What To Expect When You’re Expecting เธอ เริ่ด เชิ่ด ป่อง 28 มิถุนายน 2555 ในโรงภาพยนตร์

แชร์ข่าวนี้

สร้างจากหนังสือชุดเบสเซลเลอร์ของ New York Times  ที่เขียนโดย ไฮดี้ เมอร์คอฟ ซึ่งถือเป็นคัมภีร์ไบเบิ้ลสำหรับคนที่กำลังจะเป็นพ่อแม่ และเป็นหนังสือที่มีผลกระทบต่อสังคมในรอบ 25 ปีที่ผ่านมาของหนังสือพิมพ์ USA Today โดยเล่มแรกก็ขายได้มากกว่า 35 ล้านเล่มทั่วโลก นี่คือหนังสือที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องเจอในการตั้งครรภ์ ซึ่งอธิบายด้วยแนวทางที่ชัดเจน ทันสมัย เห็นใจ และเปี่ยมไปด้วยอารมณ์

ด้วยเรื่องราวที่ทั้งตลกและประทับใจของคน 5 คู่ ที่ชีวิตต้องมาพาดผ่านกัน เมื่อเผชิญหน้ากับการตั้งครรภ์ What to Expect When You’re Expecting คือหนังโรแมนติก-คอมเมดี้รวมนักแสดงคุณภาพอย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น คาเมรอน ดิแอซ, เจนนิเฟอร์ โลเปซ, เอลิซาเบธ แบงก์ส, บรุ๊คลิน เด็กเกอร์, แอนนา เคนดริก, เชซ ครอว์ฟอร์ด, แมทธิว มอร์ริสัน, เดนนิส เคว็ด, คริส ร็อค, โรดริโก้ ซานโตโร และ โจ แมนเกนเนโล่

จูลส์ (คาเมรอน ดิแอซ) นักเต้นในรายการทีวี ต้องตื่นเต้นสุดชีวิตเมื่อพบว่าตัวเองตั้งท้อง ในขณะที่ อีแวน (แมทธิว มอร์ริสัน)  แฟนหนุ่มของเธอพบว่า หน้าที่การงานของพวกเขาไม่มีเวลาสำหรับเด็ก, เวนดี้ (เอลิซาเบธ แบงก์ส) นักเขียนหนังสือสำหรับคุณแม่ ต้องกลายเป็นคุณแม่เสียเอง ในขณะที่ แกรี่ (เบน ฟัลโคเน่) สามีของเธอ ก็ต้องเจอความกดดันจากพ่อของเขา เมื่อ สกายเลอร์ (บรุ๊คลิน เด็กเกอร์) ภรรยาวัยละอ่อนกำลังจะมีลูกแฝด, ฮอลลี่ (เจนนิเฟอร์ โลเปซ) ช่างภาพต้องการเดินทางรอบโลก และรับเด็กมาเป็นลูกบุญธรรม แต่ อเล็ก (โรดริโก้ ซานโตโร) สามีของเธอก็ไม่แน่ใจกับเรื่องนี้ เขาตัดสินใจเข้ากลุ่มช่วยเหลือตัวเอง ที่บรรดาคุณพ่อมือใหม่มาระบายความรู้สึก และคู่แข่งรถขายอาหาร โรซี่ (แอนนา เคนดริก) และ มาร์โค (เชซ ครอว์ฟอร์ด) ก็จับพลัดจับพลูนอนด้วยกัน มันจะเป็นยังไงเมื่อลูกคนแรกเกิดก่อนเดทครั้งแรก?

What to Expect When You’re Expecting เป็นผลงานการเขียนบทของ ชอว์น่า ครอส (Whip It) และ เฮทเธอร์ แฮช (Freaky Friday) กำกับโดย เคิร์ค โจนส์ (Nanny McPhee, Everybody’s Fine) และอำนวยการสร้างโดย ไมค์ เมดาวอย (Miss Potter, License to Wed, Black Swan) โดยมีทีมงานคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับภาพ ซาเวียร์ โกรเบ็ต (Music & Lyrics, The Back-up Plan, I Love You Phillip Morris), ผู้ออกแบบงานสร้าง แอนดรูว ลอวส์ (1408, Yes Man, The Break-Up), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แคเรน แพช (Bride Wars, The Back-up Plan, How to Lose a Guy in 10 Days), และผู้ตัดต่อภาพ ไมเคิล บีเรนบัม (Sex and the City 1 & 2, Hollywoodland, War, Inc.)
http://youtu.be/OwjsZGseiCg

จุดเริ่มต้น

What to Expect When You’re Expecting ตีพิมพ์ครั้งแรก ปี 1985 กลายเป็นคัมภีร์ไบเบิ้ลสำหรับคนที่กำลังจะเป็นพ่อแม่ หนังสือขายดีของ New York Times ที่เขียนโดย ไฮดี้ เมอร์คอฟ กลายเป็นหนังสือที่มีผลกระทบต่อสังคมในรอบ 25 ปีที่ผ่านมาของหนังสือพิมพ์ USA Today โดยเล่มแรกก็ขายได้มากกว่า 35 ล้านเล่มทั่วโลก นี่คือหนังสือที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องเจอในการตั้งครรภ์ ซึ่งอธิบายด้วยแนวทางที่ชัดเจน ทันสมัย เห็นใจ และเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ นั่นคือสิ่งที่ทำให้ What to Expect When You’re Expecting แตกต่างจากหนังสือเล่มอื่นที่พยายามเลียนแบบ ซึ่งทำให้สามผู้อำนวยการสร้าง ไมค์ เมดาวอย, อาร์โนลด์ เมสเซอร์ และ เดวิด ทเว็ด เกิดไอเดียที่จะนำหนังสือมาสร้างเป็นภาพยนตร์

คาเมรอน ดิแอซ ที่รับบทเป็นหนึ่งในห้าสาวที่กำลังจะมีลูกในหนัง พูดถึงตัวหนังสือว่า “ฉันคิดว่าคอนเซ็ปท์ในการนำหนังสือเล่มนี้มาสร้างเป็นหนังยอดเยี่ยมมาก ฉันได้ยินชื่อหนังสือเล่มนี้มานานแล้ว มันเป็นหนึ่งในหนังสือที่ต้องเกี่ยวข้องกับชีวิตของคุณไม่วันใดก็วันหนึ่ง และเมื่อคุณอ่านมัน คุณก็จะรู้สึกเหมือนได้รับคำแนะนำจากเพื่อนที่มีประสบการณ์ในการตั้งท้อง”

เจนนิเฟอร์ โลเปซ อีกหนึ่งนักแสดงนำของหนัง ก็เห็นด้วยกับ ดิแอซ “หนังสือเล่มนี้ยอดเยี่ยมมาก มันจะบอกคุณอาทิตย์ต่ออาทิตย์ว่าจะต้องเจอกับอะไร และอะไรจะเกิดขึ้้นกับตัวคุณในช่วงเวลานั้น ฉันคิดว่าโดยธรรมชาติผู้หญิงท้องจะมีความกังวลว่าทุกอย่างจะโอเคมั้ย นี่คือหนังสือที่จะบอกคุณว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ อย่ากังวลไป คุณต้องรู้สึกแบบนี้อยู่แล้ว” ฉันคิดว่าหนังทำได้เหมือนกับหนังสือ มันจะบอกเล่าเรื่องราวผ่านผู้หญิงห้าคน ที่ต่างก็มีแง่มุมที่จะทำให้คุณหัวเราะ”

ถึงแม้ว่าทีมสร้างจะซื้อสิทธิ์หนังสือมาแล้ว คำถามก็คือจะทำยังไงกับการเอาคู่มือการรับมือกับการตั้งครรภ์ มาทำให้กลายเป็นเรื่องราวที่อยู่ในหนัง ผู้อำนวยการสร้าง ไมค์ เมดาวอย เผยว่า “การดัดแปลงหนังสือเล่มนี้ให้เป็นหนังถือเป็นแนวคิดที่สุดโต่ง แต่ผมก็ต้องยอมรับกับความมุ่งมั่นของ เดวิด ทเว็ด และ ดัค แม็คเคย์ ที่บอกว่าพวกเขามีแนวทางในการดัดแปลง และก็จะทำมันให้สำเร็จ”

หลังจากได้อ่านหนังสือ และเข้าใจว่าประสบการณ์ในการตั้งท้องของผู้หญิงหลากหลายแค่ไหน เดวิด ทเว็ด ก็คิดได้ว่ามันจะต้องเป็นหนังที่รวมเรื่องราวต่างๆที่พาดผ่านกัน โดยมีธีมของการมีลูกเป็นหลัก “การได้พูดคุยกับหลายๆครอบครัว มันทำให้ผมได้รู้ว่า ประสบการณ์ของแม่แต่ละคนไม่เหมือนกัน มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นที่จะถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านั้นผ่านหลายๆคู่ ที่พบว่าตัวเองตั้งท้องในเวลาไล่เลี่ยกัน”

เคิร์ก โจนส์ ผู้กำกับชาวอังกฤษที่เป็นที่รู้จักจากผลงานอย่าง Waking Ned Devine และ Nanny McPhee ก็รู้สึกถึงอารมณ์ขันที่เกิดขึ้นจากโปรเจ็คนี้ “หนังสือเล่มนี้มีอารมณ์ขันที่เป็นธรรมชาติ ผมคิดเลยว่าจะต้องจับเอาตรงนั้นมาใส่ในหนัง เช่นคู่ที่ต้องรับมือกับการตั้งท้องเป็นครั้งแรก ที่เหมือนถูกดีดเข้าไปสู่พื้นที่ที่ไม่มีใครรู้จัก ผมอยากทำหนังที่มีทั้งอารมณ์ขันและความประทับใจในเวลาเดียวกัน เพราะนั่นคือส่วนผสมที่มีมนต์ขลังค์ที่สุด”

เพราะเรื่องราวที่มีความเป็นไปได้แบบไม่มีจุดสิ้นสุด ทีมงานก็ได้มุ่งหน้าไปหาสองผู้เขียนบท ชอว์น่า ครอส (Whip It) และ เฮทเธอร์ แฮช (Freaky Friday) ที่ต่างมีประสบการณ์ในการมีลูกเป็นของตัวเอง โดย แฮช ก็ได้เล่าว่า “ฉันท้องแก่แล้วตอนเข้ามารับหน้าที่เขียนบท ดังนั้นฉันจึงมีทั้งประสบการณ์และอารมณ์ร่วมในการเขียนเรื่องราวออกมา มันสมเหตุสมผลสำหรับฉัน คุณมีระยะการของตั้งท้องสามขั้น ซึ่งก็เหมือนกับหนังที่มีสามองค์ มันมีจุดที่ฉันยึดถือเอาไว้ได้”

ชอว์น่า ครอส ที่เป็นแม่คนเช่นเดียวกัน ก็ตั้งใจที่จะใส่อารมณ์ขันเข้ามาในประสบการณ์ของตัวละครให้มากที่สุด “ในขณะที่ฉันพบว่าการตั้งท้องมีความน่ารักและประทับใจ ฉันก็ยังคิดว่ามันมีความตลกมากอีกด้วย ฉันต้องการที่จะผลักดันความรู้สึกนั้นออกมา และทำให้มันมีความร่วมสมัย เพื่อที่จะทำให้หนังเป็นตัวแทนของค่านิยม ในการสร้างครอบครัวสำหรับคนในยุคเรา”

ผู้กำกับ เคิร์ก โจนส์ ก็รู้สึกว่าความจริงใจของหนังสือ ควรที่จะถูกตีแผ่ออกมาในหนังเช่นกัน โดยบทภาพยนตร์ก็ได้ถ่ายทอดประเด็นในการตั้งท้องจากหลายมุมมอง ความท้าทายทางสภาพร่างกายและจิตใจ รวมถึงการรับเด็กมาเป็นบุตรบุญธรรม “การตั้งครรภ์ที่ถูกบอกเล่าในสื่อหลัก ผู้หญิงท้องจะมีรัศมีเปล่งปลั่งและได้รับประสบการณ์ที่ดี แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้นทั้งหมด ซึ่งบทภาพยนตร์ของเราก็ไม่ได้หลบเลี่ยงจากหลักฐานของความสมจริง”

การคัดเลือกนักแสดง

การคัดเลือกนักแสดงของ What to Expect When You’re Expecting เป็นงานที่เหน็ดเหนื่อย โดยทีมงานต้องสร้างสมดุลระหว่างนักแสดงหลักทั้ง 12 คน ซึ่งมีความเข้มแข็งไม่แตกต่างจากบทภาพยนตร์ของ ครอส และ แฮช โดยผู้อำนวยการสร้าง เดวิด ทเว็ด เผยว่า “คุณไม่สามารถแน่ใจ 100% ได้ในเคมีระหว่างนักแสดงจนกระทั่งถ่ายทำ ดังนั้นคุณก็ต้องทำตามสัญชาตญาณ เคิร์ก และผมใช้เวลายาวนานในการหาความสมดุล ผมคิดว่าพวกเรามีทีมนักแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุด ไม่มีคนไหนที่ทำให้ผมรู้สึกเสียใจหรือผิดหวังเลย”

ไฮดี้ เมอร์คอฟ ผู้แต่งหนังสือ และเป็นผู้ร่วมอำนวยการสร้างของหนัง ก็พูดถึงนักแสดงในเรื่องว่า “มันน่าทึ่งที่ทุกคนที่เราต้องการให้เข้ามาแสดงตอบตกลงทุกคน พวกเขาทำให้ฉันทึ่งกับการแสดงที่สมจริง คุณสามารถบอกได้เลยว่านักแสดงมีหัวจิตหัวใจอยู่กับหนังหรือไม่ พวกเขาทุ่มเทให้กับมัน และเชื่อมต่อได้กับประสบการณ์ของตัวเอง ฉันคิดว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้มันแตกต่างจากหนังรวมดาราเรื่องอื่นๆ”

จากห้าคู่ที่อยู่ในหนัง มีอยู่หนึ่งคู่ที่พบกับการเปลี่ยนแปลงในการใช้ชีวิตที่มากที่สุด นั่นคือ จูลส์ รับบทโดย คาเมรอน ดิแอซ เซเลปที่มีรายการเต้นลดน้ำหนักเป็นของตัวเอง กับ อีแวน รับบทโดย แมทธิว มอร์ริสัน นักเต้นมืออาชีพ ที่ต่างเป็นตัวเก็งที่จะชนะเรียลลิตี้เต้น Celebrity Dance Factor แต่การตั้งท้องของ จูลส์ ก็ทำให้พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับปัญหา ทั้งเรื่องการงานอาชีพและเรื่องส่วนตัว

คาเมรอน ดิแอซ นักแสดงสาวชื่อดังที่มีผลงานมาแล้วมากมาย เช่น The Back-Up Plan, Maid in Manhattan เล่าถึงเรื่องราวในส่วนของเธอว่า “จูลส์ ไม่คิดว่าตัวเองจะตั้งท้อง แต่ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ตั้งท้องแบบไม่ตั้งใจ มันเป็นเหมือนแรงกระตุ้นให้ทั้งคู่ทบทวนถึงชีวิตคู่ที่จริงจังมากขึ้น พวกเขาต่างมีเส้นทางในอาชีพที่กำลังรุ่ง โดย จูลส์ ก็ยังเป็นผู้หญิงที่ต้องควบคุมทุกอย่างตลอดเวลา และตอนนี้บางสิ่งบางอย่างก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป”

แมทธิว มอร์ริสัน ที่มีชื่อเสียงกับซีรี่ย์มิวสิเคิลสุดฮิตเรื่อง Glee และเป็นนักแสดงละครเวทีมากว่าทศวรรษ ก็เล่าถึงมุมมองของเขาว่า “จูลส์ และ อีแวน เป็นคนหัวแข็งทั้งคู่ พวกเขาทะเลาะกันตลอดเวลา พวกเขาต้องพบกับความท้าทายในการหาข้อตกลง และการตัดสินใจสำหรับลูกที่กำลังจะเกิดขึ้น ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อย ไปจนถึงเรื่องใหญ่อย่างการทำหมัน”

สำหรับคู่ที่สอง ฮอลลี่ และ อเล็ก ที่รับบทโดย เจนนิเฟอร์ โลเปซ และ โรดริโก้ ซานโตโร มีแนวคิดที่เหมือนกัน พวกเขาต่างก็มีความคิดร่วมสมัย ที่ใช้ความเป็นอิสระเข้ามามีส่วนในการตัดสินใจ โลเปซ เล่าว่า “ฮอลลี่ และ อเล็ก มีช่วงเวลาที่สนุกร่วมกัน เขาสนใจเรื่องดนตรี ส่วนเธอสนใจเรื่องถ่ายภาพ พวกเขาแต่งงานกันมาสักพัก แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็มีรากฐานอยู่บนความสนุก มันต้องมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเติบโตเป็นครอบครัว พวกเขาพยายามมีลูก แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนในที่สุดเธอก็ตัดสินใจรับบุตรบุญธรรม และนั้นก็นำไปสู่กระบวนการในการตัดสินใจที่ลำบาก”

ในการรับบทเป็น ฮอลลี่ ทำให้ เจนนิเฟอร์ โลเปซ นักร้อง/นักแสดงจาก The Back-Up Plan, Maid in Manhattan ได้สำรวจถึงความกดดันที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงยุคใหม่ ที่คิดถึงเรื่องอาชีพก่อนครอบครัว และรู้สึกเสียใจกับเวลาที่ผ่านไป “ฮอลลี่ ใช้ชีวิตอยู่กับความรู้สึกผิด ในการไม่ได้ทำหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การที่เธอมีลูกไม่ได้ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนได้รับพรมาจากพระเจ้า ดังนั้นเธอจึงพยายามผลักดันตัวเองและ อเล็ก ให้มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ เช่นการมีบ้านและมีลูก ทุกสิ่งทุกอย่างถือเป็นแรงกดดันสำหรับเธอ”

ความกังวลเรื่องการสร้างครอบครัวก็ส่งตรงมาถึง อเล็ก ที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมแล้วหรือยังกับการเป็นพ่อคน นักแสดงหนุ่ม โรดริโก้ ซานโตโร จาก 300 ก็พูดถึงตัวละครว่า “เขาเป็นตัวละครที่น่าสนใจ เพราะว่าเขาเป็นเหมือนตัวแทนของผู้ชายทุกคน ที่รู้สึกกลัวกับการเป็นพ่อ และการเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมอยากเข้ามาถ่ายทอดตัวละครนี้”

ความไม่แน่ใจของ อเล็ก นำเขาไปสู่การหาคำแนะนำของ “Dudes Group” กลุ่มคุณพ่อที่นัดพบกันที่สวนสาธารณะอาทิตย์ละครั้ง เพื่อที่จะแชร์ประสบการณ์ของการเป็นพ่อที่ทั้งจริง ฮา และเพี้ยน โดยหัวหน้ากลุ่มก็นำโดย วิค ที่รับบทโดย คริส ร็อค นักแสดงตลกมากฝีมือ พูดถึงบทบาทของเขาว่า “วิค เป็นหัวหน้าทีมของ Dudes Group เขาเป็นคนที่มีลูกเยอะที่สุด และมีความรู้ในการเป็นพ่อคนมากที่สุด เขามีประสบการณมาแชร์มากมาย เป็นเหมือนผู้เฒ่าของกลุ่มนี้”

ผู้กำกับ เคิร์ก โจนส์ พูดถึงกลุ่มคุณพ่อ ว่าเป็นเหมือนมุมมองของผู้ชายต่อการเลี้ยงลูก “The Dudes Group เป็นเหมือนตัวแทนของผู้ชาย ว่าพวกเขารู้สึกยังไงกับการท้องของผู้หญิง ผมอยากให้พวกเขาพูดอย่างที่คิด และทั้ง คริส, ร็อบ, ทอม, และ อาเมียร์ ต่างก็เป็นนักแสดงที่ดั้นสดได้อย่างน่าทึ่ง เมื่อคุณได้ผู้ชายสี่คนนี้มายืนคุยกัน สิ่งเดียวที่คุณทำได้ก็คือนั่งฟังและสนุกไปกับมุข นี่ถือเป็นช่วงเวลาไฮไลท์หนึ่งของหนัง”

เช่นเดียวกับ ฮอลลี่ เมื่อตัวละครอย่าง เวนดี้ ที่รับบทโดย เอลิซาเบธ แบงก์ส ที่เพิ่งรับบทเป็น เอฟฟี่ ทริงเก็ต ใน The Hunger Games ก็ดิ้นรนกับความตั้งใจที่จะมีลูก โดยเธอเล่าว่า “เวนดี้ และสามี แกรี่ มีชีวิตที่บ้ามาก เธอนับวันไข่ตกและคอยดูว่าอุณหภูมิในร่างกายเหมาะสมหรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกคำนวนเอาไว้แล้ว พวกเขามีความตั้งใจกับเป้าหมายของการมีลูก จนทำให้ลืมนึกไปถึงเป้าหมายในการทำให้ชีวิตคู่มีความสุข”

เมื่อ เวนดี้ ตั้งท้องสมใจอยากแล้ว เธอก็หวังว่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีในการเป็นแม่ เพราะเธอก็เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีร้านเป็นของตัวเองที่ชื่อ The Breast Choice ที่มีคลาสสอนให้คุณแม่มือใหม่ แต่ เวนดี้ ก็เปลี่ยนความคิดเมื่อต้องรับประสบการณ์ด้วยตัวเอง แบงก์ส เล่าว่า “ฉันคิดว่าผู้หญิงหลายคนก็เหมือนกับ เวนดี้ การตั้งท้องไม่เหมือนกับที่เธอจินตนาการไว้ นี่คือสิ่งที่ ไฮดี้ เมอร์คอฟ เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนในหนังสือ เธอดึงคุณลงมาอยู่ในความจริง มันแตกต่างสำหรับทุกคน สำหรับ เวนดี้ มันแตกต่าง เพราะมันเลวร้ายกว่าที่เธอวาดฝันเอาไว้”

แกรี่ สามีของ เวนดี้ รับบทโดยนักแสดงตลก เบน ฟัลโคเน่ ที่ทำหน้าที่เป็นผู้รองรับอารมณ์ของ เวนดี้ โดยเขาก็เป็นพวกที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง และพยายามที่จะทำให้ แรมซี่ย์ พ่อของเขา อดีตนักขับรถ NASCAR ภูมิใจ แต่เมื่อ เวนดี้ ตั้งท้อง ความทรงจำอันเลวร้ายของ แกรี่ ก็หวนกลับคืนมา เขาเล่าว่า “แกรี่ พบว่า การตั้งท้องของ เวนดี้ ได้นำปัญหาเก่าๆในชีวิตเขากับพ่อกลับมา แกรี่ เป็นพวกที่ชอบโทษตัวเอง และกลายเป็นคนที่รองรับทุกสิ่งทุกอย่างจาก เวนดี้”

สาเหตุสำคัญในความกดดันของ เวนดี้ และ แกรี่ จาก แรมซี่ย์ พ่อของฝ่ายสามี ก็คือ สกายเลอร์ ภรรยาใหม่อายุคราวลูกของเขา ที่กำลังทั้งท้องลูกแฝด และไม่มีปัญหาใดๆกับการตั้งท้องเลย ผู้กำกับ โจนส์ อธิบายว่า “ผู้หญิงบางคนผ่านการตั้งท้องไปได้ฉลุย และในเรื่องนี้ก็เป็นเคสของ สกายเลอร์ เธอไม่มีปัญหาใดๆเลย เธอดูสวยงามและน่าทึ่ง ผิวของเธอเปล่งปลั่งและมีอารมณ์ที่สดใสตลอดเวลา”

คู่ชีวิตต่างวัยอย่าง แรมซี่ย์ ที่รับบทโดย เดนนิส เคว็ด กับ บรุ๊คลิน เด็กเกอร์ ที่รับบทเป็น สกายเลอร์ แม่เลี้ยงคราวลูกของ แกรี่ ผู้กำกับ โจนส์ ก็พูดถึงคู่นี้ว่า “เดนนิส มีสเน่ห์ที่น่าทึ่ง เขาอยู่ในวงการนี้มานานแล้ว เขาได้เห็นและผ่านประสบการณ์อะไรหลายอย่าง และความมั่นใจของเขาก็มาจากประสบการณ์ในชีวิตจริง ที่นำมาใส่ในตัวของ แรมซี่ย์”

หลังจากแสดงนหนังบล็อคบัสเตอร์ Battleship นักแสดงที่ผันตัวจากการเป็นนางแบบอย่าง บรุ๊คลิน เด็กเกอร์ ก็รู้สึกดีใจที่ได้รับโอกาสในการแสดงเป็นตัวละครนี้ “ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่สุดกับการแสดงเป็น สกายเลอร์ เพราะเธอคือฉันเลย (หัวเราะ) ฉันเติบโตในนอร์ธ แคโรไลน่า ที่เป็นต้นกำเนิดของ NASCAR และ สกายเลอร์ ในเรื่องก็เป็นภรรยาของนักแข่ง NASCAR เมื่อฉันได้อ่านบทภาพยนตร์ ฉันก็คิดว่าตัวเองรู้จัก สกายเลอร์ เพราะฉันเติบโตมาพร้อมกับผู้หญิงคนนี้”

นักแสดงดาวรุ่งพุ่งแรง แอนนา เคนดริก ที่มีผลงานคุณภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Up In The Air, The Twilight Saga และล่าสุด 50/50 กับ เชซ ครอว์ฟอร์ด จากซีรี่ย์สุดฮิต Gossip Girl ก็เป็นคู่สุดท้ายของหนัง โรซี่ และ มาร์โค สองเชฟวัยรุ่นไฟแรง ที่แข่งกันทำอาหารเพื่อแย่งลูกค้า แต่หลังจากค่ำคืนที่ผิดพลาดส่งผลให้เธอตั้งท้อง ครอว์ฟอร์ด อธิบายว่า “มาร์โค และ โรซี พนันกันว่า ใครจะขายอาหารได้มากที่สุดในช่วงพักเที่ยง หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกไปดื่มด้วยกัน และอะไรบางอย่างก็เลยเถิดไป”

เมื่อ โรซี่ พบว่าตัวเองตั้งท้อง ความคิดของเธอก็มืดมนไม่ต่างจาก มาร์โค ซึ่งประสบการณ์ของทั้งคู่ก็สะท้อนไปถึงคำโปรยของหนัง นั่นก็คือ “เมื่อพูดถึงเรื่องการตั้งท้อง จงคาดหวังในสิ่งที่ไม่คาดหวัง” เคนดริก อธิบายว่า “โรซี่ ต้องการคำตอบ เธอต้องการวิธีการแก้ไข และเธอก็ต้องการให้ มาร์โค ช่วยคิดถึงแผนการที่เหมาะสมที่สุด แต่ชีวิตมันก็ไม่ง่ายอย่างงั้น”

ที่มา:  สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล
บันทึกภาพ:  สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล
นำเสนอโดย www.starupdate.com หากนำข่าวไปใช้กรุณาอ้างอิงถึง www.starupdate.com ด้วย
แชร์ข่าวนี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง