตอร์ของ แดง ในบทที่ได้รับ ผมได้ดูจากรูปของคุณพ่อผมในสมัยนั้น ซึ่งการได้ดูภาพเก่าๆ ในยุคเจมส์ ดีน, เอลวิส เพรสลีย์ สมัยนั้นพวกเขาสเลนเดอร์มาก ใส่กางเกงเอวสูง ใส่เสื้อกล้าม หุ่นสะโอดสะอง ก็เลยคิดว่าตัวเองควรจะต้องผอมลงหน่อย ที่สำคัญอีกอย่างด้วยรูปร่างหน้าตาเราเป็นออริจินอลไทย ไทยโบราณ (หัวเราะ) เรารู้สึกว่าเราไว้ผมซึ่งเหมาะกับยุคนั้น ไว้จอนยาวหน่อย เอาหนวดออก ความโบราณได้อยู่ เพราะหน้าเราโบราณอยู่แล้ว ก็รู้สึกว่าโอเคในเมื่อลุคเป็นแบบนี้เราก็ต้องปรับให้ตรงกับยุคนั้นครับ”
อธิบายคาแร็คเตอร์ “แดง” อันธพาลดาวดังแห่งยุคนั้นเป็นอย่างไร
“ผมเชื่อว่า แดง กับบทที่ผมได้อ่านเป็นคนที่มุ่งมั่นจริงจัง นิ่งในมุมนึง ส่วนอีกมุมนึงก็มีความรักเพื่อน มีบุคลิกอีกแบบนึงเวลาอยู่กับเพื่อนรัก ผมเชื่อว่าทุกคนจะมีมุมความเป็นเด็กและสนุกสนาน ร่าเริง ในเรื่องของมิตรภาพและก็ความรักระหว่างเพื่อน ใจอ่ะ ผมพูดได้คำเดียวว่าใจ บางอย่างมันอาจไม่ใช่เรื่องของการโชว์พาว หรือการโชว์ความยิ่งใหญ่ แต่เป็นเรื่องของตัวตน เรื่องของบุคคล ก็พยามทำให้มันเหมาะสมและสมควรกับบทมากที่สุดเพราะว่าเราต้องตีโจทย์ให้แตก ตีบทนี้ให้ได้ ที่สำคัญเขาเป็นคนนิ่ง เราต้องไม่แอ็คอะไรต้องเดินออกไปให้นิ่ง มันไม่ใช่เรื่องง่าย ความนิ่งมันต่างจากความแข็งนิดเดียวเองนะครับ ถ้าเล่นนิ่งมากคนอาจจะมองว่าแข็งเลยก็ได้ แต่ถ้าแข็งมันก็ดูจืดสำหรับบทนี้ ช่วงแรกผมยังต้องใช้เวลาปรับ แต่ระยะหลังเริ่มรู้ว่าเรามาถูกทางแล้ว ปกติจะไม่ค่อยเช็คเทปจะเล่นเลยและให้ผู้ช่วยผู้กำกับ หรือผู้กำกับเป็นคนบอก เพิ่มเติม จะแก้ไขอะไร หรือจะเปลี่ยนบุคลิกลักษณะอย่างไร พวกเราทำงานกันเป็นทีม แล้วมันจะได้สิ่งที่พวกเราอยากได้ มันก็ยากสำหรับการที่เรายืนอยู่ยุคปัจจุบัน และเรากลับไปยืนที่พ.ศ.2499 ย้อนกลับไปอีก 55-56 ปีที่แล้ว กลับบ้านไปผมก็เปิดเพลงเอลวิสฟัง ดูหนังเจมส์ ดีน แต่ผมไม่ได้ก็อปปี้ ผมรู้สึกว่าคนยุคนั้นเขามีอารมณ์ หรืออรรถรสของการได้ดูได้ฟังได้ทำนู่นนี่มันเป็นยังไง คนสมัยนั้นเขามีรสนิยมมากเลยนะครับ การทำทุกอย่างมีเหตุผลมีความคลาสสิก มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง โดยผ่านจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต นี่แหละตัวฉัน พยายามจะหาตัวเอง คือจะบอกว่ายุคนั้นเป็นยุคที่แสดงตัวตน และเป็นคนที่มีความมั่นใจสูง แต่ยังเป็นคนกลุ่มเล็กอยู่นั่นเอง”
เรื่องราวของภาพยนตร์ อันธพาล
“ผมรับบทเป็นแดง ซึ่งมันเป็นยุคที่มีอีกเจนเนอเรชั่นขึ้นมา และเห็นว่าพวกเราเป็นไอดอล เด็กพวกนี้ก็หลงใหลทุกอย่างที่เป็นเรา และดำเนินตามเรื่องราวก็เกิดเป็นอีกทางนึง เรื่องย่อทั้งหมดเป็นเรื่องที่อ้างอิง และพูดถึง แต่เนื้อในทั้งหมดคุณต้องไปดูมันก็อยู่ที่วิธีเล่า วิธีคิดของแต่ละคนที่มันไม่เหมือนกัน แน่นอนครับมันเป็นอีกนึงโลกที่บางคนอาจจะไม่เคยสัมผัส บางคนอาจจะเคยเห็นข่าว แต่นี่มันคือโลกแห่งความเป็นจริง ที่ผมบอกไปมัน คือ การแสดงตัวตน แล้วก็มันเป็นเหตุผลของตัวบุคคล ผมได้แสดงแล้วรู้สึกว่าทุกคนมีเหตุผล คนเราเกิดมาไม่ได้มีด้านเดียว มีหลายด้าน แต่ด้านที่เราทำให้ทุกคนเห็นอาจจะไม่ได้เป็นที่ถูกใจ หรืออาจจะไม่ได้ทำให้ทุกคนพอใจหรือชื่นชม แต่อีกด้านนึงมันอาจจะทำให้คนอื่นชื่นชมและเป็นที่รักของทุกคน เหมือนหนังฝรั่งเขายังมีโรบินฮูด นั่นเขาก็โจร แต่เขาก็โจรช่วยคนมันก็แล้วแต่ ผมเชื่อว่าเหตุผลของตัวบุคคลมีมาก สิ่งที่แสดงออกมันคือตัวตนของเขา บางอย่างวิธีการอาจจะไม่ได้ถูกทั้งหมดแต่นี่ล่ะตัวเขา แล้วเราจะบอกยังไงว่าคุณอย่าทำ คุณอย่าเป็นในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดแล้ว มันทำไปแล้วนั่นคือเหตุผลของเขา บางสิ่งบางอย่างสำหรับคนชมภาพยนตร์ต้องใช้วิจารณญาณในการส่วนตัวมุมมอง เราแค่เป็นคนถ่ายทอดภาพออกไปให้เห็นว่าในยุคนั้นมันเป็นแบบนั้น”
ฉากแอ็คชั่นในเรื่องนี้เข้มข้นขนาดไหน
“แอ็คชั่นเป็นแอ็คชั่นที่เรียลมาก คือคนสมัยก่อนซัดกันแบบว่าโอ้ว!ก๊อด มันส์จริงๆ มีอาวุธเป็นไม้ มีด ยุคแรกของการใช้ปืน เป็นก้าวแรกของคนที่ทำอะไรครั้งแรก แล้วคนอื่นมองว่าโหว…สุดยอดมาก อยากบอกว่าเป็นแอ็คชั่นที่ยุคนี้หาดูได้ยากครับ”
มีการพลาดหรือผิดคิวแอ็คชั่นบ่อยไหม
“เรื่องบู๊และแอ็คชั่นเป็นเรื่องของความเคยชิน (หัวเราะ)”
มีอุปสรรค หรือปัญหาการถ่ายทำบ้างไหม
“ฝนครับ ตกบ่อย ทุกวันที่ผมมาก็ฝนตก วันนี้ก็ตกนิดเดียวขอบคุณท่านมากทำให้ผมได้ทำงานเต็มที่ เรื่องของการถ่ายทำ ดินฟ้าอากาศเป็นเรื่องคู่กัน อย่างเดียวเท่านั้น อย่างอื่นไม่มี เราก็พยายามทำงานของเราให้ดีที่สุดและตั้งใจครับ”
ส่วนตัวประทับใจฉากไหนเป็นพิเศษ
“ฉากเข้าไปคุยกันในโรงหนังเก่า คุยกับพี่น้อยที่เล่นเป็นจ๊อด แล้วบรรยากาศผมไม่ได้เข้าโรงหนังแบบนี้มานาน 20 กว่าปีได้ แล้วผมจำได้เด็กๆผมเข้าไปโรงหนังคลองเตยราม่า แหลมทองราม่า ซึ่งคลองเตยฉายหนังไทยควบ แหลมทองฉายหนังฝรั่ง ผมก้าวเข้าไปมันช่างสุดแสนคลาสสิกก่อนเดินเข้าไปผมต้องขอคุณแม่เพื่อนผมที่ทำความสะอาดโรงหนังแล้วพาเข้าไปนั่งดูฟรี โดยที่ผมไม่ต้องเสียตังและได้ดูหนัง ฉากวันนั้นเป็นฉากที่แดงนั่งคุยกับจ๊อดว่าอยากบวช ความเป็นลูกผู้ชายของคนไทยที่ก่อนจะไปมีครอบครัว ก่อนจะไปแต่งงานมีภรรยาและลูก ก็นึกถึงบวช แล้วถามจ๊อดว่าอยากทำอะไร จ๊อดก็บอกว่าอยากไปอเมริกาเพื่อเจอเจมส์ ดีนกับเอลวิส แล้วเขาก็หัวเราะด้วยความเป็นเพื่อนกัน ผมว่ามัน Real Time มากในตอนนนั้น มันเหมือนเราคุยกันแล้วมีความเป็นเพื่อนในวัยเด็กหรือความเป็นเด็กของผม เมื่อตอนที่ผมอยู่กับเพื่อนในโรงหนังอะไรต่างๆ มัน Reverse (ย้อนกลับ) กลับมา รู้สึกว่าเฮ้ย! มันเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก คำว่ามิตรภาพมันเกิดขึ้น ณ เวลานั้นจริงๆ แล้วผมคิดว่ามันใช่ ผมมีความสุขมาก ตอนพี่โขมผู้กำกับสั่งคัท ผมยังบอกเลยว่าพี่โขมมันเป็นฟิลลิ่งที่ผมเคยทำแบบนี้ตอนเด็กๆ ผมไม่รู้ว่าแดงในเรื่องทำยังไงแต่นี่คือแดงในตัวผมเป็นแบบนี้”
รับบทเป็นเพื่อนสนิทกัน ร่วมงานกับ “น้อย วงพรู” เป็นอย่างไรบ้าง
“เราเดินเจอกันทักทายกันพูดคุยกันมาตลอดที่เราได้เจอกัน จนตอนนี้เราได้มีโอกาสทำการแสดงร่วมกัน ใช้คำว่า ทำการแสดงร่วมกัน พี่น้อยเป็นคนที่ตั้งใจในการทำงานและมีมุมมองในรูปแบบของตัวเขาเอง ผมก็มีรูปแบบในมุมมองของผมอย่างบางทีเราก็มานั่งจอยกันในเรื่องของความคิด การพูดของตัวแสดง อย่างพี่น้อยเขาเป็นลูกครึ่งเรื่องของคำพูด ไดอะล็อคบางทีเอ๊ะ! มันคืออะไร ไอ้นี่มันคืออะไร ผมก็บอกว่ามันคือแบบนี้ และคนไทยมีแบบนี้ไหม มันก็เหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนทัศนะคติ หรือเสวนาร่วมประสบการณ์ สำหรับคนที่เป็นลูกครึ่งและออริจินอลไทยของผม เราเองก็ได้ประสบการณ์ใหม่ ก็รู้สึกยินดีที่ได้ร่วมงานกับพี่น้อย เป็นอีกหนึ่งงานที่ผมต้องเก็บเป็น Portfolio เลยทีเดียวครับ (ยิ้ม)”
แลกเปลี่ยน หรือแนะนำเทคนิคทางการแสดงกับพี่น้อย อย่างไรบ้าง
“ผมไม่ได้สอน เพราะพี่น้อยเขามีของเขา เราก็มีของเราแต่เอามาปรับเพราะเป็นเพื่อนซี้เป็นเพื่อนสนิทกันมันเป็นยังไง คำว่า Partner (คู่ขา) กันมันเป็นยังไง มันไม่ใช่แค่การแสดงแต่มันต้องทำให้มันจริง การแสดงให้ยากที่สุดมันต้องไม่แสดง ยากมาก นิ่งๆ เดินออกไปนิ่งๆ นี่มันแสดงหรือยัง หรือว่ยังไม่ได้แสดง คืออยากจะบอกว่าพยายามปรับและจูนกัน พี่น้อยเป็นหนึ่งบุคคลที่ผมยินดีมากที่ได้ร่วมงานกัน ชอบผลงานเพลงของพี่เขาอยู่แล้ว เขารู้ผมเคยไปดูคอนเสิร์ตเขาอยู่แถวหน้าเลย เขาก็โอ้ว..เต๋า ใช่ครับ (หัวเราะ) คุ้นเคยกันอยู่แล้ว มันไม่ใช่เรื่องยาก แต่เราก็ต้องทำให้มันคุ้นเคยกัน ทำให้เราปรับตัวเข้าหากันได้เร็วที่สุดในเรื่องของงาน”
การร่วมงานกับผู้กำกับ ก้องเกียรติ โขมศิริ เป็นอย่างไร
“ผมได้ดูหนังของพี่โขมหลายๆ เรื่อง แล้วก็เฉียดกันไปมาจนวันนี้ได้มาทำงานร่วมกัน เราเป็นนักแสดงเราก็ต้องขอบคุณผู้กำกับที่คิดถึงเรา เขาเลือกให้เราเป็นหนึ่งในนักแสดงในเรื่องที่เขาได้ทำงานได้กำกับ พี่โขมก็บอกและให้เราทำในแบบฉบับที่เขาต้องการ ผมก็สร้างความรู้ใหม่ทั้งวิธีการ ทั้งเล่น ทั้งกำกับให้กับเรา สำหรับหนังพีเรียดผมไม่ได้แสดงเท่าไหร่ แทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ เราก็รู้วิธีเป็นแบบนี้อย่างนี้นั่งคุยกัน ปรึกษากัน ยินดีครับและขอบคุณมากๆ ที่คิดถึงผมและเลือกผมมารับบทแดงครับ”
ต้องเจอกับแก๊งอันธพาลรุ่นน้อง การร่วมงานกับนักแสดงหน้าใหม่ “คริน สาครินทร์ และ บิ๊ก กฤษฎา” เป็นอย่างไรบ้าง
“ในเรื่องเขาเห็นเราเป็นไอดอลเป็นต้นแบบ แต่ทางไหนเราไม่รู้มันเป็นเรื่องของความชื่นชอบส่วนบุคคล ไม่รู้ว่าจะถูกหรือผิด ผมว่าในโลกนี้คงไม่มีคำว่าผิด หรือคำว่าถูก แต่มีความแตกต่างของตัวบุคคลที่อยู่ในสังคมส่วนรวม มันเป็นยังไงเท่านั้นเอง น้องก็มาพูดคุยกับผมและถาม ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี มันจะทำให้เกิดความคุ้นเคย และก็ความเป็นกันเอง เวลาเข้าฉากจะได้ไม่เคอะเขิน เวลาแสดงร่วมกันมันก็สมูทไหลลื่น ผมมองว่าในส่วนของเรื่องการแสดงมันจะส่งผลดีสำหรับทุกคนและผู้กำกับครับ ทั้งคู่ก็น่ารัก มาถาม มาให้บอก ให้สอน ผมก็บอกว่าผมคงสอนใครไม่ได้ แต่ถ้าพูดคุยกันแล้วบอกสิ่งที่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์กับตัวเขา กับภาพยนตร์ กับทุกคนที่มาแสดง ทุกอย่างจะได้สมบูรณ์กลมที่สุด เขามานั่งคุยกับผมคุยเรื่องนู่นนี่ การแสดง มันเป็นสิ่งที่ดีที่หาเรื่องมาคุยแล้วคุยได้ยาว ไม่ใช่คุยกันสองคำแล้วไม่รู้จะคุยอะไรนึกไม่ออก เพราะมันจะส่งผลในเรื่องของอารมณ์ทางการแสดงมันจะดร็อปลง อยากจะบอกน้อง 2 คนว่า จงไปต่อ อย่าเพิ่งรีบออกจากบ้าน (หัวเราะ)”
ในชีวิตของ “เต๋า สมชาย” มีไอดอลที่ยึดเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตบ้างไหม
“ตัวผมเองนี่ล่ะสำคัญที่สุดแล้ว เรามองคนอื่นได้ เราชื่นชอบคนอื่นได้ แต่จริงๆ แล้วในวิถีการดำเนินชีวิต สิ่งที่คุณจะต้องสนใจและใส่ใจที่สุดคือตัวเราเอง ผมชอบมองจากตัวเราเองก่อน เราไม่สามารถทำตามใครได้ในโลกนี้ อย่างตอนนี้เวลานี้ผมมีลูก ลูกคงต้องมองผมเป็นไอดอล แล้วเราจะทำยังไงให้ลูกรู้สึกว่าเราคือไอดอลที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา อันนี้สำคัญ ทุกวันนี้ก่อนออกจากบ้านก้าวแรกที่เดินออกเราจะทำอะไร เราจะเจออะไร เราจะเป็นอะไร เราจะรู้สึกอย่างไร ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากตัวเราเอง วันนี้เราควรจะทำอะไรให้ที่ต่อไปลูกเรารู้สึกว่านี่แหละพ่อหนู สิ่งที่หนูอยากโตขึ้นมาและเป็นได้จะเป็นแบบพ่อหนู อันนี้คือสิ่งที่สำคัญ”
คำว่า “อันธพาล” ในความหมายของ “เต๋า สมชาย”
“จริงๆ แล้วคำว่า อันธพาล หรือคนที่เป็นอันธพาลมันไม่ได้มีแค่ด้านเดียว มันมีหลายด้าน แต่ด้วยเหตุผลมันคือ สิ่งที่เขาต้องทำ คือผมไม่ได้เข้าข้างนะ ผมรู้ว่าอันธพาลเป็นอย่างไง คนที่ถูกเรียกว่าอันธพาลเป็นอย่างไง ตัวผมยังเคยถูกเรียกเลย ทำไมผมจะไม่รู้ เราจะมานั่งบอกคนทั้งโลก เฮ้ย! เราไม่ใช่มันคงไม่ได้ ในเมื่อคุณคิดว่าผมเป็น แต่มันมีเหตุผลซึ่งบางอย่างเราอาจบอกไม่ได้ มันไม่มีคำจำกัดความ เราจะเข้าใจในส่วนที่มันเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ดีที่สุด คือ เป็นตัวเราและใช้ชีวิตของเราให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง อยากจะบอกว่าคนเรามันไม่ได้มีด้านเดียว มีหลายด้านบางอย่างเราก็ต้องเข้าใจมันมีเหตุ และผลที่ทำให้เป็นแบบนั้นครับ”
สิ่งที่คนดูจะได้รับจากการชมภาพยนตร์เรื่อง อันธพาล
“ได้เรื่องของแง่คิดในการดำเนินชีวิตอย่างแน่นอน ในสิ่งที่มันเกิดขึ้นในโลกใบนี้ สังคม จริงๆ เราอาจจะถูกอันธพาลรบกวนจากมุมมืดซึ่งเรามองไม่เห็น ด้วยการเบียดเบียนบางอย่างในชีวิต แล้วชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปทุกอย่างมันเป็นเหตุและผล ตัวของบุคคลนั้นๆ อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างดีที่สุดและไม่ประมาทเท่านั้นเอง ความประมาทมันทำให้เราผิดพลาด และเกิดสิ่งเลวร้ายขึ้นกับชีวิตได้ อยากให้ได้แง่คิดจากภาพยนตร์ และถามตัวเองในสิ่งที่คุณคิดมันใช่อย่างในหนังเล่าหรือเปล่าครับ”
เสน่ห์ และความน่าสนใจของภาพยนตร์
“ผมว่าเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้น บางอย่างมีการเพิ่มเติมดัดแปลงให้เหมาะสมกับการเป็นภาพยนตร์ บางอย่างอาจจะไม่ใช่ 100% ความน่าสนใจ คือ คุณจะได้เห็นชีวิตของคนยุคนั้นทำไมเขาต้องทำแบบนี้เพื่ออะไร ทำไมถึงต้องทำ แล้วคนยุคนี้เป็นยังไง คนยุคนี้มีมากกว่าคำว่าอันธพาลหรือเปล่า”
ฝากผลงาน
“เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ภูมิใจและดีใจที่ได้รับบท แดง ในเรื่องนี้ อยากให้ไปสัมผัสกัน แล้วแต่อารมณ์ แล้วแต่ความคิด มันคือผลงานที่ผมหลงรัก อันธพาล เชิญทุกคนไปชมได้เร็วๆ นี้”
บันทึกภาพ: สหมงคลฟิล์ม