เปิดตัวตน #พี่เตอร์สินกำ ในมุมที่บางคนอาจไม่เคยรู้

แชร์ข่าวนี้

Q:แนะนำตัวหน่อย

คอปเตอร์: ครับ ชื่อจริงนะครับภานุวัฒน์ นามสกุล เกิดทองทวี นะครับ เป็นลูกคนที่ 3 ของบ้านครับผม มีพี่สาว 2 คนครับห่างจากพี่สาวคนกลาง 6 ปีครับผม พี่คนโตชื่อพี่วิวครับ ศศิประภา เกิดทองทวีครับ ประภิชญา เกิดทองทวีครับ ผมครับ อายุ 27 26 แล้วครับผมส่วนผม 20 พึ่ง 21 ครับผม

Q: ก่อนที่จะมาแสดงเดือนเกี้ยวเดือนเคยผ่านอะไรมาบ้าง

คอปเตอร์: ก็คือสมัยก่อนก่อนที่จะมาแสดงเราชอบร้องเพลงเราอยากเป็นนักร้องก็เคยไปรายการประกวด the star นู่นนี่นั่นแต่ว่าไม่เข้ารอบครับ ตกรอบแล้วก็ได้มีโอกาสถ่าย MV บ้าง โฆษณาบ้างก็วิ่งแคสอะไรแบบนี้เหมือนเด็กวัยรุ่นที่ตามหาฝัน แถวๆ ทาวน์อินทาวน์จะไปบ่อยมาก เพราะแหล่งแคสงานอยู่แถวนั้นแล้วก็จนมีประกาศเรื่องเดือนเกี้ยวเดือนก็มาแคสเพราะว่าคนที่รู้จักกันเป็นครูเค้าก็ชวนมา (มีคนแนะนำ) คือจริงๆ ก็คือครูต้าร์ครับผมเพราะครูต้าร์ทำแคสติ้งเรื่องนี้อยู่ แล้วก็ชวนเรามาแคส แต่ว่าสิ่งที่ผมได้ไม่ได้มาเพราะผมเป็นลูกศิษย์ครูต้าร์เลยก็ไม่เกี่ยวกันแต่ว่าครูต้าร์เค้าก็ชวนมาในฐานะที่เรารู้จักกันแล้วเค้ามีโปรเจคก็เลยลองชวนเรามาแคสดู แต่สุดท้ายผลการตัดสินก็ขึ้นอยู่กับกรรมการอีกหลายๆ คนเช่น พี่โอ๋เอง พี่เจน พี่โบ ครูต้าร์ก็อาจจะเป็นเสียงนึงผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าสุดท้ายแล้วเราก็ได้เป็น 1 ใน 6 คน

Q: เวลาที่ไปในสถานที่ต่างๆ ในปัจจุบันก็มีแฟนคลับที่ตามเราค่อนข้างเยอะเรามีความรู้สึกมั๊ยว่าเราเสียความเป็นตัวเองไป เสียเวลาที่แบบจะแฮงค์เอ้ากับเพื่อน

คอปเตอร์ : คิดว่าไม่เสียเท่าไหร่ แน่นอนว่าเราจะเข้ามาทำงานจุดนี้เราต้องยอมรับได้แล้วคือมันอาจจะเหนือความคาดหมายไปสักนิดว่ามีเยอะกว่าที่คิด แต่ถ้าเราจะทำงานจุดนี้เราจะกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงขึ้นมาในวันนึงเราต้องยอมจุดนี้ให้ได้ว่า ก็ต้องมีคนคอยติดตามไลฟ์สไตล์แล้วก็ชีวิตเราแน่นอนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นอันนี้เราคิดว่ามันไม่เสียเวลาครับ

Q: จากคนที่เป็นวัยรุ่นปกติตื่นเช้ามาไปเรียน แล้วอยู่มาวันนึงมีแฟนคลับตาม มีแฟนคลับรักเราทำนั่นทำนี่ให้เรา เคยนึกภาพตัวเองที่จะมาถึงจุดนี้ไหม

คอปเตอร์: เอาจริงๆ คือไม่เคยเพราะว่า ถ้าเอาความฝันตามวัยเด็กเลยก็คิดว่าแค่ยืนอยู่บนเวที มีคนฟังเราร้องเพลง ตบมือให้เรา กรี๊ดให้เรา แล้วจบงานก็กลับบ้านอะไรอย่างนี้ เราก็ไม่คิดว่าแฟนคลับจะทำโปรเจคน่ารักกับเรา เข้าหาเรา ซื้อของฝากมาให้เราหรือว่าทำตัวน่ารักกับเราอะไรอย่างนี้ครับ คอยตามเราไปในทุกๆ ที่ที่เราไปก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้เหมือนกัน แต่ว่าก็โอเคครับ รู้สึกอบอุ่นดี ชอบ

Q: แล้วคือบุคลิกภายนอก ถ้าตามพี่มองเวลาออกงาน เตอร์จะค่อนข้างร่าเริง เฟรนด์ลี่กับทุกคน เคยมีมุมเศร้าๆ ดาร์กๆบ้างไหม

คอปเตอร์: มุมเศร้าๆ เหรอ ก็มีครับผม ทุกคนมีอยู่แล้วครับผมคงไม่มีใครร่าเริงตลอดเวลา ใช่มันต้องมีอยู่แล้วเพราะว่า เราอยู่ในช่วงวัยเรียน ช่วงวัยรุ่น มีความรัก นู่นนี่นั่นต่างๆ ก็แล้วแต่เราต้องเจอกับหลายอารมณ์หลายรูปแบบอยู่แล้วยิ่งเราแบบว่าต้องเรียนด้วยมีสังคมเพื่อนด้วย มีครอบครัวด้วย แล้วก็มีงานการด้วย ก็ยิ่งต้องรับผิดชอบหลายความรู้สึกมากกว่าคนอื่นเป็นธรรมดาครับผม เพราะฉะนั้นไม่แปลกครับผมที่เราจะมีอารมณ์เครียดบ้าง ดาร์กบ้าง หรือว่าท้อบ้างอะไรอย่างนี้ ไม่แปลกครับ

Q: คาดหวังอะไรกับวงการบันเทิงอีกมั้ยคือตอนนี้เป็นทั้งดารานักแสดง เป็นนักร้อง อนาคตอยากทำอะไรอีก

คอปเตอร์: อนาคตอยากทำอะไร คือเอาจริงๆฝันเริ่มแรกเราอยากเป็นนักร้องเพราะฉะนั้นเราก็คิดว่าในเมื่อเรามีฐานแล้วเรามีชื่อเสียงในระดับนึงไม่ได้ดังมาก แต่ก็มีกลุ่มแฟนคลับที่คอยพร้อมซัพพอร์ตเรา เราก็อยากทำผลงานทางด้านแบบเพลงให้ต่อเนื่องไปเลยคือเราอยากจริงจังเน้นกับทางนี้ไปเลยครับ (สิ่งที่คาดหวัง)คาดหวังที่จะกอบโกยประสบการณ์ให้ได้มากที่สุดในช่วงเวลาที่ทำได้ครับผม เราไม่รู้ว่าอายุงานเราจะกี่ปีเพราเดี๋ยวนี้ดาราใหม่ๆ ขึ้นมาตลอด แบบว่ากระแสใหม่ๆ อะไรดังๆ ก็ขึ้นมาตลอด อย่างปีนี้เราก็เห็นว่าน้องๆ BNK ก็ขึ้นมา เราก็ไม่รู้ว่าอายุงานเราจะไปถึงเมื่อไหร่เพราะงั้นเราก็คาดหวังแค่ว่า สั่งสมประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานในช่วงปี 2 ปีนี้ให้ได้มากที่สุดแล้วก็อนาคตจะไปต่อยอดอะไรก็อีกเรื่องครับ แต่ว่าก็ใช้ฐานตรงนี้แหละไปต่อยอดในอนาคต

Q: การที่มาทำงานตรงนี้มีผลกับการเรียนมั๊ย เกรดตกหรือเปล่าและแบ่งเวลายังไง

คอปเตอร์: ยอมรับครับว่าเหนื่อยกว่าคนอื่นแล้วก็เกรดตกมั๊ย มีบ้างครับเพราะว่าทุกคนรู้อยู่แล้วว่าการเรียนมหาลัยการเข้าคลาสถือว่าเป็นคะแนนด้วย ถือว่ามีผลสำคัญด้วย เพราะฉะนั้นการที่เราเป็นดาราที่มีงาน มีหน้าที่ต้องทำ การขาดเรียนบ่อยก็เป็นเรื่องนึงที่เราต้องเผชิญ แต่ว่าเราต้องหาทางออก เช่น ทำงานส่งครูเพิ่มอะไรอย่างนี้ครับผม เราก็ต้องยอมเหนื่อยกว่าเพื่อนเป็นสองเท่าในการเรียน เอาง่ายๆคือ ทำให้มันดีที่สุด ทำให้มันจบไปในปีที่เราควรจบไม่ใช่ว่าเห็นว่างานเยอะ เอาดรอปเรียนละ ไม่ทำละทำงานอย่างเดียว เอาตรงๆ ถึงเราจะเป็นดาราดังแค่ไหนแต่ในสังคมมองการเรียนสำคัญครับ ปริญญาตรีอย่างต่ำแน่นอน ปริญญาโทนี่คือคนก็จะมองว่าเก่งมาอีกระดับนึงหละ ถ้าจบปริญญาเอกได้ก็คือจะดูเก่งมาก เพอร์เฟคมาก ซึ่งเราก็คิดว่า เรามองภาพอนาคตไว้ว่าเราอยากเรียนให้จบปริญญาโท แต่ว่าเรื่องเรียนต่อเราก็คิดอยู่ว่าจะเรียนต่อยังไงแต่ว่าอยากไปเรียนต่อต่างประเทศครับ อันนี้คือที่วางแผนไว้ (แล้วงานในวงการหล่ะ) คือเราคิดว่าระยะเวลางานเราไม่เกิน… คือถ้ามันเกินจริงๆ ก็คือผลพลอยได้ที่แบบว่าถือว่าโชคดี ถ้ามองตามมุมจริงๆ เราก็คิดว่าไม่เกิน 2-3 ปีซึ่งก็น่าจะเป็นเวลาพอเหมาะพอเจาะกับที่เรา (จริงเหรอ) เดี๋ยวนี้มันเร็วๆ เรามองตามความเป็นจริงเดี๋ยวนี้มันเร็วมากมันไม่เหมือนสมัยก่อนที่ดาราคนนึงจะอยู่เป็นดาวค้างฟ้าครับผม

Q: ถ้าวันนึงไม่ได้ทำงานในวงการ อยากทำอะไรแบบอาชีพในฝัน

คอปเตอร์: ผมอยากจะเปิดร้านคาเฟ่ครับผมกับเป็นสตูดิโอสอนเต้นสอนร้องเพลง คือเราสนิทกับเพื่อนคนนึงที่เค้าเต้นเก่ง เค้าก็อยากเปิดสตูดิโอเหมือนกันแล้วเรารู้สึกว่าเราอยู่กับเค้าตลอด เรารู้สึกว่ามีฝันร่วมกันคุยกันรู้เรื่องมีฝันร่วมกัน แล้วเราเองก็อยากเปิดร้านคาเฟ่แล้วเราก็รู้สึกว่าในเมื่อเรามีความสามารถด้านนี้ด้วยแล้วเราก็สั่งสมประสบการณ์ตอนนี้ที่เราทำได้อยู่ก็เอาต่อยอดแบบมาเปิดสตูดิโอแล้วก็มาทำเป็นคาเฟ่ในสตูดิโอแบบซ้อมเต้น ซ้อมร้องเพลงไปด้วยก็น่าจะดีนะครับ

Q: งานในวงการบันเทิงนอกจากนักแสดงนักร้องอยากทำอะไรอีกมั๊ย

คอปเตอร์: แน่นอนว่าอยากเป็นผู้กำกับด้วย อยากลองกำกับงานอะไรสักอย่าง สักชิ้น อาจจะเป็นหนัง ภาพยนตร์ หรือละครเวที ซึ่งเพราะว่าเราเรียนศิลปกรรม การแสดง มศว. ซึ่งเราเรียนกำกับพวกละครเวทีเราก็รู้สึกเหมือนกันว่าอยากลองกำกับผลงานอะไรสักชิ้นดูครับผม แล้วอีกอย่างนึงที่อยากทำมากๆ ก็คือเล่นตลก เรารู้สึกว่ามันท้าทายดีครับ เราแบบไม่เคยทำมาก่อนแต่เราก็จะแบบตลกจิกกัดอะไรแบบนี้

Q: ถ้าวันนึงสิ่งที่เราหวังไว้ไม่ได้เป็นแบบที่หวังเรามีวิธีจัดการกับตัวเองยังไง

คอปเตอร์: ความฝันของผมเหรอครับ ยากจังเอาจริงๆ ถ้าว่ามันถึงกับความฝันมั้ยมันก็เลยความฝันมาเยอะแล้วแหละ แต่ถ้าถามว่าจะจัดการกับความผิดหวังยังไงอะ ผมลองมองย้อนกลับไปตอนที่ผมประกวดแล้วกันแล้วตกรอบ เราก็เศร้า ก็เสียใจ เราก็ท้อเหมือนกัน ท้ออยู่นานเลยเราก็คิดว่า เออไม่ทำแล้วอะไรอย่างนี้ เราคิดว่ามันเป็นการข้ามผ่านเวลาแล้วก็ถ้าสมมุติว่าใจมันรักในสิ่งที่เราทำจริงๆ ถึงมันจะท้อแค่ไหนแต่เดี๋ยวมันก็วนกลับมาหาเราเอง แค่รู้ตัวก็พอว่าเรากำลังรู้สึกอะไรเป็นอะไรอยู่ แล้วก็พอถึงเวลาจุดนึงที่เรารู้สึกว่าเราพร้อมที่จะกลับมาเริ่มใหม่มันก็จะกลับมาเองไม่ต้องไปคิดอะไรเยอะครับ

Q: กิจกรรมยามว่างปกติทำอะไร

คอปเตอร์: ชอบแต่งเพลงครับ ต่อโมเดลกันดั้ม เลโก้ครับ คือเราชอบสะสม

Q: ของสะสมของเราแฟนคลับส่วนใหญ่จะรู้ว่าเป็นรองเท้า มีอย่างอื่นอีกมั๊ยที่แฟนคลับไม่รู้ว่าชอบอันนี้

คอปเตอร์: ก็คือเลโกสตาร์วอร์ที่แหละครับ คือจริงๆ ผมชอบตั้งแต่เด็กแล้วเลโก้สตาร์วอร์เนี่ย แต่ด้วยความที่ตอนเด็กๆ จะซื้ออะไรมันต้องคิด พ่อแม่ก็ต้องคิดเพราะเราก็แบบไม่ได้มีมากเราก็ต้องพอเพียงอย่างที่ร้านเงินก็ต้องหมุนครับ เพราะฉะนั้นชอบอะไรอยากได้อะไรก็ไม่สามารถที่จะซื้อได้เลย ตอนเด็กๆ ก็เลยไม่ได้มาซื้ออะไรพวกนี้ทุกคนก็น่าจะรู้ว่าเลโก้มันแพง แต่พอโตแล้วเริ่มหาตังค์ได้เอง เริ่มมีรายได้ที่ไม่กระทบพ่อแม่แล้วเราก็เริ่มเอาเงินมาสานฝันวัยเด็กครับผม ก็มาซื้ออะไรพวกนี้ ซึ่งแม่ก็บ่นอยู่แบบว่าแทนที่จะเก็บเงิน แต่เราเก็บเงินนะ คือเราแบ่งเงินว่าส่วนนึงเราเก็บเพื่อให้ต่อยอดในอนาคต อีกส่วนนึงก็เอามาใช้ที่เราอยากใช้แบบสุรุ่นสุ่ร่ายที่เราอยากใช้ ซึ่งมันก็สุรุ่นสุร่ายจริงนั่นแหละ (หมดไปกับอะไรบ้าง เสื่อผ้า เครื่องประดับ) ส่วนใหญ่จะหมดไปกับคอมพิวเตอร์ เกมส์ครับผม แล้วก็รองเท้า เอาจริงๆ ก็คือทุกอย่างครับผม ก็คือหมดไปเยอะพอสมควร

Q: ด้วยความที่เราเป็นลูกชายคนเล็กของบ้าน ลูกชายคนเดียว แล้วตอนเด็กๆ เคยมีประสบการณ์แบบพี่แกล้งแผลงๆ หรือเปล่า

คอปเตอร์: แกล้งแผลงๆ เหรอครับ ผมว่าน่าจะเป็นหลอกผม คือผมหน่ะเด็กมากแล้วคือห่างจากพี่ 6 ปี พี่แบบว่ามัธยมแล้วผมยังประถมอยู่เลย พี่ก็จะหลอกผมแบบว่า รู้มั๊ยว่าจริงๆ พี่เนี่ยเกลียดเรามากเลยนะ โน่นนี่นั่น แล้วบอกกะว่าจะฆ่าตั้งแต่เด็กแล้วแบบชอบแกล้งผม เล่าแบบเป็นตุเป็นตะมากแบบ แบบวันนั้นแกนอนอยู่กะจะเอาหมอนปิดอุดปากแล้ว แต่พออุดปากปุ๊บแกร้องดังมากพ่อเข้ามาอะไรอย่างนี้ หลอกจนผมเชื่อแล้วผมแบบร้องไห้ฟ้องแม่เลย แล้วผมก็แบบงอนพี่ไปเลยสักพักนึงใหญ่ๆ (แล้วเค้าง้อยังไง) เค้าก็ไม่ง้อไงเค้าก็ล้อเล่นๆ อะไรอย่างนี้ ผมก็ต้องหายเองไงตามประสาเด็ก

Q: วีรกรรมสมัยเรียนที่แสบที่สุด

คอปเตอร์: เข้าห้องกิจมั้งครับ คือเวลาเราทำผิดอะไรที่โรงเรียนมัธยมเราก็จะถูกทำโทษไปเข้าห้องกิจการนักเรียนซึ่งเรื่องมีอยู่ว่า ผมว่าน่าจะเล่าได้หละเพราะสังคมปัจจุบันก็น่าจะเข้าใจได้ ก็คืออารมณ์แบบเด็กวัยรุ่นแผลงๆ เช่นแบบว่า คือผมตอนนั้นอยู่ ม.5 แล้วน้อง ม.2 เค้าเป็นแก็งค์แบบว่าเฮ้วๆ เค้าก็ไปรวมตัวกันทำเรื่องไม่ดีก็แบบสูบบุหรี่ แล้วทีนี้เพื่อนกลุ่มผมก็สนิทกับรุ่นน้องกลุ่มนี้แล้วพอเด็กกลุ่มนี้โดนครูจับได้ก็มาโบ้ยที่กลุ่มผมซึ่งตัวผมไม่ได้สูบไง ผมเลยรู้สึกว่าทำไมเราต้องมาเป็นแพะรับบาปให้กับน้องๆ กลุ่มนี้คือผมไม่รู้หรอกว่าเพื่อนผมจะสูบไม่สูบแต่ว่าตอนนั้นผมไม่ได้สูบก็เลยโดนเรียกเข้าห้องกิจ ด้วยความที่เราเจอร์อาจารย์แล้วเราก็ไม่ได้ผิด อาจารย์ก็จับให้ผมทำโทษคือพับกระดาษ พับสมุดอยู่ประมาณ 3 ชั่วโมง ผมก็แบบทำไมผมต้องมาทำอะไรแบบนี้แล้วตอนมัธยมผมแสบมาก บังเอิญผมกับเพื่อนหันไปเห็นบุหรี่กับไฟแชคที่รุ่นน้องโดนยึดแล้ววางทิ้งไว้บนโต๊ะอาจารย์ ผมเลยหยิบบุหรี่กับไฟแชคมาจุด 2-3 มวนแล้ววางไว้ให้กลิ่นมันโชยแล้วผมก็เดินออกจากห้องกิจไปเลย แล้วหลังจากนั้นผมก็โดนคาดโทษ ทันฑ์บน โดนเพ่งเล็ง ด้วยความที่ผมเป็นคนไม่ยอมคนด้วยมั้งครับ หมายถึงว่าเราเป็นคนใจร้อนอะยอมรับตรงๆ เลยว่าค่อนข้างใจร้อน หงุดหงิด แล้วรู้สึกว่าอะไรไม่เป็นธรรมต้องตอบกลับ ผมก็เลยรู้สึกว่าผมได้ตอบกลับไป ด้วยความซ่าของผมเองหละครับ ถ้าย้อนกลับไปได้ผมก็ทำเหมือนเดิม

Q: ถ้าวันนึงให้เลือกพลังวิเศษได้อย่างนึงอยากมีพลังอะไร

คอปเตอร์: อันนี้ยากๆ คิดแปปนึงครับ.. อยากบินได้มั้งครับ (เพราะอะไร) อยากไปเที่ยวเพราะเราขี้เกียจ ไม่เอาจริงๆ คือเรานั่ง BTS ทุกเช้ามาเรียน แล้วคนมันเยอะแต่ทุกวันนี้เราก็ไม่ได้นั่งรถมาเรียนแบบนั้นเรายังใช้ชีวิตเหมือนเดิมสมัยก่อนมาเรียนยังไงเราก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิมไม่เคยมองแบบว่าตัวเองสำคัญอะไรอย่างงี้เราก็รู้สึกว่าเราปกติทุกวัน ถ้าจะไปเรียนก็ต้องเบียดกับคนเยอะๆ เหมือนเดิม แต่ทีนี้บางวันถ้าเบียดคนเยอะมากๆ มันหงุดหงิดไง เราก็เลยอยากบินเลยครับ

Q: สถานที่ท่องเที่ยวที่เคยไปแล้วชอบมากอยากกลับไปอีก

คอปเตอร์: ผมอยากไปอเมริกาครับไปเท็กซัสครับ คือมันเป็นโชคดีของผมครับที่ได้มีโอกาสไปเจอพี่ผู้ใหญ่คนนึงจากแดนไกลครับจากการที่ผมมีชื่อเสียงขึ้นมาแล้วเค้าก็แบบไปเรียนต่อไปเป็นโฮสครับ แล้วเค้าก็อยากให้ผมไป ผมก็ไปถือโอกาสว่าได้ไปเที่ยวด้วยครับ จริงๆ คนแปลกหน้ากันไม่น่าจะไว้ใจกันได้นะครับแต่ด้วยสัญชาติญาณอะไรไม่รู้ทำให้ผมไป พอไปเจอครอบครัวเค้าเค้าน่ารักกับผมมากเลยครับ เราก็รู้สึกว่าเค้าเป็นแม่อีกคนนึงเลยครับผม ก็เลยรู้สึกว่าถ้าอยากไปอีกก็อยากไปที่อเมริกาที่เท็กซัสครับ

Q: สเปคสาวในฝัน ที่เห็นแล้วใช่เลย

คอปเตอร์: เอาจริงๆ ถ้าเป็นผู้ชายไทยจะชอบ ขาวๆ หมวยๆ ตัวเล็กๆ อะไรอย่างงี้ใช่ไหมครับ แต่ว่าคือผมหน่ะ จะชอบแบบคมๆ หน่อย ผิวแทนๆ ผิวแบบว่าไม่ได้ออกสาว สีน้ำผึ้งอะไรแบบนี้ ตาหวานๆ ตาโตๆ แล้วก็หน้าคมๆ ออกแนวฝรั่งๆ นิดนึง อย่างนี้ครับผมผมจะชอบอันนี้คือภายนอกอย่างเดียวนะไม่รวมถึงภายในคือภายในต้องมาคุยกันอีกทีว่ามันคลิกกันรึป่าว

(ชอบแบบไหน) ยากจัง คือผมว่าทุกคนอะมันมีทั้งมุมดีและมุมข้อเสียของตัวเองอยู่ที่ว่าเราเรียนรู้ได้มั๊ยกับเค้าครับผม เพราะว่าแต่ละคนก็มีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป

Q: เคยจีบสาวแบบแปลกๆ มั๊ย แบบใช้วิธีแปลกๆ

คอปเตอร์: ช่วงชีวิตของผมที่ผ่านมาจากการที่ผมมีคนคุย มีแฟน ช่วงปั๊ปปี้เลิฟ มันก็เกิดขึ้นมาจากการรู้จักกันมาก่อน คือผมไม่เคยคิดว่าผมเห็นคนนี้แล้วชอบอะต้องเข้าไปจีบเค้า เค้าต้องเป็นแฟนเรา ผมไม่เคยเจอโมเม้นท์แบบนี้ในชีวิตผม โมเม้นท์ของผมหรือว่าแฟนคนก่อนๆ ส่วนใหญ่ที่ได้เจอกันมาก็คือ เราได้รู้จักกันหรือมีโอกาสที่ทำให้เราได้รู้จักกัน เช่น มีงานร่วมกันหรือกิจกรรมร่วมกัน ทำให้ต้องคุยกันอะไรอย่างนี้ แล้วมันก็เกิดจากการคุยกับแบบเพื่อน แล้วก็คุยเป็นเพื่อนไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าเราเริ่มคลิกอะไรบางอย่างเราก็เลยแบบว่ามาลองคบกันดูครับผม แต่พอคบไปสักพักมันก็ไม่รอดครับ ของผมนะส่วนใหญ่เกิดจากการเรียนรู้วิธีจีบสาวแปลกๆ น่าจะยังไม่มีครับผม

Q: เคยวาดฝันภายในอนาคตไหมว่า ถ้าวันนึงคอปเตอร์มีครอบครัว แล้วต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวครอบครัวจะเป็นยังไง

คอปเตอร์: ผมว่าถ้าผมเป็นพ่อคน ผมคงเป็นพ่อที่สติ๊กกับลูกพอสมควร เพราะว่าผมโตมากับแม่ที่สติ๊กกับเราพอสมควรเหมือนกัน คือพ่อผมเค้าก็มีงาน แบบทำงานหาตังค์อะครับ แล้วแม่ผมเค้าจะเป็นแม่บ้าน แม่ศรีเรือนคือคอยจัดการลูกๆ แล้วก็คอยดูบัญชีให้ครอบครัวครับ ซึ่งพอผมเป็นลูกชายคนเล็ก ห่างจากพี่สาว 6 ปีแล้วพี่สาวโตแล้ว แม่ก็จะมองว่าพี่สาวเริ่มดูแลตัวเองได้แล้วแต่เราเป็นเด็ก และด้วยความที่มันห่างกันมากแม่ก็จะมองว่าเราเป็นเด็กตลอดเวลา คือตอนนี้ผม 21 แล้วแต่แม่ก็ยังมองว่าเป็นเด็กตลอดเวลาอยู่เหมือนกัน เราก็รู้สึกว่าเราได้ซึมซับความสนิทของแม่แบบว่าความเป็นห่วงเอาใจใส่ของแม่มากๆ มาอยู่ในตัวเราตลอดซึ่งเราสังเกตได้จากเพื่อนก็ได้ครับผม คือผมจะรู้สึกว่าผมเป็นห่วงเพื่อนมากๆ ครับเหมือนกับว่า สติ๊กกับการกระทำของคนใกล้ตัวอะครับ แล้วก็เป็นห่วงเค้าตลอดเวลาคือเราว่าเราได้นิสัยนี้มาจากแม่เหมือนกัน คือมาจากการเลี้ยงดู ผมว่าถ้าเราได้เป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องมาเลี้ยงลูก หรือว่าต้องมีภรรยา ผมว่าผมคงเป็นคนนึงที่สติ๊กมากๆ พอสมควร

Q: พูดถึงมีตอินโดหน่อย เป็นมีตสุดท้ายใช่ไหม?

คอปเตอร์: เป็นมีตสุดท้ายที่เราไปในฐานะ 6Moons ครับแต่เราก็เห็นแล้วหละว่าแฟนคลับหลายๆ คนก็เสียใจที่เป็นมีตสุดท้ายของ 6Moons แล้วเปลี่ยนมาเป็น SBFIVE แต่อย่างที่ผมบอกทุกคนเสมอว่า แต่ละคนมีหนทางของตัวเองครับ อนาคตจะเป็นยังไงทุกคนมันเลือกไม่ได้ครับ ก็คงต้องยอมรับอะครับว่าต่อไปอาจจะหาโอกาสยากแล้วที่จะมาเป็น 6 คนเหมือนเดิมแต่ถ้าถามว่าความสัมพันธ์ของเด็กยังเหมือนเดิมอยู่ไหม แน่นอนยังเหมือนเดิมเพราะว่าทุกคนผูกพันกันมา มันไม่ได้มีคำว่างานมากั้นความสัมพันธ์ของเด็กที่ทำงานด้วยกันครับ ก็ขอให้ซัพพอร์ตพวกเราทุกคนนะครับ

Q: ฝากผลงานหน่อย

คอปเตอร์: ตอนนี้มี single Whenever ของ SBFIVE ก็ฝากด้วยครับ MV ออกแล้ว โปรเจค SBFIVE กับ Loveis ของพี่บอยก็ยาวๆ ทั้งปีอาจจะมีผลงานเพลงให้ได้ฟังทั้งปี แล้วก็ละคร Way back home ที่กำลังจะฉาย 31 มีนาคมนี้ ก็รอดูกันได้เลยครับ แล้วก็แอบบอกคร่าวๆ ว่ากำลังมีโปรเจคกับพี่คิมก็คือเป็นซีรีส์เรื่องใหม่แต่ว่ารายละเอียดยังไม่สรุปแน่ชัด ก็คือรอให้ทางผู้ใหญ่คอนเฟิร์มครับ(เป็นแนวไหน) เอาเป็นว่าเป็นแนวที่เอาใจแฟนคลับพวกเราครับผม แล้วก็อาจจะมีซีรีส์มาอีกเรื่อยๆ ในปีนี้ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะครับ แล้วก็มีงานมีต BKC ครับบัตรยังเหลืออยู่ ถ้าใครยังไม่ได้ซื้อยังไม่ได้จองก็ยังจองกันได้ครับ หรือถ้ากลัวไปคนเดียวไม่มีเพื่อนไม่ต้องกลัวครับยังไงก็มีเพื่อนที่นู่นอยู่ดีเดี๋ยวก็คุยกันถูกคอเองไม่ต้องห่วงครับผม

 

ที่มา:  STARUPDATE.COM
บันทึกภาพ:  STARUPDATE.COM
นำเสนอโดย www.starupdate.com หากนำข่าวไปใช้กรุณาอ้างอิงถึง www.starupdate.com ด้วย
แชร์ข่าวนี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง