บทสัมภาษณ์ เคร็ก กิลเลสปี้

แชร์ข่าวนี้

อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณสนใจโปรเจ็กต์นี้ตั้งแต่แรก

สิ่งที่ผมชื่นชอบเกี่ยวกับบทหนังเรื่องนี้คือมันทำให้คุณนึกถึงสิ่งที่คุณจะทำหากคุณมีทางเลือกที่จะก้าวขึ้นมาทำในสิ่งที่ต้องอาศัยความกล้าหาญอย่างมากเพื่อคนอื่นนอกเหนือจากตัวคุณเอง ผมชอบเนื้อเรื่องแบบนั้นนะ มันมีความบริสุทธิ์ของคนรุ่นนี้ในเรื่องราวของเรา พวกเขามักจะให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่าตัวเองและนั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกเขามีความเป็นวีรบุรุษมากเหลือเกิน ในเรื่องนี้ มีเรื่องลุ้นระทึกมากมายและสเกลก็ใหญ่ยักษ์ด้วย แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นเรื่องราวที่มีความเป็นส่วนตัวมากๆ สิ่งที่ผมชื่นชอบเกี่ยวกับบทหนังเรื่องนี้คือเบิร์นนี่ เว็บเบอร์เป็นคนที่มีน้ำจิตใจน้ำใจ เขาเป็นตัวละครที่น่ารักและน่าสนใจมากๆ เขาเป็นคนที่คุณรู้สึกว่าไม่มีอะไรพิเศษ…แต่แล้วเขาก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจครับ

FH2

เล่าเรื่องราวนี้ให้เราฟังหน่อย

มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นนอกชายฝั่งแหลมค็อดในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1952 ที่เกิดพายุลูกใหญ่ความเร็ว 70 ไมล์ต่อชั่วโมงขึ้น เรือบรรทุกน้ำมันสองลำถูกแยกเป็นสองส่วน และลำหนึ่งก็สามารถส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกไปได้ แต่เรือเอสเอส เพนเดิลตัน ถูกแยกเป็นสองส่วนอย่างกระทันหันและรวดเร็วจนสะพานเดินเรือจมไปกับอุปกรณ์การสื่อสารทั้งหมดบนเรือ ทำให้พวกเขาไม่สามารถส่งวิทยุขอความช่วยเหลือได้ ส่วนครึ่งหลังของเรือยังคงลอยไปตามกระแสน้ำผ่านเมืองชาธามที่อยู่บนแหลม มีคนเห็นมันเข้า และไปแจ้งให้หน่วยป้องกันชายฝั่งได้รับรู้ เรือบรรทุกน้ำมันลำนี้พยายามจะลอยตัวอยู่ให้ได้ พวกเขาก็เลยมัดหางเสือด้วยโซ่ ติดเครื่องยนต์ และพยายามประคองตัว เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่จมและพยายามรอให้พายุสงบ แล้วเรือกู้ชีพลำหนึ่งที่มีความยาว 36 ฟุต และถูกสร้างเพื่อรองรับน้ำหนักคน 12 คน ซึ่งไม่มีใครเชื่อว่าจะสามารถข้ามสันทรายออกทะเลไปได้ด้วยขนาดของคลื่นที่เกิดจากพายุ ได้ออกทะเลไปพร้อมกับชายหนุ่มสี่คน ท่ามกลางสภาพอากาศติดลบ พยายามช่วยเหลือคน 33 คนที่อยู่บนเรือเพนเดิลตัน เรื่องราวนี้ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากมายอะไร แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นเรื่องราวการกู้ภัยด้วยเรือเล็กที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์หน่วยป้องกันชายฝั่ง ผมอ่านบทหนังเรื่องนี้ก่อน แล้วตอนที่ผมได้อ่านหนังสือ ผมก็ชื่นชอบการที่มือเขียนบทยึดติดกับเหตุการณ์และลำดับเวลาของสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งแทบคาดเดาไม่ได้เลยเมื่อนึกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นท่ามกลางมหาสมุทรน่ะครับ

The Finest Hours

ช่วยพูดถึงเบิร์นนี่ เว็บเบอร์ ตัวละครของคริส ไพน์และความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมิเรียม ที่รับบทโดยฮอลลิเดย์ เกรนเจอร์หน่อยสิ

เบิร์นนี่ เว็บเบอร์เป็นคนที่น่ารักและจริงใจอย่างเหลือเชื่อ เขามีมุมมองชีวิตที่ตรงไปตรงมามากๆ และคริส ไพน์ก็ทำงานได้อย่างน่าทึ่งในการทำให้เขาเป็นคนน่ารัก จริงใจ ซื่อสัตย์ที่คุณจะคอยเอาใจช่วย เบิร์นนี่เป็นคนถือท้ายเรือของเรือกู้ชีพ 36500 ที่ในคืนนั้นมีอายุได้ 24 ปี และเขาก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่คุณจะเรียกว่าเป็นทีมเอของหน่วยรักษาชายฝั่ง ในตอนที่หายนะครั้งนี้เกิดขึ้น ทีมเอถูกเรียกตัวไปช่วยเรือเอสเอส ฟอร์ท เมอร์เซอร์ ซึ่งอยู่ไกลออกไปในทะเล เบิร์นนี่ทำตามที่ถูกสั่ง แม้ทุกคนจะรู้ว่าภารกิจกู้ชีพเรือเอสเอส เพนเดิลตันจะเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ ในตอนเริ่มต้นเรื่อง การที่เขามักจะทำตามที่มีคนบอกเขาเป็นเหมือนข้อเสียของเขา แต่ระหว่างการผจญภัยครั้งนี้ เราได้เห็นว่าเขาเริ่มคิดอะไรด้วยตัวเอง เป็นคนที่ตัดสินใจเองและกลายเป็นผู้นำที่แท้จริง และนั่นก็เป็นสิ่งที่คริสสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างงดงามผ่านการแสดงของเขา เขาได้สร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นมาจริงๆ ด้วยการใช้ทุกอย่างตั้งแต่อากัปกิริยาไปจนถึงสำเนียงของเขา และพัฒนาการของตัวละครที่มีมิติแบบนี้ก็ทำให้ผมแปลกใจทุกครั้งไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะผู้ชมมองเขาว่าเป็นคนไม่มีความสามารถอะไร เราปูพื้นให้เขาเป็นแบบนั้น และคริสก็ทำให้เบิร์นนี่เปล่งประกายบนหน้าจอจริงๆ

ส่วนมิเรียมเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นตัวของตัวเองมากๆ ซึ่งให้ความรู้สึกแปลกนิดๆ ในยุคสมัยนั้น แต่สุดท้ายแล้ว เธอเป็นคนที่ท้าทายเบิร์นนี่ให้คิดเพื่อตัวเอง การแสดงบทผู้หญิงที่ทรงพลังแบบนั้นเป็นโอกาสทองสำหรับนักแสดงหญิง และฮอลลิเดย์ก็ทำได้อย่างวิเศษสุดในการรักษาเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างการทำตัวเข้มแข็ง แต่ก็ไม่น่าหวั่นเกรงจนเกินไป และเธอก็ทำทุกอย่างเท่าที่เธอทำได้เพื่อพยายามจะช่วยจากบนฝั่งในแง่ของการรับมือกับหัวหน้าของเบิร์นนี่และการรับมือกับคนในเมืองและการระดมความช่วยเหลือพวกนั้น ในระหว่างที่เขาต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร เคมีระหว่างเธอกับคริสงดงามมากและคุณก็จะเอาใจช่วยให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน เราอยากได้อะไรที่เฉพาะเจาะจง ชัดเจนและถูกต้องในเชิงเทคนิค และในหนังเรื่องนี้ เราก็แสดงให้เห็นว่าเบิร์นนี่และมิเรียมได้พบกันยังไง (เดทแรกของพวกเขาที่เธอสวมเสื้อโค้ทขนสัตว์เป็นสิ่งที่มาจาก

เรื่องราวโดยตรง) การได้รายละเอียดและข้อเท็จจริงเหล่านั้นมาทำให้มันน่าสนใจมากขึ้นและทำให้เราได้นำเสนอตัวละครที่โดดเด่นเหลือเกิน และนักแสดงทั้งคู่ก็ถ่ายทอดความเป็นตัวละครทั้งสองนี้ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเหลือเกินครับ

The Finest Hours

คุณจะเล่าอะไรให้เราฟังได้บ้างเกี่ยวกับเรย์ ไซเบิร์ต ตัวละครของเคซีย์ เอฟเฟล็ค

ความสัมพันธ์ที่น่าสนใจบนเรือเพนเดิลตันคือตอนที่มันจม เจ้าหน้าที่ทุกคนบนเรือเสียชีวิตทั้งหมด พวกเขาอยู่บนหัว

เรือน่ะครับ ดังนั้น ก็เลยเกิดความไม่ชัดเจนว่าใครควรจะเป็นผู้นำ และไซเบิร์ตก็กลายเป็นแอนตี้ฮีโร กลายเป็นผู้นำจำเป็น เขาไม่ชอบการมีอำนาจ และความขัดแย้งตรงนี้คือในตอนที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น เขาต้องก้าวขึ้นมา ปลุกใจลูกเรือ และกลายเป็นคนที่ตัวเขาเองรังเกียจ เรย์มักจะหลีกเลี่ยงเรื่องนั้นด้วยการทำงานตรงส่วนท้องเรือ เพื่อจะได้ไม่ต้องเข้ามามีอำนาจหรือแบกรับความรับผิดชอบใดๆ นั่นเป็นความลำบากใจที่เราพบว่าน่าสนใจ และเคซีย์ก็ทำได้อย่างงดงามในการนำเสนอว่า เขาได้กลายเป็นผู้นำของลูกเรือ ซึ่งที่เขาทำก็เพื่อช่วยชีวิตของพวกเขาทุกคน มันมีเส้นแบ่งบางๆ ตอนที่คุณได้ทำงานกับนักแสดงที่มีความอดทนและความมุ่งมั่นต่อตัวละครที่คุณหวังว่าจะปรากฏบนหน้าจอ เพราะหลายครั้ง มันเป็นเหมือนช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ มากๆ และเคซีย์ก็ใช้เวลากับปฏิสัมพันธ์เหล่านี้ และการตัดสินใจที่เขาทำในฐานะนักแสดง ซึ่งดูเหมือนไม่ชัดเจนหรือไม่ได้เป็นแบบที่คุณคิดว่าเขาจะทำ มันถูกปูพื้นมาตลอดเรื่องเพื่อสร้างตัวละครที่ซับซ้อน น่าสนใจ ผู้มีปัญหาที่เขาต้องฝ่าฟันไปให้ได้ และมันก็ทำให้ผู้ชมผจญภัยร่วมกับเขาในแบบที่เราหวังไว้น่ะครับ

The Finest Hours

นักแสดงคนอื่นๆ ที่เหลือล่ะ

เบน ฟอสเตอร์รับบทคนที่แข็งกระด้าง เข้มแข็ง เขามีนิสัยพิลึกๆ มากมายที่ผมชื่นชอบ และเขาก็นำความเฉียบคมลง

ไปในตัวละครตัวนี้ด้วย เบนตรงกันข้ามกับเบิร์นนี่ เขาเป็นคนที่บอกผู้ชมว่าสถานีหน่วยป้องกันชายฝั่งที่เหลือรู้สึกยังไงกับเขา คุณจะรู้สึกได้จากเขาว่าเบิร์นนี่เป็นพวกทีมบี เขายังไม่ได้รับความนับถืออย่างที่พวกทีมเอที่สถานีหน่วยรักษาชายฝั่งได้รับ และเราก็จะได้เห็นความรู้สึกแบบนั้นผ่านทางการแสดงของเบน เขาทำให้เบิร์นนี่ลำบาก เขาเรียกเบิร์นนี่ด้วยชื่อสารพัดและตั้งคำถามเขา แต่แล้วคุณจะได้เห็นความนับถือที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นจากมุมมองของเบน และเขาก็ทำงานได้อย่างงดงามในช่วงเวลาสำคัญๆ ระหว่างเรื่อง ในตอนจบ พวกเขามีช่วงเวลาที่ผมคิดว่าสวยงามมากๆ ด้วยกันครับ

อิริค บานาเป็นคนที่มีความน่ายำเกรง และมันก็เป็นเรื่องเยี่ยมที่ได้เห็นอิริคทำให้เขาเป็นคนที่ไม่มั่นใจและไม่มั่นคงมากยิ่งขึ้น เขารับบทแดเนียล คลัฟฟ์จากสถานีหน่วยป้องกันชายฝั่งของชาธาม และอิริค ที่ปกติเป็นคนแข็งแกร่ง น่าหวั่นเกรง ต้องรับบทเป็นคนที่ไม่มั่นใจ คลัฟฟ์เพิ่งย้ายจากเวอร์จิเนียมาประจำที่หน่วยป้องกันชายฝั่งแห่งนี้ เขายังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองต่อหน้าคนพวกนี้ และเขาก็ยังไม่รู้จักโลกใบนี้ซักเท่าไหร่ เขาไม่รู้จักทะเลฝั่งอีสต์โคสต์ ไม่รู้จักคนฝั่งอีสต์โคสต์ ไม่รู้ว่าพวกเขาทำงานกันยังไง เขาก็เลยไม่มั่นใจในตัวเองและเราก็ต้องรู้สึกถึงความไม่มั่นใจของเขาตลอดทั้งเรื่อง เพราะมันไม่ได้เป็นการตัดสินใจที่ฉลาดเลยในการส่งคนพวกนี้ออกไป…ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดทุกอย่างจะโอเค แต่คนที่มีประสบการณ์มากกว่านี้อาจจะไม่ทำแบบนี้ ดังนั้น อิริคก็ต้องใส่รายละเอียดทั้งหมดเหล่านี้เข้าไปในการแสดงของเขาและเขาก็ทำได้อย่างน่าทึ่งครับ

The Finest Hours

ช่วยพูดถึงแอนดี้ ฟิทซ์เจอรัลด์และเมล กูโธร และการมีส่วนร่วมของพวกเขาในการถ่ายทำหน่อยสิ

ผมไม่ได้พบกับพวกเขาจนกระทั่งพวกเขามาที่กองถ่าย มันก็เลยเป็นอะไรที่สั่นประสาทนิดๆ แต่พวกเขาถ่อมตัวมากๆ เกี่ยวกับทุกอย่างและพวกเขาก็แค่ยักไหล่ในตอนที่มีคนเรียกพวกเขาว่าวีรบุรุษ มันไม่ได้มีความรู้สึกรับรู้เรื่องความเป็นความตายของสิ่งที่พวกเขาทำและอันตรายที่เกี่ยวข้องด้วยเลย…เหมือนกับมันเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว เหมือนมันเป็นแค่สิ่งที่พวกเขา

ต้องทำ เช่นเดียวกับเบิร์นนี่ เขาบอกว่าเขาไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้แบบจริงๆ จังๆ เลยหลังจากนั้น และมันก็หลายปีผ่านมาแล้วกว่าภรรยาของเขาจะตระหนักได้ว่ามันเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหน พวกเขาก็แค่ดำเนินชีวิตของตัวเองต่อไปเท่านั้นเองครับ

ช่วยเล่าถึงสเกลยิ่งใหญ่ของเรื่องราวนี้หน่อยสิ แล้วมันส่งผลอะไรบ้างในแง่ของวิชวล เอฟเฟ็กต์

มีหลายฉากในหนังเรื่องนี้ที่ผมต้องพูดถึงว่าค่อนข้างเข้มข้น ฉากข้ามสันทรายทำให้เราต้องพูดคุยกันยกใหญ่และต้อง

อาศัยการเตรียมพร้อมและการค้นคว้าและพัฒนามากมาย เราไม่เจอข้อมูลอ้างอิงใดๆ สำหรับการทำงาน CG แบบนั้นเลย มันจะต้องดูน่าเชื่อจริงๆ และมันก็น่าตื่นเต้นที่ได้เห็นองค์ประกอบทุกอย่างถูกรวมเข้าด้วยกัน เราถ่ายทำฉากนี้ในแทงค์น้ำเพราะเราไม่สามารถจำลองคลื่นสูง 70 ฟุตขึ้นมาได้ เราถ่ายทำมันในอู่ต่อเรือเก่าและสร้างฉากพวกนี้ทั้งหมดขึ้นมา ดังนั้น แม้ว่าเราจะถ่ายทำกับบลูสกรีน เราก็มีห้องเครื่องที่ทำจากเหล็กและสูง 65 ฟุต ที่โคลงเคลงไปด้วยน้ำสูง 10 ฟุตด้านใน คนพวกนี้ถูกกระแทกกระทั้นไปมาในฉากขนาดเท่าของจริง ที่มีน้ำ 2,000 แกลลอนไหล่บ่าลงมาจากหน้าต่าง พวกเขาก็เลยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างทารุณ แต่ก็เป็นประโยชน์ต่อการแสดงของพวกเขาด้วยครับ

MILLION DOLLAR ARM

 

คุณหวังว่าผู้ชมจะได้อะไรจากหนังเรื่องนี้บ้าง

ความชื่นชมในสิ่งที่คนเหล่านี้ต้องเผชิญน่ะครับ ผมคิดว่ามันจะเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับผู้ชมที่ได้นั่งอยู่ในโลกใบนี้ และได้อยู่ในพื้นที่เดียวกับที่พวกเขาเคยอยู่ โดยเฉพาะในระบบสามมิติ มันเป็นอะไรที่เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกใบนั้น และผมก็หวังว่าเราจะนำเสนอความยิ่งใหญ่ของมันและสิ่งที่พวกเขาได้เผชิญได้จริงๆ น่ะครับ

ที่มา:  ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บันทึกภาพ:  ฝ่ายประชาสัมพันธ์
นำเสนอโดย www.starupdate.com หากนำข่าวไปใช้กรุณาอ้างอิงถึง www.starupdate.com ด้วย
แชร์ข่าวนี้