นิทานฝรั่งอันเลื่องชื่อเรื่องของเจ้าหญิงซินเดอเรลล่าที่ลืมรองเท้าแก้วไว้ในงานเลี้ยงให้เจ้าชายที่หลงรักได้ออกตามหา กลายเป็นเรื่องราวที่นำมาเปรียบเทียบว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับศิลปินนักร้องดีว่าเสียงฟ้าประทานที่กลายเป็นตำนานที่ยังมีชีวิตของโลก “มารายห์ แครี่” (Mariah Carey) ศิลปินหญิงชาวอเมริกัน นักแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์ เพราะเรื่องราวเส้นทางต้นกำเนิดของนักร้องเสียงทรงพลัง นอกจากจะเกิดขึ้นเพราะความพยายามในการตามล่าฝันที่จะเป็นนักร้องของตัวเองแล้ว ยังมีเหตุการณ์ประทับใจเป็นเรื่องเล่าขานกันไม่รู้จบในวงการดนตรี เมื่อคืนหนึ่งในงานดินเนอร์หรู เทปเดโมเพลงของนักร้องประสานเสียงโนเนมที่ไม่มีใครรู้จัก ถูกยื่นให้กับบอสใหญ่ค่ายเพลงยักษ์ระดับโลกที่ทุกคนฝันอยากเข้าไปเป็นนักร้องในสังกัด และในระหว่างทางกลับบ้านผู้บริหารคนนั้นได้เปิดฟังเพียงแค่ 2 เพลง ถึงกับทึ่งและตัดสินใจให้คนขับรถเลี้ยวรถกลับไปที่งานทันที! เพื่อตามหาหญิงสาวเจ้าของเสียงและเทปเดโมนั้น แต่เธอกลับบ้านไปเสียแล้ว…
นี่เป็นจุดเริ่มต้นครั้งยิ่งใหญ่ของ “มารายห์ แครี่” ควีน ออฟ อาร์ แอนด์ บี (Queen Of R&B) เจ้าของเสียงที่ไม่ได้เพราะที่สุด แต่ทักษะและเทคนิคการร้องถูกยกย่องว่าเป็นพรสวรรค์ที่พระเจ้าประทานมาให้ จนนักเชี่ยวชาญด้านการร้องเพลงบอกว่าในรอบ 100 ปี ไม่รู้จะเจอใครที่มีเสียงแบบนี้ได้หรือไม่ และเธอกำลังจะกลับมาเมืองไทยตามคำเรียกร้องอีกครั้ง เพื่อเปิดคอนเสิร์ต “มารายห์ แครี่ ไลฟ์ อิน คอนเสิร์ต แบงค็อก 2018” (Mariah Carey Live in Concert, Bangkok 2018) จัดโดย บริษัท เทดดี้ ไทม์ จำกัด ผู้นำเข้าคอนเสิร์ตระดับโลก ในวันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2561 ณ ฮอลล์ 106 ไบเทค บางนา เรามาดูเส้นทางชีวิตของสุดยอดนักร้องสาวเสียงดีผู้ที่คนทั้งโลกต้องยอมยกตำแหน่งราชินีเพลง อาร์ แอนด์ บี ให้กับเธอ ก่อนต้อนรับเธอสู่ประเทศไทยอีกครั้ง
“มารายห์ แครี่” (Mariah Carey) เกิดเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 1970 ที่เมืองแฮนดิงตัน รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เธอเป็นลูกสาวคนเล็กของบ้าน ด้วยแม่ของเธอเป็นนักร้องโอเปร่าและเป็นนักฝึกสอนการร้องเพลงไอริชเชื้อสายอเมริกัน จึงทำให้เธอ มีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มต้นฝึกร้องเพลงตั้งแต่อายุ 3 ขวบ หลังพ่อแม่เธอแยกทางกัน ซึ่งแม่ของ มารายห์ ได้พาไปชมละครโอเปร่าบ่อยๆ จนทำให้เธอซึมซับการร้องเพลงไปในตัว กระทั่งเริ่มเข้าสู่วัยประถมความสามารถทั้งด้านการร้องและการแต่งเพลงก็เพิ่มมากขึ้น เธอเริ่มหัดแต่งเพลงและทำเพลงมาตั้งแต่อายุ 16 ปี สมัยเรียนไฮสกูล และได้เริ่มทำเพลงของตัวเองกับเพื่อนๆ จนมาในปี 1988 “มารายห์ แครี่” ในวัย 18 ปี ตัดสินใจย้ายออกจากบ้านมาแชร์ห้องเล็กๆ อยู่ในแมนฮัตตันร่วมกับรูมเมทคนอื่นๆ ตอนนั้นเธอรับจ๊อบหารายได้ด้วยการเป็นพนักงานเสิร์ฟ แต่ในขณะเดียวกัน “มารายห์ แครี่” ก็ไม่ยอมทิ้งความฝันการเป็นศิลปินเพลงด้วยการพยายามนำเทปเดโมเพลงที่เธอแต่งเองกับเพื่อนๆ ไปเสนอกับค่ายต่างๆ แต่ก็ถูกปฏิเสธมาโดยตลอด
จนกระทั่งเธอได้มีโอกาสเป็นนักร้องเสียงประสาน หรือนักร้องแบ็คอัพให้กับ เบรนด้า เค. สตาร์ (Brenda K. Starr) นักร้องชื่อดังดาวรุ่งชาวอเมริกันในสมัยนั้นและในปี 1988 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อ เบรนด้า เค. สตาร์ ซึ่งพยายามสนับสนุน “มารายห์ แครี่” มาโดยตลอด เพราะมั่นใจในน้ำเสียงและพรสวรรค์ของเธอว่าสามารถก้าวมาเป็นนักร้องอาชีพที่โด่งดังได้ จึงชวน “มารายห์ แครี่” ไปร่วมงานเลี้ยงผู้บริหารโคลัมเบียเรคคอร์ดด้วย เพราะหวังว่าจะเป็นโอกาสสำคัญให้นำเทปเดโมไปเสนอผู้บริหารค่าย และฝันก็เป็นจริง เมื่อเธอได้พบกับผู้บริหารใหญ่ ทอมมี่ มอตโตล่า ที่สนใจและรับเทปเดโมไปฟัง ซึ่ง ทอมมี่ ได้ลองเปิดเทปนี้ฟังดูบนรถลีมูซีนในระหว่างทางกลับบ้าน ปรากฏว่าเขาฟังเพลงที่ มารายห์ แต่งและร้องเองเพียงแค่ 2 เพลง จากทั้งหมด 4 เพลง ถึงกับอึ้งและทึ่งจนต้องสั่งให้คนขับรถเลี้ยวรถกลับไปที่งานทันที แต่ช้าไป มารายห์ กลับบ้านไปแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะ 2 อาทิตย์ถัดมา ทอมมี่ ได้ติดต่อไปยังผู้จัดการของ เบรนด้า เพื่อติดต่อ มารายห์ ให้เขามา เซ็นสัญญาที่ค่ายและทำอัลบั้มแรก กลายเป็นเรื่องเล่าขานถึงตำนานซินเดอเรลล่าวงการดนตรีระดับโลก
อย่างไรก็ตาม “มารายห์ แครี่” (Mariah Carey) คือศิลปินตัวจริงที่ได้เข้ามาสร้างปรากฏการณ์ให้วงการเพลงระดับโลกได้สั่นสะเทือนจนกลายเป็นตำนานมาถึงทุกวันนี้ เธอเริ่มต้นอาชีพการเป็นนักร้องอย่างจริงจังเมื่อปี 1990 กับอัลบั้มชุดแรกที่มี ชื่อเดียวกับชื่อเธอเอง แค่อัลบั้มแรกก็ดังเปรี้ยงยิ่งกว่าพลุแตก ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นเป็นปรากฏการณ์และสร้างสถิติหลายอย่าง เธอเป็นศิลปินหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่มี 4 ซิงเกิลจากอัลบั้มแรกติดอันดับ 1 หมดทุกเพลง ได้แก่ “Vision of Love”, “Love Takes Time”, “I Don’t Wanna Cry” และ “Someday” อีกทั้งยังชนะรางวัลแกรมมี่ 2 รางวัลคือ Best New Artist และ Best Female Pop Vocal Performance จากเพลง “Vision of Love” ทั้งหมดนี้ส่งผลให้อัลบั้มครองอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดนานถึง 11 สัปดาห์ และเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในสหรัฐอเมริกาปีนั้น และก่อนออกอัลบั้มที่ 3 เธอได้แต่งงานกับ ทอมมี่ มอตโตล่า ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นประธานบริษัท Sony Music Entertainment ในขณะนั้น และเป็นผู้ที่ให้โอกาสเธอได้เดินเข้ามาในเส้นทางสายดนตรีอาชีพอย่างจริงจัง
นอกจากนี้นักร้องสาวเสียงทรงพลัง “มารายห์ แครี่” ยังได้เป็นดาวดวงที่ 2,556 ที่ได้รับเกียรติให้ประทับชื่อลงบน Hollywood Walk of Fame หรือถนนแห่งดวงดาวด้วย และนอกเหนือจากอาชีพด้านดนตรีเธอยังมีส่วนร่วมในการระดมทุนสำหรับ The Fresh Air Fund ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ไม่แสวงผลกำไรที่พาเด็กด้อยโอกาสไปเที่ยวฟรีในวันหยุดซัมเมอร์ และเธอยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์กร Camp Mariah
จนถึงตอนนี้ “มารายห์ แครี่” ประสบความสำเร็จในเส้นทางสายดนตรีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เธอเป็นหนึ่งในศิลปินที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล ด้วยยอดขายมากกว่า 200 ล้านก๊อปปี้ มีเพลงติดอันดับที่ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ดชาร์ทมาแล้ว 18 เพลง เป็นที่ 2 รองจากวงเดอะบีตเทิลส์เท่านั้น และคว้ารางวัลแกรมมี่มาแล้ว 5 ครั้ง นอกจากนั้นเธอเป็นที่รู้จักในฐานะศิลปินที่โดดเด่นใช้เทคนิคการร้องแบบ เมลิสม่า หรือการร้องเพลงให้หลายๆ ตัวโน้ตในหนึ่งคำ รวมถึง whistle register หรือการหวีดร้องอีกด้วย
มาร่วมสัมผัสซูเปอร์สตาร์ระดับโลก ตำนานในวงการดนตรีของโลกที่ยังมีชีวิต ในคอนเสิร์ต “มารายห์ แครี่ ไลฟ์ อิน คอนเสิร์ต แบงค็อก 2018” (Mariah Carey Live in Concert, Bangkok 2018) จัดโดย บริษัท เทดดี้ ไทม์ จำกัด ผู้นำเข้าคอนเสิร์ตระดับโลก ในวันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2561 ณ ฮอลล์ 106 ไบเทค บางนา
หาซื้อบัตรได้แล้ววันนี้ ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา ติดตามรายละเอียดได้ที่ https://www.facebook.com/teddytime.th, Instagram : @teddytime.th, Twitter: @teddytimeth
บันทึกภาพ: โพลีพลัส พีอาร์