ทักทายกันก่อนได้ข่าวว่ากำลังจะมีผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดมาให้ชมกัน
สวัสดี ครับ ผมเต้ย พงศกร เมตตาริกานนท์ครับ ตอนนี้เต้ยกำลังมีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรก และเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดด้วยครับเรื่องพันท้ายนรสิงห์ครับผม
เมื่อพูดถึง “พันท้ายนรสิงห์” อะไรคือภาพจำหรือสิ่งที่ทำให้เรานึกถึง
เท่าที่เคยเรียนมา พันท้ายนรสิงห์ ผมนึกถึงความซื่อสัตย์ แล้วก็คัดท้ายเรือ เป็นคนที่คัดท้ายเรือครับ
แล้วถ้าพูดถึง “พระเจ้าเสือ” จะนึกถึงอะไร
ชื่อเขาก็บอกแล้วนะว่าเขาเป็นคนดุแค่ไหน พระเจ้าเสือเป็นคนที่ดุกับลูกน้องทุกคน เพราะว่าพระองค์เป็นคนที่เคร่งครัดในกฎระเบียบครับ
เป็นไงมาไงถึงได้มีโอกาสเข้ามารับบท “สิน” พระเอกของท่านมุ้ยใน “พันท้ายนรสิงห์” ได้
ก่อนอื่นต้องขอบคุณผู้พันเบิร์ดเลยครับ เป็นจุดเริ่มต้นเลยที่ทำให้ผมได้มีโอกาสก้าวเข้ามาในวงการภาพยนตร์นี้ และได้เล่นกับผู้กำกับคุณภาพอย่างท่านมุ้ย พูดได้ว่าผู้พันเบิร์ดเป็นคนขุดผมมาเลย เพราะตอนนั้นผมกำลังเล่นฟิตเนสอยู่ที่เดียวกันกับผู้พันเบิร์ดนี่แหละครับ ผมก็เล่นอยู่ เล่นไปเรื่อยๆพี่เบิร์ดเขาก็เห็นผมทุกวัน แล้วอยู่ดีๆพี่เบิร์ดบอก เฮ้ย เราหน้าไทย นะ ลองไปแคสเรื่องนี้ดูไหม เผื่อท่านมุ้ยชอบ เดี๋ยวพี่ส่งไปผมก็เลยลองไปแคสครับ เราก็นัดวันกับพี่เบิร์ด ไปถึงพี่เบิร์ดก็ส่งให้ไปแคสเลย เราก็ได้แสดงให้ท่านดูซึ่งท่านก็ชอบ
เคยนึกเคยฝันมาก่อนมั้ยว่าผู้กำกับภาพยนตร์คนแรกในชีวิตของเราจะเป็นท่าน มุ้ย ผู้กำกับระดับครูของคนวงการหนังซึ่งเป็นทั้งศิลปินแห่งชาติและเป็นผู้กำกับ ระดับแถวหน้าของเมืองไทย
คือผมเองก็ไม่เคยคิด ว่าวันหนึ่งจะได้มาร่วมงานกับท่านมุ้ย ก็รู้สึกดีใจมากครับที่ได้ร่วมงานกับท่านเพราะชื่อ “ท่านมุ้ย” หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ผมก็ดูภาพยนตร์ของท่านมาแล้วทุกเรื่อง ทั้งสุริโยไท พระนเรศวร ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสได้มาร่วมงานกับท่าน อันนี้ต้องเกริ่นก่อนเลยต้องขอบคุณผู้พันเบิร์ดจริงๆ
สิ่งที่ได้รับและเรียนรู้จากการได้เข้ามามีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องพันท้ายนรสิงห์
ความ อดทนครับ อันดับหนึ่งเลยครับ แล้วก็ฝึกเรื่องวินัยของตัวเอง อย่างเช่น พอผมได้เล่นปั๊บต้องไปเข้าคอร์สพายเรือ ขี่ม้า ฟันดาบ มวย ก่อนที่จะเปิดกล้องถ่ายทำ คือ ฉากแต่ละซีนท่านเป็นคนละเอียดในทุกๆอย่าง และต้องมีการจัดแสงนู่นนี่นั่นด้วย ซึ่งมันใช้เวลานาน แล้วผมเองตอนนั้นก็ไม่เคยเล่นละคร ไม่เคยเล่นภาพยนตร์อะไรมาก่อน แรกๆไปก็คิดว่าทำไมมันนานจังเลย แต่พอเราได้เห็นผลงาน ได้ไปเช็กมอนิเตอร์ดูว่ามันเป็นยังไง โห มันสวยจริง จัดแสงนี่แหละ แบบที่ท่านมุ้ยเขาทำ คือ แสงมันสวยอย่างนี้ ภาพมันสวยอย่างนี้ แล้วผมจำได้เลยว่า ฉากแรกที่ผมเข้ากับ ผู้พันเบิร์ด พี่ลิง (เสนาลิง) พี่กบ(พิมลรัตน์) เป็นฉากที่ห้ามพระเจ้าเสือไปคลองโคกขาม ฉากแรกเลย ฉากนั้นเล่นไปประมาณ 3 ชั่วโมง ผมยังจำdialogueได้จนถึงวันนี้เลย จำได้มาจนผ่านมา 3 ปี 4 ปีแล้วยังจำได้เลย “การอันองค์เสด็จสาครบุรีนั้น หาควรไปทางคลองโคกขามไม่” พูดแค่นี้ ประโยคแค่นี้ ผมพูดประมาณ 3 ชั่วโมง ซึ่งผมไม่เคยเล่น
อะไร มาก่อน ด้วยความตื่นเต้นของฉาก แบบตื่นเต้นมากๆ จนท่านมุ้ยแบบมานี่ก่อน มาตั้งสติ มาดูที่ตัวเองเล่นก่อน คือ ท่านมุ้ยเป็นผู้กำกับที่เข้าใจนักแสดง ท่านไม่กดดัน ว่าแบบต้องได้นะ ต้องเดี๋ยวนี้นะ ท่านดุด่าอะไรอย่างนี้ ไม่ ไม่เคย ถ้าท่านด่า ท่านก็จะด่าแบบเล่นๆ แบบผู้ใหญ่รักเด็ก อบรมเด็กสอนเด็ก ท่านก็จะให้รู้จักคิด วิเคราะห์ แยกแยะอะไรอย่างนี้(หัวเราะ)
ดูเหมือนว่าท่านมุ้ยจะมีวิธีการสอนและกำกับนักแสดงตามแบบฉบับของท่าน
ท่าน จะค่อยๆซึมซับให้เราเป็นตัวละคร ผมว่าอันนี้สำคัญมากเลยนะครับ จุดหนึ่งที่ท่านมุ้ยสนิทกับนักแสดงได้คือ เรียกไปทานข้าวพร้อมกันทุกมื้อ แล้วสิ่งนี้นี่แหละที่จะช่วยหล่อหลอมให้ผมได้ซึมซับความเป็นตัวละครเพิ่ม ขึ้นด้วย เพราะว่าในระหว่างการทานข้าว ท่านมุ้ยก็จะสนทนาให้เราได้รู้ว่าเรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์เป็นอย่างไร ประวัติเป็นอย่างไร เราก็ได้ซึมซับไปในตัว เหมือนการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ แทนที่เราจะกินข้าว กินใครกินมันแล้วก็ไปรอถ่าย แต่กลับเป็นว่าได้คุยเรื่องราวประวัติความเป็นมาซึ่งก็จะถูกซึมซับเข้าไปใน ตัวของเราทุกวันๆๆ จนกลายเป็น “สิน” กลายเป็น “พันท้ายนรสิงห์” ครับ
เพื่อที่จะรับบทเป็น “พันท้ายนรสิงห์” ต้องมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
ก่อน อื่นก็ต้องศึกษาประวัติก่อนเลย ศึกษาประวัติว่าสินเขาชอบอะไร ชอบตีไก่ ชอบชกมวย ฟันดาบเป็น ยิงธนูเป็น พายเรือเป็น เป็นคนที่ขี่ม้าเป็นด้วย เป่าขลุ่ยด้วย นี่คือสิ่งที่จะต้องเป็น เพราะตัวพันท้ายนรสิงห์จะต้องเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษเยอะมาก ซึ่งผมต้องทำเป็นให้หมดทุกอย่าง แล้วก็ต้องค่อยๆทำทีละอย่าง แล้วก็ต้องทำให้เร็วที่สุดด้วย เพราะว่ากำลังจะเปิดกล้องแล้ว ต้องไปเรียนดาบกับสำนักพุทไธสวรรย์ เรียนมวยกับอาจารย์ยอดธง เรียนพายเรือ เรียนคัดท้ายเรือ แล้วก็มีเรียนยิงธนูต้องจับท่าธนูให้ถูกต้องด้วย ที่สำคัญเรียนเป่าขลุ่ยกับอาจารย์ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ด้วยครับจะได้เห็นผมเป่าขลุ่ยด้วยในเรื่องนี้
รู้สึกหนักใจและกดดันมั้ยที่รอบตัวเรามีแต่นักแสดงระดับฝีมือ
มีกดดันตัวเอง เพราะว่ามีแต่นักแสดงที่มากประสบการณ์ทั้งนั้นเลย แล้วก็เป็นนักแสดงที่เก่ง เพราะว่าท่านมุ้ยได้คัดเลือกมาแล้วที่จะเล่นภาพยนตร์เรื่องพันท้ายนรสิงห์ เรื่องนี้ ตัวผมเองก็เกร็งมาก อย่างที่บอกไปครับ ฉากแรกนี่ก็ปาไป 3 ชั่วโมงเลย แล้วก็มีฉากที่ต้องระบายความในใจกับพระเจ้าเสือ ตอนนั้นเราเมาแล้วก็เล่าให้ฟังว่าเราไม่ชอบพระเจ้าเสือยังไงซึ่งตอนนั้นบทมา สดเลย ท่านมุ้ยเขียนมาสดๆเลย หน้าหนึ่งเต็มๆ ยี่สิบสามสิบกว่าบรรทัด ซึ่งเราแบบ จำไม่ทัน แต่ดีนะ ท่านมุ้ยคือเป็นคนที่เข้าใจนักแสดง ท่านให้พักกองก่อน และท่านก็เล่าให้ฟังว่าไอ้สินมันเกลียดยังไง โกรธยังไง มันเห็นชาวบ้านเป็นยังไง ทให้เรานึกภาพตามเห็นเรื่องราวต่างๆ เห็นจนกระทั่งเราพูด dialogue หน้าหนึ่งแบบสบายๆเลย จำเป็นภาพเอา จริงๆคือท่านมุ้ยจะใส่ใจทุกรายละเอียดเลย ทุกคำพูดของตัวละครมีความหมายหมด ยกตัวอย่างนะครับในฉากนี้สินพูดกับทิดเดื่อ ซึ่งเป็นพระเจ้าเสือปลอมตัวมาเป็นชาวบ้าน อยากรู้ว่าชาวบ้านคิดยังไง จนกระทั่งเมาแล้วสินก็เลยได้พูดออกไปว่าแบบ “เมาเหล้าข้ายังรับได้ เพราะว่ารุ่งเช้ามันก็สร่าง แต่เมาอำนาจรับไม่ได้” ซึ่งเป็นคำพูดที่สินพูดกระแทกแดกดันไปทางพระเจ้าเสือ ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพระเจ้าเสือคือทิดเดื่อ ทำให้พระเจ้าเสือรับรู้ว่าชาวบ้านเขาคิดกับเราแบบนี้เหรอเหมือนกระจกสะท้อน เงากลับไป ด้วยความที่สินเป็นคนจริงใจ เป็นแบบชาวบ้านๆ เลยทำให้พระเจ้าเสือชอบไอ้สินที่เป็นคนจริงใจ ถึงแม้จะเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ
“พันท้ายนรสิงห์” ในมุมของท่านมุ้ย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล มีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง
คือ เราอาจจะเคยดูพันท้ายนรสิงห์ในรูปแบบละครมาแล้ว และก็เคยเป็นภาพยนตร์มาก่อนเมื่อปีพ.ศ.2493 ซึ่งได้รับการยอมรับ อยากให้ทุกคนได้ชมในภาพยนตร์เวอร์ชั่นพ.ศ.2558 นี้ กำกับโดยท่านมุ้ย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ที่สอดแทรกเรื่องราวของวัฒนธรรม ประเพณี ความรักระหว่างกษัตริย์กับสามัญชน ความรักระหว่างชายหญิง ความรักกับเพื่อน และก็ความรักระหว่างแม่กับลูกด้วย พร้อมสอดแทรกเนื้อหาที่คนไทยส่วนใหญ่อาจจะลืมไป หรือมองข้ามไป อยากให้เห็นว่าคนสมัยนั้นเขาจริงจังกับกฎระเบียบบ้านเมืองมากแค่ไหน จนกระทั่งยอมสละชีวิตของตัวเองเพื่อความถูกต้องครับ ในภาพยนตร์ เรื่องนี้มีนักแสดงที่มากฝีมือเรียกได้ว่ารวมซุปตาร์อยู่ในนั้นเลย ความเก่งของนักแสดงทุกรุ่นอยู่ในนั้น แล้วก็ทั้งทีมงาน ทีมตากล้อง ทีมแสง พรอพ ฉาก ทุกอย่างทุกคนตั้งใจในทุกรายละเอียด เราจะได้เห็นความสมจริงเหมือนมันทำให้เราเข้าไปอยู่ในยุคนั้นเลย ทีมงานและก็นักแสดงทุกคนทุ่มเท รวมทั้งได้ศึกษาเรื่องราวมาก่อน ก่อนที่จะมาลงมือปฏิบัติจริง ถ่ายทำจริง
เรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ฉบับปีพ.ศ.2558ที่เราจะได้ชมกัน
เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์พีเรียดล่าสุดของท่านมุ้ยเลยที่เราจะได้ชมกันในปี 2558 นี้ ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างตัวพันท้ายนรสิงห์กับพระเจ้าเสือผู้เป็นกษัตริย์ เป็นมิตรภาพและความจงรักภักดีสามารถตายแทนกษัตริย์ที่ตัวเองรักได้ แล้วก็เป็นความรักระหว่างสินกับนวล เป็นรักที่จริงใจของคนสมัยก่อน เป็นรักที่ให้เกียรติผู้หญิง เป็นรักที่บริสุทธิ์จริงๆ ซึ่งทุกคนจะได้เห็นเรื่องราว และก็ได้เห็นตั้งแต่พัฒนาการของตัวละครเลย เหมือนตัวละครยังเด็ก จนกระทั่งโตไปเรื่อยๆ ผ่านอุปสรรคต่างๆมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดพีคสูงสุด
บุคลิกคาแรคเตอร์ของ “สิน” หรือ “พันท้ายนรสิงห์” ที่เต้ยได้รับเป็นอย่างไร
ไอ้สิน หรือ พันท้ายนรสิงห์ เป็นคนมีน้ำใจมาก ชอบช่วยเหลือคน เห็นคนที่ตกทุกข์ได้ยากก็เข้าไปช่วยเหลือโดยไม่หวังผลตอบแทน ชอบในการชกมวย ฟันดาบ ยิงธนู เป็นคนที่รักเพื่อนฝูง มีฝีไม้ลายมือในการพายเรือ เป็นฝีพายเรืออันดับหนึ่งแล้วก็การคัดท้ายเรืออันดับหนึ่งของหมู่บ้านวิเศษ ชัยชาญเลยก็ว่าได้ มีเสน่ห์เป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ แต่ตัวสินเป็นคนที่รักเดียวใจเดียว รักนวลเพียงคนเดียว นอกจากนี้ยังเป็นคนที่โรแมนติกมากๆ ชอบเป่าขลุ่ยแทน ความรู้สึก แทนความคิดถึง ส่งไปให้นวลที่เรารัก รักของคนสมัยก่อนซึ่งไม่เหมือนคนในปัจจุบัน จะได้เห็นถึงความรักแท้ รักที่บริสุทธิ์จริงๆ และที่สำคัญที่สุดคือ พันท้ายนรสิงห์เป็นคนที่ซื่อสัตย์ครับ เป็นคนกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ในภาพยนตร์เราจะได้เห็นความสัมพันธ์ของสินกับตัวละครหลายๆตัวในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพระพิชัยที่เปรียบได้กับพ่อบุญธรรมเป็นผู้มีพระคุณ กับเพื่อนๆในหมู่บ้านวิเศษชัยชาญ ,กับพระเจ้าเสือที่เป็นทั้งเพื่อนและพระเจ้าแผ่นดินที่เรารักและเทิดทูน และนวลคนรัก
ความสัมพันธ์ของสินกับตัวละครอื่นๆ
ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างสิน กับพระพิชัย ซึ่งรับบทโดย อาเอก-สรพงษ์ ซึ่งสินก็เหมือนเป็นลูกบุญธรรมของพระพิชัย สอนสั่งให้เราได้เรียนรู้และมีความสามารถในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นการฟันดาบ ต่อยมวย ยิงธนู ซึ่งเราเองก็กตัญญูต่อพระพิชัยมากๆ แต่พระพิชัยเองจะมองพระเจ้าเสือเป็นคนไม่ดีเพราะความเข้าใจผิด ทำให้สินหนักใจมากๆ เป็นอีกความขัดแย้งหนึ่งที่ตัวละครต้องหาทางออกให้กับปัญหานี้ ว่าจะทำให้สองคนนี้เข้าใจกันได้ยังไง ในขณะเดียวกันก็จะมีอีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่มีความสัมพันธ์กับสิน นั่นคือ ทิดเดื่อ หรือพระเจ้าเสือ (ผู้พันเบิร์ด) ซึ่งความรู้สึกแรกที่สินมีต่อคนๆนี้ ทั้งๆที่ยังไม่ได้เคยเจอหน้าพระเจ้าเสือมาก่อนเลย ก็คือเกลียดพระเจ้าเสือมาก เพราะว่าจากที่ฟังชาวบ้าน แม้กระทั่งพระพิชัยเล่าให้ฟังว่าพระเจ้าเสือเป็นคนยังไง
แต่ สินได้มาเจอพระเจ้าเสือครั้งแรกตอนพระเจ้าเสือปลอมตัวมาเป็นทิดเดื่อ โดยพระเจ้าเสือได้มาต่อยมวยที่หมู่บ้านวิเศษชัยชาญ แล้วก็ได้ต่อยกับเพื่อนเรานี่แหละ กระทั่งพระเจ้าเสือเห็นผู้หญิงคนหนึ่งแล้วก็ชอบมากๆเลย แล้วจะขอผู้หญิงคนนี้ แต่ปรากฏว่าเราเห็นว่าเป็นนวล ตัวสินเองก็เลยตัดสินใจกระโดดเข้าไปในเวทีมวยลองดูกัน สักยกหนึ่งกับทิดเดื่อ อย่ามาแตะต้องนวลนะ ก็เลยได้ต่อยกัน แต่จะเป็นอย่างไรให้ไปติดตามชมในภาพยนตร์ แล้วก็ในระหว่างนั้นก็ได้เป็นศัตรูกัน มีการใช้จิตวิทยาต่อกัน เพราะเราทั้งคู่จะต้องแข่งกันจีบนวล ผลัดกันเกี้ยวนวล โดยมีกะลา กะลาสมัยก่อน กะลาใส่น้ำ เป็นการกำหนดเวลา แต่แล้วก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ทั้งคู่ได้ทำความเข้าใจกัน ในวันที่สินถูกเรียกตัวเข้าไปในพระราชวังภายใน แล้วพระเจ้าเสือได้แต่งตั้งให้เป็นพันท้ายนรสิงห์
ในมุมมองของเต้ยรู้สึกอย่างไรกับ “พันท้ายนรสิงห์” อะไรคือเสน่ห์ของตัวละครตัวนี้
สิน เป็นคนที่ซื่อสัตย์ เป็นคนที่รักเดียวใจเดียว เป็นคนที่กตัญญูรู้บุญคุณคน เลยทำให้ตัวละครตัวนี้มีเสน่ห์มากๆในเรื่องของคุณงามความดี ในเรื่องของการทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน ทำดีออกมาจากใจของตัวละครตัวนั้น ผมคิดว่าทุกคนก็จะได้เห็นแหละว่าสินดียังไง ดีจริงๆมันดียังไงในภาพยนตร์เรื่องนี้แหละครับ พันท้ายนรสิงห์
พูดถึงความท้าทายในการรับบทนี้
เรียก ได้ว่าตัวละครตัวนี้แทบจะเปลี่ยนบุคลิกผมเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง ตั้งแต่ผมเล่นพันท้ายนรสิงห์มาจนจบ มีแต่คนทักผมเป็นทหารเหรอ นั่งเป็นอย่างนี้ เดินเป็นอย่างนี้ ซึ่งมันซึมซับเข้าไปในตัวตลอด ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ ระยะเวลาการถ่ายทำก็เป็นปี ทำให้ผมรักในตัวละครนี้เป็นการท้าทายความสามารถ และเป็นเหมือนครูให้กับผม ผมได้เรียนรู้หลายๆอย่างจากการรับบทสินในพันท้ายนรสิงห์ครับ
การเตรียมตัวและการถ่ายทำ “พันท้ายนรสิงห์” กับบทบาทคนคัดท้ายเรือประจำที่นั่งของพระเจ้าเสือ เป็นยังไงบ้าง
บอก เลยว่าคนสมัยก่อนเขาต้องแข็งแรงมากๆนะ เพราะเขาไม่มีฟิตเนสเหมือนสมัยปัจจุบัน ที่มีเพาะกล้าม เขาต้องมาจากกล้ามเนื้อจริงๆ การทำงานหนัก การฝึกอย่างหนักของเขาจริงๆ กว่าจะมาเป็นคัดท้ายเรือพระที่นั่งได้ บอกเลยว่าที่คัดท้ายไม่ใช่เล่นๆเลย หนักมาก ปกติเขาจะคัดมี 2 คน แต่ว่าที่ถ่ายคือมีคนเดียว พอเรือไปทางนี้ ผมต้องยกไม้พาย ไม้คัดท้ายขึ้นมาเปลี่ยนอีกฝั่งหนึ่ง เพราะมันคัดได้แบบอย่างเดียวข้างเดียว ต้องเปลี่ยนมาอีกฝั่งหนึ่งด้วย ซึ่งการพายเรือในแม่น้ำที่เชี่ยวมากๆ เราแบบคัดท้ายเรือด้วยความยากลำบากกว่าจะผ่านแม่น้ำนี้ไปได้ แต่กว่าจะพายได้ท่านมุ้ยก็มีเชิญครูจากราชนาวีมาสอน ตอนแรกได้ เรียนกับการพายเรือเล็ก โหคัดสบายเลยตอนถ่ายแรกๆ แต่พอเข้าวังเสร็จ มีแต่เรือพระที่นั่งยาวๆใหญ่ๆทั้งนั้น ไม้พายทุกอย่างหนักขึ้นหมด ซึ่งต้องให้ทางกองทัพเรือมาคอยสอนว่าคัดเรือที่ถูกต้องเป็นยังไง ท่าทางที่ถูกต้อง ต้องทะมัดทะแมง การแบกไม้พายเป็นยังไง ซึ่งไม้พายอันหนึ่งหนักมาก
ทราบมาว่าต้องมีเล่นฉากแอคชั่นเยอะมากๆด้วย
เจอ ครบรสมากๆเลยสำหรับผม เพราะว่ามันไม่ใช่แอคชั่นธรรมดา มันมีทั้งบนบก บนเรือ ในน้ำ และก็แอคชั่นบนม้าด้วย และไม่ใช่แค่ต่อย ศอก เตะ ธรรมดา มีดาบ มีมีด มีธนู เรียกได้ว่าครบมากๆเรื่องนี้ ครบแบบจัดเต็มมาก และก็เป็นประสบการณ์ที่สอนเราไปในตัวด้วย ให้ทักษะเหล่านี้มันอยู่กับเราในตัว ซึ่งเป็นวิชาที่แบบ ไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆเลย ครับ
อยากให้ยกตัวอย่างฉากแอคชั่นสำคัญๆในภาพยนตร์ที่เราจะได้ชมกัน
สำหรับฉากที่เป็นทั้งซีนสำคัญที่จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครสองคน คือพระเจ้าเสือ และสินเป็นฉากแอคชั่นที่ทั้งคู่จะต้องต่อสู้กับผู้ร้ายร่วมกัน ที่มันสำคัญมากๆก็เพราะว่าเป็นซีนที่สินได้ตัดสินใจเข้าไปช่วยพระเจ้าเสือ ก็คือทิดเดื่อที่กำลังจะโดนลอบปลงพระชนม์ ซึ่งเบื้องหลังของการถ่ายทำในฉากนี้ตอนถ่ายทำมีฝนตกด้วย ต้องเลอะโคลน ถ่ายกันแบบทั้งคืนเลยก็ว่าได้ เริ่มถ่ายตั้งแต่ทุ่มสองทุ่มเสร็จประมาณตีสี่ แล้วก็มีสตั้นท์อีกเป็นสิบเลยครับ จริงๆฉากแอคชั่นไม่มีแค่ซีนนี้ และก็มีการบาดเจ็บกันตลอด เพราะว่าเราไม่ได้ใส่รองเท้าเลยครับ เราจะโดนอะไรบาดเท้าทุกสัปดาห์ของการถ่ายเลย ซึ่งครั้งหนึ่งผมเคยโดนบาดเพราะถ่ายทำในน้ำ เราก็ต้องแปะเทปแล้วก็ต้องลงไปถ่ายใหม่อีก พอถ่ายเสร็จเราถึงได้ไปโรงพยาบาล ซึ่งแบบเป็นอะไรที่เหน็ดเหนื่อยพอสมควรครับ เป็นอะไรที่หนักมากเลยในการบู๊แต่ละครั้ง ถึงแม้ว่าเรามีการซักซ้อมก่อน ซ้อมกับสตั้นท์ก่อน ก่อนที่จะไปเล่นจริงก็ตาม
กับอีก ฉากหนึ่งที่พระเจ้าเสือกับไอ้สินจะต้องหันมาเผชิญหน้ากัน ต่อยมวยกันระหว่างสินกับทิดเดื่อ เราต้องเร่งถ่ายทำท่ามกลางความกดดันของแสงที่กำลังจะหมดไป วันนั้นเราเล่นกันแบบสดๆเพื่อความสมจริงมาก แบบใส่กันสดๆ เลย วันนั้นก็เจอศอกพี่เบิร์ดมาเต็มๆ พี่เบิร์ดก็โดนผมเตะเหมือนกัน เตะกันจริง ต่อยกันจริง ใช้จากที่เคยฝึกเรียนการชกกันมา แน่นอนว่ามีโดนจริงครับ พี่เบิร์ดเขายกมือขึ้นมาบล็อกไม่ทัน มันก็เลยโดนไปนิดหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นมาพี่เบิร์ดก็เอาคืนผมหมดเลย(หัวเราะ) พี่เบิร์ดมีท่าตวัดศอกกลับมาด้วย รู้สึกตอนนั้นเหมือนต่อยมวยกันจริงๆเลย แล้วเหมือนต่อยมวยคนละไซส์เลย นึกถึงไซส์พี่เบิร์ดกับไซส์ผม(หัวเราะ) พี่เบิร์ดตัวหนากว่ามากเลย เตะทีนี่ไม่สะเทือนเลย แล้ว เป็นการชกมวยคาดเชือกครับ เพราะว่ามีพันแขนด้วย
นอกเหนือจากการแสดงในฉากแอ็คชั่นมีซีนไหนที่เราประทับใจอีก
ภาพยนตร์ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่หนังแนวแอคชั่นอิงประวัติศาสตร์แต่เป็นหนังที่คุณจะได้ ครบทุกรสทั้งเรื่องราวความสัมพันธ์ในลักษณะของมิตร-สหาย นาย-บ่าว พระเจ้าแผ่นดินกับข้าราช อย่างพระเจ้าเสือกับพันท้ายนรสิงห์แล้ว ยังมีทั้งสุข สนุก อมยิ้มไปจนถึง รัก ซึ้ง เสียสละ เศร้า น้ำตาไหลในความรักของสินกับนวล ซึ่งแสดงโดยมัดหมี่ เกิดขึ้นตลอดทั้งเรื่องในหลายๆฉาก อย่างฉากที่สินไปช่วยนวลจากพระยาราชสงคราม จนต้องโทษ และถูกจับใส่โซ่ตรวนเพื่อรอจะส่งไปสำเร็จโทษในเมืองหลวง ในขณะที่นวลเองก็กำลังจะถูกส่งไปให้พระเจ้าเสือ เรียกได้ว่าเป็นความรู้สึกสิ้นหวังของตัวละครทั้งสอง เราไม่รู้ว่าเราจะช่วยเขาได้ยังไงแล้ว มันหมดสิ้นความหวังแล้ว เป็นอีกฉากสำคัญเลยครับ ซีนนี้เป็นซีนที่ดราม่ามากๆ ใช้เวลาการถ่ายทำน่าจะประมาณ 3 วันเต็มๆ 3 วันเต็มๆกับซีนนี้ การเข้าคุก เพราะว่าผมใส่ชุดนักโทษนี้นานมากเลย
จากเศร้าสุดๆมาสู่ฉากที่สุขสุดๆ
เป็นฉากที่ทั้ง 2 ตัวละครเขาก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกแล้ว ระหว่างสินกับนวล แต่พอได้มาเจอกัน ทุกอย่างมันออกมาหมดเลยในแววตาของทั้ง 2 ตัวละคร และยิ่งถ่ายไปเสร็จ ไม่อยากจะคิดว่าถ้าท่านมุ้ยเอาเพลงที่มัดหมี่ร้องมาใส่หรือเปล่า ถ้าใส่นี่ยิ่งจะแบบ ตรงกับในสถานการณ์นั้นเลย ยิ่งจะทำให้เข้าใจว่า คนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกแล้วในชาตินี้ กลับได้มาเจอกันอีก มันจะมีความรู้สึกยังไง ท่านผู้ชมจะได้เห็นว่าจากคนสิ้นหวัง กลายเป็นคนที่มีความหวังอีกครั้งหนึ่งในด้านความรักจะเป็นยังไง สมหวังกับความรักเป็นยังไงซึ่งฉากนี้ไม่ได้พูดอะไรเลย สำหรับคนที่มีความรักที่จริงใจต่อกันแล้วก็เป็นฉากเลิฟซีนด้วย เป็นเลิฟซีนแรกของผมเลยกับมัดหมี่ ซึ่งต้องไปติดตามชมในภาพยนตร์ครับ
พูดถึงมัดหมี่กับการแสดงในบทนวล
มัดหมี่เขาเก่งมาก เขาคอยสอนผมอะไรหลายๆอย่าง เพราะเขาเป็นนักแสดงรุ่นพี่ผมอีกคนหนึ่ง มัดหมี่เขายังเคยเล่นละครเวทีมา อย่างผมนี้ก็ใหม่เลย มัดหมี่ก็คอยสอนเรื่องการท่องบท และทำความเข้าใจบท ต้องมีสมาธิ เราก็ลองต่อdialogueกันดู จนเข้าปากแล้วก็ทำความเข้าใจกัน ว่าตีความว่ามันเป็นอย่างนี้ๆๆ มัดหมี่เป็นคนถึกครับ เห็นภาพลักษณ์ภายนอกอาจจะดูไฮโซ แต่ปรากฏว่าเขาลุย เขาเป็นผู้หญิงลุย ลุยทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นดำนา ขี่ควาย เลอะเปื้อน ทุกอย่างเขายอมทำได้หมด ถอดรองเท้าเดินลุยอะไรอย่างนี้ ทำได้ทุกอย่าง
เมื่อพูดถึงเรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์จะต้องพูดถึงเหตุการณ์สำคัญในทาง เกร็ดประวัติศาสตร์หรือพงศาวดารคือการตัดสินประหารชีวิตพันท้ายนรสิงห์ของ พระเจ้าเสือ
สำหรับฉากนี้ท่านมุ้ยเลือกเอาไว้ถ่ายสุดท้ายเรื่องเลยจริงๆ ท่านรอให้เราเป็นตัวละครเต็มที่ 100 เปอร์เซ็นต์ ให้นักแสดงมีความสนิทสนมกัน เข้าใจกัน จนกระทั่งเป็นตัวละครเลย มันเป็นฉากที่แบบยากที่สุด พีคที่สุดของเรื่องเลย มันเลยทำให้เราอินมากๆ แล้วพระเจ้าเสือยอมที่จะลุก แล้วก็เดินลงมาหาเรา เดินมาคุกเข่าพูดคุยกับเรา ทั้งๆที่เราเป็นสามัญชนธรรมดา เราเชื่อว่าเขาเป็นกษัตริย์จริงๆและกษัตริย์รักเราขนาดนี้ แต่พันท้ายนรสิงห์ก็ทำไม่ได้ เพราะว่าเราต้องรักษากฎมณเฑียรบาลที่เคยทำมา แล้วสิ่งที่พระเจ้าเสือทำมาตลอดทั้งชีวิต ถ้าไม่ทำตามกฎ สิ่งเหล่านั้นก็จะสูญสลายไปเลย สินก็ยืนยันที่จะยอมเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อรุ่นลูกรุ่นหลานของคนไทยทุกคน เพื่อกษัตริย์ตัวเอง และก็เพื่อมิตรสหาย เพื่อน ผู้มีพระคุณ พระพิชัย แล้วก็คนรักของตัวเอง
เบื้องหลังของการถ่ายทำในฉากนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ผมร้องไห้หนักมากตอนแสดง เพราะว่าด้วยระยะเวลาการถ่ายมันเป็นซีนยาว ถ่ายทั้งวันเลย กว่าจะจัดแสงเสร็จ พอจบฉากนี้ก็ต้องไปต่ออีกฉากหนึ่งเลย จนกระทั่งแสงหมด ซึ่งบอกเลยว่าถ่ายฉากนี้ไปเสร็จ นักแสดงทุกคนกลับมาคุยอีกทีว่าแบบ โห กลับไปยังปวดหัวอยู่เลย ปวดหัวประมาณ 2-3 วัน ซึ่งในตอนถ่ายร้องไห้หนักมาก ต้อง hashtag เลยว่าร้องไห้หนักมากซีนนี้
เห็นการแสดงของผู้พันเบิร์ดในบทพระเจ้าเสือแล้วเป็นอย่างไร
เป็นการพลิกคาแรคเตอร์ของพี่เบิร์ดมากๆสำหรับบทบาทที่เค้าได้รับในภาพยนตร์ เรื่องนี้ เราจะได้เห็นพี่เบิร์ดในมุมตลก มุมสนุก มุมของกษัตริย์ที่น่าเกรงขามซึ่งเราเชื่ออยู่แล้วว่าเขาเป็นกษัตริย์ เขามีบุคลิกที่จะเป็นกษัตริย์อยู่แล้วเลยทำให้เราเชื่อได้ง่ายขึ้น พี่เบิร์ดก็เป็นคนที่จริงใจในการแสดงทำให้คำพูดทุกคำพูดสื่ออารมณ์ออกมาได้ ดีมาก
บันทึกภาพ: สหมงคลฟิล์ม