ถาม : คุณมารับบทนำใน I Am Not Madame Bovery ได้ยังไง?
ตอบ : ตอนได้ยินว่า เฝิงเสี่ยวกัง กำลังทำหนังเรื่องนี้ ฉันไม่คิดเลยว่าเขาจะเลือกฉันให้มารับบทนำ เพราะมันเป็นบทที่แตกต่างจากตัวฉันอย่างมาก แต่วันหนึ่ง จู่ๆ เขาก็โทรศัพท์มาบอกว่าเขามีแผนจะสร้างหนังเรื่องนึงอยู่ ฉันถามเขาว่าใช่เรื่อง I Am Not Madame Bovery รึเปล่า เขาบอกว่าใช่ ฉันถามเขากลับว่า หนังเรื่องนี้มีฉากหลังเป็นชุมชนบ้านนาไม่ใช่เหรอ เขาตอบว่าเขาเองก็คิดอยู่นานว่าจะเลือกฉันมาเล่นดีไหม แต่ถ้าเลือกฉันมาเล่น จะทำให้ทุกคนตะลึงมากกว่าการเลือกคนที่มีลักษณะใกล้เคียงกับ หลีสั่วเหลียน มารับบทนี้แทน
จริงๆ แล้วเมื่อ 12 ปีก่อน ฉันเคยเล่นหนังให้ เฝิงเสี่ยวกัง เรื่อง Cell Phone ทุกครั้งที่ได้ร่วมงานกันฉันจะได้เรียนรู้บทเรียนดีๆ เยอะมากค่ะ ฉันชอบเขามาก แต่ครั้งนี้ฉันลังเลใจเนื่องจากบท หลีสั่วเหลียน ดูไม่ค่อยเข้ากับฉันเท่าไหร่ ฉันเองก็ไม่คิดว่าจะเล่นออกมาได้ดีด้วย แต่ในช่วงสั้นๆ ยิ่งฉันอ่านบทฉันก็ยิ่งคิดถึงมันมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากฉันเป็นคนชอบกดดันตัวเองอยู่แล้วค่ะ ฉันจึงถามตัวเองว่าถ้าได้เล่น ฉันมั่นใจแค่ไหน ฉันถามตัวเองว่า “ฟ่าน ปิงปิง นี่ถือเป็นความท้าทายครั้งสำคัญ เธอกล้าหรือไม่?” ถ้าเป็นปกติแล้วฉันมักจะตอบตกลงทันที แต่ครั้งนี้ฉันกลับรู้สึกถึงความยากในการควบคุมตัวละคร ต่อมาพอฉันได้คุยกับผู้กำกับ เขาถามว่าฉันเชื่อใจเขาไหม แน่นอนว่าฉันเชื่อ เขาบอกว่าเขามั่นใจว่าฉันจะต้องทำได้อย่างยอดเยี่ยมแน่นอน ขอแค่ไว้ใจเขาแล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย ตอนนั้นเลยค่ะที่ทำให้ฉันตัดสินใจรับบทนี้
ถาม : ตอนคุณอ่านบทจบเป็นครั้งแรก คุณรู้สึกยังไงกับหนังเรื่องนี้บ้าง
ตอบ : หลังอ่านจบ ฉันชอบเนื้อเรื่องของหนังมากๆ เฝิงเสี่ยวกัง เป็นนักเล่าเรื่องที่ชาญฉลาด เขาสามารถเล่าเรื่องราวที่ดูเป็นตุเป็นตะ ให้ออกมามีเนื้อมีหนังได้ บทหนังทำให้คนอ่านอย่างเรารวมถึงคนดูเชื่อ ว่านี่คือสถานการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง เฝิงเสี่ยวกัง เกิดมาพร้อมความสามารถในการเล่าเรื่อง เห็นได้จากงานเรื่องก่อนๆ ของเขาทั้ง Cell Phone, A Sign รวมถึงพวกละครทีวีในการทำงานช่วงแรกๆ ของเขาด้วย
บทหนังเรื่องนี้ หลิวเฉินยุน เป็นคนดัดแปลงจากนิยายของเขาเอง ฉันคิดว่าบทหนังน่าสนใจมากๆ ตัวละครทุกตัวมีเอกลักษณ์โดดเด่น และพวกเขาต่างมีเคมีที่เข้ากันดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกตัวละครที่ได้เผชิญหน้ากับ หลีสั่วเหลียน มันเหมือนกับทุกอย่างบนจอเริ่มจจากประกายไฟเล็กๆ จนกลายเป็นพลุขนาดใหญ่ นั่นคือความรู้สึกเวลาคุณได้ดูหนังเรื่องนี้ค่ะ
ถาม : หลีสั่วเหลียน เป็นคนยังไง
ตอบ : เธอเป็นคนฉลาดค่ะ แม้จะไม่ได้มีการศึกษาสูง แต่เธอเข้าใจชีวิต เธอเป็นคนที่หัวดีไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถจูงจมูกผู้ชายให้ทำตามสิ่งที่เธอต้องการ และสร้างปัญหาต่างๆ นานาให้แก่พวกเขายามช่วยเหลือเธอได้ เธอเป็นคนมีเหตุมีผลแต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุและผลของเธอเท่านั้น คนอื่นอาจไม่เข้าใจ ไม่เห็นด้วยกับเธอ แต่เธอก็ยังยืนกรานในสิ่งที่เธอคิด ซึ่งก็ทำให้เธอเป็นคนที่ดื้อมากๆ เหมือนกัน
ถาม : การรับบทนี้ถือเป็นการพลิกบทบาทครั้งสำคัญ ไม่ว่าจะด้านภาษา ภาพลักษณ์ และการแสดง คุณรู้สึกยังไงบ้าง
ตอบ : ฉันมักกังวลเสมอว่าฉันจะเล่นออกมาไม่สมจริงเพียงพอ ตอนที่เราลองเสื้อ ฉันคิดว่าตัวเองไม่เหมือนกับผู้หญิงชาวไร่ชาวนาเลย การรับบทในหนังเรื่องก่อนๆ ฉันมักจะทำให้ตัวเองดูใกล้เคียงกับบทที่ได้รับอยู่เสมอ ผิวของฉันค่อนข้างดีอยู่แล้ว เลยบอกให้ช่างแต่งหน้าว่า ในเมื่อหลีเป็นคนที่ผิวค่อนข้างดำ คุณจะต้องเลือกสีพื้นให้ถูกนะ และผลที่ได้คือเขาทำให้ผิวฉันออกมาดำและกร้านอย่างนั้นได้จริงๆ ส่วนเรื่องผม ฉันไม่สระผมเลยค่ะเป็นเวลาหลายวัน เรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เราลองหลายแบบมากแต่ก็ไม่เคยคิดว่าเสื้อที่ลองมันเหมือนกับเสื้อของหญิงชาวนาจริงๆ จนกระทั่งฉันบอกให้พวกเขาไปหาเสื้อที่ชาวนาผู้หญิงที่ต่างจังหวัดใส่มาใช้จริงๆ บางชุดน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 10 ปีด้วยซ้ำ เราเริ่มต้นจากตรงนั้นแล้วเอามาประยุกต์ ทำให้กลายเป็นเสื้อชาวนาจริงๆ
ตอนนั้นเราถือว่าเสื้อผ้าที่ใช้เป็นเสื้อที่ตัดขึ้นมาใหม่ เราใช้กระดาษทรายขัดเพื่อให้ชุดดูเก่า ทำให้ใส่แล้วดูแก่ ส่วนรองเท้า เราเลือกรองเท้าแล้วเอาโคลนทาไว้ให้มันดูสมบุกสมบัน ต่อมาทีมงานไปหาชุดเก่าๆ มาได้จำนวนเยอะมาก แล้วแต่ละตัวมีกลิ่นของเจ้าของคนเก่าติดอยู่เหมือนกันทั้งหมด เราเห็นร่องรอยบนเสื้อ เห็นความโกโรโกโส การทำให้เสื้อผ้าเก่าไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตามไม่สามารถเทียบได้กับการเก่าด้วยตัวมันเองแบบนี้เลย ก่อนถ่ายเราขอให้ผู้คนใส่ชุดไว้เพื่อให้มันดูมีอายุขึ้นเรื่อยๆ คุณจะสามารถอิ่มเอมไปกับรายละเอียดเหล่านี้ได้ในหนังเวอร์ชั่นสมบูรณ์
นอกจากนั้น เรื่องสำเนียงการพูดก็เป็นอีกสิ่งที่ฉันแอบกังวล เพราะผู้กำกับไม่ได้บอกอะไรเลยก่อนถ่ายว่าเราควรต้องพูดจาสำเนียงแบบไหน นักแสดงส่วนใหญ่เลยงงไม่น้อย เราเริ่มงานกันตอน 9 โมงเช้า แล้วพอผู้กำกับพูดคุยเรื่องตัวละครเสร็จมันก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว จากนั้นก็จะมีครูมาสอนให้เราพูดบทด้วยสำเนียงภาษาแบบคนท้องถิ่นเพื่อใช้ในการถ่ายทำวันถัดไป คุณครูจะบันทึกเสียงพูดบทตามสำเนียงจริงเอาไว้ทุกประโยค ในเดือนแรกที่เราถ่ายทำ ฉันคิดว่าเราน่าจะได้นอนกันไม่ถึง 3 ชั่วโมงต่อวัน เพราะพอถ่ายหนังเสร็จแล้วเรายังต้องมาเรียนพูดภาษาท้องถิ่นกันต่ออีก
ถาม : การหย่าของ หลีสั่วเหลียน เป็นการหย่าจริงหรือปลอมกันแน่? แล้วทำไมมันถึงเป็นเรื่องใหญ่จนเธอต้องพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ใช่ผู้หญิงดาวยั่วแบบ พานจินเหลียน ด้วย?
ตอบ : แม้ว่าฉันจะไม่ได้เคยประสบกับความเจ็บปวดแบบเดียวกับเธอ แต่ก็พอเข้าใจได้นะ ในฐานะคู่รักที่ดูมีอะไรทุกอย่างลงตัวกันดี พวกเขาย่อมต้องการครองครองทรัพย์สิน หรือมีลูก แถมหนทางเดียวที่จะได้มาคือการต้องหย่าแบบน่าละอายอีก มันถือเป็นประเด็นใหญ่ของสังคมนะ แต่เธอก็ต้องตกใจที่การหย่ากลับกลายเป็นความจริงขึ้นมา แถมสามีเธอยังไปแต่งงานกับผู้หญิงอื่น ที่สำคัญสามีเธอยังปฏิเสธเรื่องการหย่าปลอมๆ พร้อมกล่าวหาว่าเธอไม่บริสุทธิ์ใจกับเขามาตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำ การเรียกเธอว่าเป็น พานจินเหลียน มันทำให้เธอชอกช้ำไม่น้อย
ผู้หญิงแบบเธอในยุคนั้นอ่อนไหวมากหากถูกนำไปเปรียบเทียบกับ พานจินเหลียน ด้วยเหตุผลแบบนั้นทำให้สถานการณ์มันซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิมอีก แล้ว วิธีการรับมือของเธอเองก็อาจมีปัญหา เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้หญิงเจอปัญหาแบบนี้ เธอย่อมสู้ไม่ถอยไม่มีใครสามารถให้อภัยสามีตัวเองแล้วอยู่อย่างสงบสุขได้หรอก หากคู่สามีภรรยาได้ลงหลักปักฐานด้วยกัน ได้มีลูกด้วยกันแล้ว พวกเขาย่อมไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ หลังจากที่เกิดเรื่องราวนั้นขึ้น เธอก็ได้พบกับผู้คนมากมาย มีหลายคนมองว่าเธอเป็นตัวปัญหา ขณะที่อีกส่วนหนึ่งมองว่าเธอแข็งกร้าวและไร้เหตุผลเกินไป แต่ฉันกลับคิดว่าเธอทรมานมากๆ เลยนะจากการต่อสู้ครั้งนี้
ท้ายที่สุดเธอก็ไม่อาจยอมรับชะตากรรมของตัวเองได้ มันไม่สำคัญว่าเธอเป็นคนสร้างปัญหาทำให้ผู้อื่นต้องทุกข์ทรมาน นี่คือสิ่งที่ผู้หญิงที่อยู่ชั้นล่างสุดของสังคมต้องเผชิญว่าเธอเองไร้ซึ่งอำนาจ เธอไม่สามารถดีดนิ้วสั่งใครแล้วจะช่วยให้ปัญหาของเธอจบสิ้นลงได้ เธอรู้สึกว่าในเมื่อเธอต่อสู้มานานแล้ว แต่ผู้คนต่างก็ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือเธอเพราะเธอสร้างปัญหาให้กับพวกเขา มันก็วนเวียนแบบนี้ไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที
ถาม : หลีสั่วเหลียน มีปัญหากับ จ้าวดาตู และ คินอู๋เฮ พวกเขาค่อยๆ ทำร้ายเธอให้เจ็บขึ้นๆ ได้อย่างไร
ตอบ : จริงๆ แล้วรายของ คินอู๋เฮ เขาต้องการจะทำลายเธอให้สิ้นซาก เขาทำให้เธอเจ็บช้ำสาหัสจนเธอต้องลุกขึ้นมาเอาคืนเขาบ้าง แต่กรณีของ จ้าวดาตู เขาทำให้เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นหลังจากที่เธอต้องผิดหวังจากใครต่อใครมามากมาย แต่จากความอ่อนโยน กลับแปรเปลี่ยนเป็นการทำร้ายเธอในตอนท้ายแทน มันทำให้หลีสั่วเหลียนสติแตก ถ้าทั้งคู่เกิดลงเอยกันด้วยดีตั้งแต่ทีแรก บางทีปัญหามันอาจไม่บานปลายแบบนี้ แต่เพราะการกระทำของเขานั่นแหละ เรื่องราวต่างๆ เลยจบลงอย่างไม่ค่อยสวยงาม
ถาม : คุณคิดว่าเพราะอะไรถึงทำให้ หลีสั่วเหลียน ยกเลิกการร้องเรียนที่ปักกิ่ง
ตอบ : คินอู๋เฮ สามีของเธอ ยังคงอยู่ในใจเธอเสมอ เป็นเวลานานนับ 10 ปีแล้วที่เธออยากจะทำลายเขาให้สิ้นซาก แต่พอเธอได้ยินว่าเขาตายแล้ว มันกลับส่งผลต่อจิตใจเธออย่างรุนแรง ราวกับว่าโลกทั้งใบได้พังทลาย ทุกอย่างไม่มีความหมายอีกต่อไป ถึงเธอจะสามารถทวงคืนศักดิ์ศรี พิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่เธอถูกกล่าวหาไม่เป็นความจริง แต่เขาก็จะไม่ถูกลงโทษอยู่ดี
ถาม : นักแสดงนำชายในหนังเรื่องนี้ส่วนใหญ่ได้รับบทเป็นเจ้าหน้าที่คนใหญ่คนโตของทางการ คุณคิดว่าบทบาทของพวกเขาในหนังนั้นเป็นอย่างไร
ตอบ : เมื่อพวกเขาใช้อำนาจและความฉลาดที่มีอยู่ต่อสู้กับ หลีสั่วเหลียน พวกเขาทุกคนอาจดูเหมือนคนสูงค่า แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ฝ่ายของพวกเขาต้องปะทะกับ หลีสั่วเหลียน มันเหมือนว่าทั้ง 2 ฝ่ายก็แทบไม่มีความแตกต่างกัน ฉันรู้สึกว่า หลีสั่วเหลียน ฉลาดมาก เธอไม่ใช่หญิงชาวบ้านธรรมดาๆ เธอมีแผนรับมือ เธอมีเหตุและผลที่เตรียมมาพร้อม เธอรู้ว่าต้องเข้าไปหาเจ้าหน้าที่คนไหน เธอเข้าใจว่าลำดับขั้นอำนาจมันเป็นอย่างไร เธอไม่ใช่คนที่พุ่งเข้าชนกับใครต่อใครโดยปราศจากความคิดไต่ตรองอย่างรอบคอบไว้ก่อน
ถาม : คุณคิดว่า I Am Not Madame Bovery เป็นหนังแบบไหน
ตอบ : มันเป็นหนังที่มีเรื่องราวสุดพิเศษ หลายปีที่ผ่านมา เฝิงเสี่ยวกัง อาจทำหนังที่ว่าด้วยผู้หญิงออกมาไม่เยอะ หนังเรื่องนี้คือ 1 ในนั้น ยิ่งกว่านั้นนี่คือหนังที่ถ่ายทอดผ่านเฟรมภาพวงกลมเป็นเรื่องแรกของประเทศจีน โดยทั่วไปแล้ว นักแสดงจะไม่มีข้อจำกัดในการแสดงมากนักไม่เหมือนหนังเรื่องนี้ ดังนั้น ตากล้อง ฝ่ายแสงและทีมงานคนอื่นๆ จึงต้องคอยตามติดการแสดงของเราตลอดเวลา เราต้องให้ความสนใจกับตำแหน่งของตัวเองเวลาอยู่ในกล้อง สำหรับ หลัวปัน ผู้กำกับภาพของเรา เขาให้ความสำคัญกับเรื่องสีและองค์ประกอบของภาพ ซึ่งถือว่าค่อนข้างลำบากยิ่งกว่าการถ่ายหนังในรูปแบบปกติทั่วๆ ไป หนังเรื่องนี้มอบประสบการณ์สุดแปลกใหม่ให้กับเขาอย่างมากค่ะ
ถาม : เฝิงเสี่ยวกัง มีเหตุผลด้านสุนทรียศาสตร์จึงเลือกจะถ่ายหนังเรื่องนี้ด้วยเฟรมภาพวงกลม คุณคิดว่าอะไรเป็นแรงจูงใจให้เขาตัดสินใจแบบนี้
ตอบ : ฉันคิดว่าเขาแค่อยากมีความสุขที่ได้ทำแบบนี้ เขาไม่อยากมานั่งเสียใจภายหลังตอนเลิกทำหนังไปแล้ว ฉันอยากเรียนรู้แง่มุมความคิดของเขาอีกเยอะๆ อยากทำในสิ่งที่มีความสุข ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
ถาม : คุณคิดว่าหนังเรื่องนี้มีความตลกแบบไหน
ตอบ : มันเป็นความตลกที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของ เฝิงเสี่ยวกัง เลยค่ะ และเราก็เห็นได้ชัดมากว่าบทของ หลิวเฉินยุน นั้นมีอารมณ์ขันอันเป็นเอกลักษณ์มากขนาดไหน ถ้าคุณคุ้นเคยกับผลงานเก่าของเขามาก่อน คุณจะพบว่า Cell Phone ไม่ใช่หนังตลกที่ตื่นเขิน ฉันเชื่อว่าผู้คนจะสัมผัสได้เช่นกันในหนังเรื่อง I Am Not Madame Bovery ฉันคิดว่าคนดูที่มีประสบการณ์ชีวิตมาค่อนข้างเยอะจะต้องยิ่งชอบหนังเรื่องนี้แน่นอน
ถาม : คุณรู้สึกยังไงที่ได้ร่วมงานกับ เฝิงเสี่ยวกัง อีกครั้ง
ตอบ : ฉันรู้สึกว่าผู้กำกับเฝิงเป็นคนที่สุขุม ตอนทำหนังเรื่อง Cell Phone เขาค่อนข้างเข้มงวดนะ เขาอาจเป็นคนที่ตรงไปตรงมา รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกมาทางสีน้าแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนง่ายๆ ตราบใดที่เราเข้าใจซึ่งกันและกัน เขาก็จะคอยสนับสนุนเราไปจนถึงฝั่ง นอกจากนั้น เขายังเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย ผู้กำกับส่วนใหญ่จะไม่ชอบแสดงให้เราดูว่าควรต้องแสดงยังไง แต่เขากลับถนัดมากเรื่องนี้ การแสดงของเขาทำให้เราได้เห็นว่าเขาจ้องมองรายละเอียดมองชีวิตมนุษย์ได้ละเอียดแค่ไหน เขามีประสบการณ์เยอะ มีเรื่องราวที่อยากเล่ามากมาย และเขาก็เก่งทีเดียวในการสื่ออารมณ์ของผู้ชายออกมาให้ผู้หญิงได้รับรู้
ถาม : คุณรู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงชายคนอื่นๆ ในเรื่อง
ตอบ : นักแสดงในหนังเรื่องนี้ทุกคนเก่งมากเลยค่ะ การแสดงของพวกเขาทำให้คุณอยากจะพัฒนาฝีมือของตัวเองให้เก่งมากยิ่งขึ้นไปอีก การได้ร่วมงานกับพวกเขาแตกต่างไปจากการร่วมงานกับนักแสดงรุ่นใหม่ๆ ที่ไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไรจนกระทั่งถึงเวลาเผชิญกับผู้อื่น การได้ร่วมงาน ได้ต่อกรกับคู่ต่อสู้อย่างพวกเขา ถือเป็นการต่อสู้ที่เยี่ยมยอดเลยค่ะ
บันทึกภาพ: สหมงคลฟิล์ม