สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ร่วมกับ บาแรมยู และ เลเซอร์แคท ขอเชิญทุกคนไปสนุกกับแพ็คเกจรักวัดใจ ในหนังรั่วกันมันส์รักกันมาก ผลงานการเขียนบทและกำกับภาพยนตร์ครั้งแรกในชีวิต ของ แดน วรเวช ดานุวงศ์
มีอะไรในคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์
บางทีอาจจะเป็นเพราะสนามแม่เหล็กของพรหมลิขิต ที่ดึงเรามาเจอกันผิดเวลา
บางทีอาจจะเป็นเพราะเราต้องรอถามตัวเองว่าเขาใช่หรือไม่
บางทีอาจจะเป็นเพราะเราต้องการหาคนที่จะมี “จังหวะ” ตรงกับหัวใจ
บางทีอาจจะเป็นมนต์เสน่ห์ใน…“คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์”
ชวด ( รับบทโดย แดน วรเวช ดานุวงศ์ ) หนุ่มครีเอทีฟ-โปรดิวเซอร์ประจำรายการ เรียลลิตี้ 24ชั่วโมง ตามติดชีวิตซุป’ตาร์ “หมาแพนดี้” รายการทีวีที่หวังว่าจะมาสร้างปรากฏการณ์ใหม่ชนิดรายการหมีแพนด้าต้องชิดซ้าย ชวดตกหลุมรัก ต้นหลิว (รับบทโดยนุช นีรนาท วิคทอเรีย โคทส์) พิธีกรสาวสวยทรงเสน่ห์จากรายการ “ที่ซ่อนผี” ที่ดึงดูดให้หนุ่มๆทั้งประเทศต้องหยุดที่หน้าจอจนรายการเรตติ้งกระฉูด เขาหลงต้นหลิวอย่างหัวปักหัวปำ จนตัดสินใจแล้วว่าชีวิตนี้ขอลองดีสักหน่อยเลยตั้งใจจะจีบต้นหลิวอย่างจริงจัง แต่คนที่แค่เห็นหน้าสาวก็ขาสั่นอย่างชวดครั้งนี้ดูจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือจาก เพ็ญ (รับบทโดย แพทตี้ อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา) สาวพีอาร์สวยใสหัวใจโชเชียล
เพื่อนสนิทซี้ย่ำปึ๊กของต้นหลิว ที่ชวดบังเอิญเจอและตัดสินใจว่านี่แหละคนที่จะมาช่วยเขาตัดถนนสร้างทางด่วนตรงสู่หัวใจ
ต้นหลิว เพ็ญยอมช่วยเหลือชวดด้วยความจำยอมเพราะโดนตื้อไม่หยุด ทางด้านเพ็ญเองก็มีแฟนแล้วคือ ปกป้อง (รับบทโดย บีม กวี ตันจรารักษ์ ) คุณหมอหนุ่มสุดเพอร์เฟ็คทั้งหล่อทั้งรวย ที่ดูแลเพ็ญเป็นอย่างดีสมชื่อปกป้อง จนเหมือน “พ่อ” ซะมากกว่าแฟน คอยคุมทุกอย่างในชีวิตเพ็ญให้เป๊ะๆ จนบางครั้งเพ็ญก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกทำให้พวกเขามาพัวพันกัน ที่นำไปสู่การค้นพบคำตอบของ “ความรัก” ผ่านบทพิสูจน์ของหัวใจที่จะเกิดขึ้น ภายใน 3 วัน 2คืน ช่วงเวลาต้องมนต์สั้นๆ ที่เรียกว่า “คืนวันเสาร์…ถึงเช้าวันจันทร์”
“ก่อนจะเป็นคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์”
ความฝันครั้งใหม่ของแดน วรเวช ดานุวงศ์
หากเอ่ยถึงชื่อ “แดน วรเวช ดานุวงศ์” แล้วล่ะก็คนส่วนใหญ่คงจะตอบว่าเขาคือ นักร้อง- นักแสดง ที่ประสบความสำเร็จ แต่แดนยังไม่หยุดตัวเองไว้แค่นั้น เขายังทำตามความฝันที่ไม่มีที่สิ้นสุดของเขาต่อไปด้วยการพาตัวเองไปทดลองทำสิ่งใหม่ๆตลอดเวลา จนได้โชว์ความสามารถในหลายๆด้านให้คนได้ยอมรับว่าเขาคนนี้มี “ของ”เยอะ และการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ครั้งนี้ก็เป็นความฝันล่าสุดที่เขาตั้งใจจะทำมันให้เป็นจริง
“ความฝันครั้งนี้ ใช้เวลาบ่มเพาะอยู่นานเลยครับ กว่าผมจะสามารถมายืนในจุดนี้ได้ ความคิดในการอยากมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ของผม เริ่มต้นเมื่อ 3-4 ปีก่อน มันก็เกิดจากการที่เราดูหนังเรื่องโน้นเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าทำไมมันไม่ได้ดั่งใจเราเลยนะ เราก็มาคิดว่าอย่างนั้นก็ทำเองซะเลยสิ แต่จะให้เริ่มทำเลยผมก็ยังไม่มีประสบการณ์มากพอ จึงต้องไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์กันก่อนจากการกำกับมิวสิควีดีโอ ,กำกับหนังสั้น จนผมรู้สึกว่าพร้อมแล้วจึงเริ่มที่จะลงมือทำ ผมอยากทำหนังที่พูดถึงรูปแบบความสัมพันธ์ของคนสมัยใหม่ที่อาจจะตั้งคำถามทิ้งไว้ในใจให้ใครหลายคน เป็นความสัมพันธ์ที่หลายคนอาจจะเคยเจอ เรื่องของการตกหลุมรักใครสักคน ความรักที่ต้องเลือกระหว่างคนที่เรารู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ใช่สำหรับเรา กับคนที่เราสบายใจเมื่อยามอยู่ใกล้ๆ หรือการที่เราอยากจะปฏิเสธใครบางคนแต่ก็ยากที่จะห้ามใจเพราะว่าสิ่งที่เขาทำให้เรามันทำให้เรายิ้มได้ บอกเล่าเรื่องผ่านช่วงเวลาปาฏิหาริย์ ที่จะสะกิดให้เราได้คิดว่าเราจะตกหลุมรักใครสักคนได้ไหมในในช่วงเวลาแค่ข้ามคืน ภาพยนตร์เรื่องนี้แหละครับที่ผมตั้งใจทำออกมาโดยหวังว่าทุกคนที่เดินออกจากโรงภาพยนตร์จะมีรอยยิ้มบนใบหน้ามีความสุขไปกับมันและสามารถเติมพลังชีวิตให้กับคุณได้บ้างไม่มากก็น้อย”
การออกตามหาคนที่จะมา “เชื่อใจ”
จุดเริ่มต้นของการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ แน่นอนว่าเส้นทางก็ย่อมแตกต่างกันไป แต่สำหรับ แดน วรเวช นักร้องนักแสดงชื่อดังขวัญใจวัยรุ่นคนนี้ หลายคนอาจจะมองว่าต้องได้มาง่ายๆเพราะมีมีชื่อเสียงอยู่เป็นทุนเดิมแต่ความจริงแล้วกว่าเขาจะมาถึงจุดนี้มันไม่ง่ายเลย
“จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้เป็นคนโชคดีเลยนะครับออกจะดวงกุดมากกว่า แต่ทุกครั้งที่เริ่มต้นฝันที่จะทำอะไรบางอย่าง ผมไม่เคยนั่งนิ่งในเมื่อโอกาสไม่มาหาผม ผมก็เลยวิ่งเข้าหาโอกาสซะเอง การเป็น “แดน” บางคนอาจจะบอกว่ามันง่าย ที่จะทำอะไรก็ทำได้ จริงๆมันไม่ใช่เลย มันเป็นดาบสองคมมาก การเป็นแดนมันทำให้ทุกคนคิดว่า เราคงทำได้แค่ร้องเพลงไป เราต้องพิสูจน์หนักกว่าคนอื่นหลายๆเท่า เช่นถ้าเป็นคนอื่นไปเสนองาน เขาอาจจะคิดว่าโอเคล่ะ แต่อย่างเราเนี่ยเขาจะเหมือนว่ามีกำแพงอะไรบางอย่างอยู่ก่อนว่า เอ้ย ! มันจะทำได้จริงเหรอ ผมก็เลยต้องสู้กับมันหนักหน่อย ให้เขารู้ครับว่าทำได้จริงๆครับ”
หลังจากที่แดนทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆพร้อมลุยแล้วก็ถึงเวลาที่เขาจะเริ่มต้นความฝันครั้งใหม่ของเขา โดยเขาเลือกที่จะนำบทร่างแรกไปเสนอคนที่เขาคิดว่าจะเป็นคนที่เชื่อใจว่าเขา “ทำได้” ซึ่งความคิดของเขานั้นก็ไปโดนใจ ปรัชญา ปิ่นแก้ว โปรดิวเซอร์-ผู้กำกับร้อยล้าน จนยอมทุ่มสุดตัวเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ และยังยกนิ้ว
การันตีถึงความสามารถในอีกมุมที่หลายคนอาจจะยังไม่ได้สัมผัสและพร้อมผลักดันผู้กำกับหน้าใหม่คนนี้ไว้ว่า
“ผมรู้จักแดนมานานแล้วครับ ผมเห็นเขาเป็นคนที่เป็นคนทำงานเอง คิดเอง เป็นคนมีไอเดียเยอะ พอได้คุยกัน
ก็ได้รู้ว่าเขามีมากกว่าที่เราคิดอีก โดยเฉพาะเรื่องภาพยนตร์ เขาเป็นคนที่ดูหนังเยอะ เข้าใจหนัง แล้วก็มองหนังวิเคราะห์หนังออกแล้วแดนเขามีไอเดียที่อยากจะทำหนัง ผมก็ยินดีที่จะช่วยเหลือ เขาให้ไอเดียหนังรักที่เขาอยากจะทำขึ้นมาผมก็ชอบตั้งแต่ชื่อเรื่องแล้ว พอเขาเขียนบทมา ผมอ่านบทแล้วก็ตกใจว่าทำไมเขาเขียนได้ขนาดนี้ แดนเขียนคนเดียวด้วย ตรงนี้ผมยอมรับว่าเซอร์ไพรส์มากครับกับการเขียนบทของเขา ผมจึงติดต่อกับทางสหมงคลฟิล์ม นัดให้แดนเขาเข้ามาคุยบทกับ เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ซึ่งพอเสี่ยได้คุยก็ถูกใจชื่อมากย้ำเลยว่าห้ามเปลี่ยนและให้ไฟเขียวทำหนังเลย ซึ่งผมเชื่อว่าถ้าเขามาทำหนังเขาจะสร้างอะไรใหม่ๆให้กับวงการแน่นอนแต่อย่างไรก็ตามยังไงก็ต้องมาดูหนังพิสูจน์กันให้เห็นครับว่าฝีมือของเขานั้นเป็นอย่างไร”
กว่าจะเจอสิ่งที่ใช่ บางทีก็ต้องใช้เวลา
สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้ภาพยนตร์ โรแมนติค คอเมดี้ เรื่องหนึ่งนั้นมีความแปลกใหม่ มีความน่าติดตามนั้นก็คือเรื่องบท เรื่องราวของความรักนั้นเป็นเรื่องที่คนเข้าถึงง่ายแต่จะทำให้ประทับใจนั้นยากบทของเรื่องนี้ก็เช่นกันกว่าจะมาเป็นรูปร่างที่สมบูรณ์ได้ แดน ต้องใช้เวลาในการขัดเกลาซ้ำแล้วซ้ำเล่านับสิบครั้งกว่าจะลงตัวได้ก็ใช้เวลากว่า 2 ปีเลยทีเดียว
“จุดเริ่มต้นหนังเรื่องนี้มันเกิดจาก ผมสนใจกับคำว่า “คืนวันเสาร์ ถึงเช้าวันจันทร์”ครับ ผมชอบชื่อเรื่องครับ ซึ่งผมได้มาจาก พี่เอโกะ (สุภาพร เลิศฐิติวีรกานต์ –ไลน์โปรดิวเซอร์ ผู้ประสานงานสร้าง ของภาพยนตร์เรื่องนี้)
เป็นคนบอกชื่อนี้มา เขามีแค่ชื่อเรื่องให้ผม แต่ผมติดใจเลยว่าชื่อเรื่องนี้น่าทำหนังนะ มันน่าจะดูมีอะไรในคำนั้น ผมนึกถึงช่วงเวลาอะไรบางอย่างที่เป็น ”ช่วงเวลาปาฏิหาริย์” ช่วงเวลาของความพิเศษครับ เพราะฉะนั้นในหนังผมก็จะสร้างหนังให้มันเป็นอะไรที่มันเหมือนการทัวร์ที่น่าจดจำ จนไปเล่าต่อให้คนอื่นฟังได้ไม่มีเบื่อ จากประเด็นนี้ก็คิดได้ไอเดียอีกหลายข้อ ข้อแรกว่าสังคมยุคนี้ว่าความรักที่จริงจังมันได้หายไปมาก สมัยนี้คนเรามีกิ๊กกันเยอะ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นไป
เพราะเรายังไม่เจอคนที่ใช่พอรึเปล่า หรือเราแพ้ความใกล้ชิดเวลาอยู่กับอีกคน สอง ผมอยากพูดถึงกรอบ ตัวตนของคนเราน่ะครับ เราจะเสนอข้อเท็จจริงของคนเรา เวลาที่เราอยู่กับคนที่เรารู้สึกชอบ ถ้าเราชอบเขาเมื่อไหร่เราจะไม่มีทางเอาตัวตนของเราเผยออกมา เรามักจะไปเปิดเผยกับคนที่เราไม่ได้สนใจเขามากกว่า และสามประเด็นที่ว่าคนเราจะตกหลุมรักได้ไหมในช่วงเวลาเพียงข้ามคืน”
ใครเป็นใครใน “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์”
ชวด
ครีเอทีฟรายการทีวี มีความคิดสร้างสรรค์อย่างแปลกๆไม่เหมือนใคร คิดเร็วทำเร็วจนบางครั้งดูเป็นคนประหลาด แต่จริงๆเป็นหนุ่มจิตใจดี มีสไตล์การใช้ชีวิตในแบบตนเอง แต่ค่อนข้างขี้อายไม่กล้าจีบต้นหลิวผู้หญิงที่ตัวเองแอบชอบ เพราะทุกครั้งที่เขาเผยความเป็นตัวเองออกไปผู้หญิงคนไหนต้องหนี ชวดจึงขอคำแนะนำจากเพ็ญเพื่อนสนิทของต้นหลิว จนเป็นที่มาของเรื่องราวยุ่งเหยิงอีรุงตุงฮา
รับบทโดย แดน วรเวช ดานุวงศ์
ความฝันแรกของแดนเริ่มต้นที่การอยากเป็น “นักฟุตบอลมืออาชีพ”แต่แล้วเส้นทางชีวิตก็เปลี่ยนผันมาสู่การร้องเพลง นอกจากเบื้องหน้าแล้วก็ยังทำงานเบื้องหลังในฐานะโปรดิวเซอร์,นักเขียน, นักแต่งเพลง,ไปจนถึงครีเอทีฟ,
มิวสิคไดเร็คเตอร์และโชว์ไดเร็คเตอร์ในงานคอนเสิร์ต , เขียนบทและเป็นถึงผู้จัดละครโทรทัศน์,ผู้กำกับมิวสิควิดีโอ
และผู้กำกับภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์อย่าง“บันทึกกรรม”แดนเริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงจากการประกวดร้องเพลงในโครงการ
“พานาโซนิค สตาร์ ชาเลนจ์” ในปี พ.ศ. 2543 ได้ตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับ 2 ในการแข่งขันระดับประเทศ
(ที่ 3 ของประเทศ) ได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินในสังกัด อาร์เอส โปรโมชั่น มาเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกวง D2B (ดีทูบี)
ออกอัลบัมแรกปีพ.ศ.2544และประสบความสำเร็จอย่างมาก
แดน เคยมีผลงานทางด้านภาพยนตร์ ทั้งหมด 7 เรื่องได้แก่ “สังหรณ์” (2546), “แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า” “ห้าแพร่ง” (ตอน “ห้องเตียงรวม”) ,”32 ธันวา” (2552), “ส.ค.ส. สวีทตี้ ” (2554) ,”The Melody รักทำนองนี้ (2555) ,
“วาเลนไทน์ สวีทตี้ ” (2555) และยังเคยทำงานพากย์ภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่อง Green Lantern พากย์เป็น ฮัล จอร์แดน ในเสียงไทย ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานานนับ 10 ปีในเส้นทางบันเทิงทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังทำให้เขามั่นใจแล้วว่าถึงเวลาสร้างหนังของตัวอีกสักที
สาวสวยน่ารักสดใส มั่นใจ ชีวิตเธอคือโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กที่ต้องอัพโหลดตลอดเวลา ชอบช็อปเสื้อผ้าแบรนด์เนมเป็นชีวิตจิตใจแต่ก็เฉพาะตอนมันเซลล์เท่านั้น ชีวิตของเพ็ญเหมือนจะเพอร์เฟ็ค ด้านการงานเธอก็เป็นพีอาร์-มาร์เก็ตติ้งที่ประสบความสำเร็จด้วยความคิดที่ทันสมัย ด้านความรักก็มีปกป้อง คุณหมอหนุ่มรูปหล่อคอยดูแล แต่เสียอย่างเดียวอยู่กับเขาเธอไม่เคยเป็นตัวของตัวเองเลยนี่สิ
รับบทโดย แพทตี้ อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา
สาวน้อยหน้าใสขวัญใจหนุ่มๆ แจ้งเกิดจากบทสมทบใน ภาพยนตร์ ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น ด้วยความน่ารักสดใส ร่าเริง เป็นธรรมชาติทำให้เธอกลายเป็นดาราดาวรุ่งในทันที จากการทำงานในแวดวงภาพยนตร์ทำให้แพทตี้มีความสนใจในเรื่องการสร้างหนังจนเข้าศึกษาต่อและเรียนจบจากสถาบันเอสเออี(ประเทศไทย) สาขาทำภาพยนตร์ดิจิทัล
มาโดยเฉพาะ นอกจากนี้แพทตี้ยังได้ทำงานหลากหลายในแวดวงบันเทิง ทั้งแสดงมิวสิควีดีโอ ,ละครโทรทัศน์ ,พิธีกรรับเชิญ และยังเคยได้โชว์เสียงร้องน่ารักๆ ในเพลง ที่รัก ของ ปราโมทย์ ปาทาน อีกด้วย ในเรื่องนี้แพทตี้จะได้โชว์ความสามารถทางการแสดงมากขึ้นเพราะได้เป็นนางเอกหนังเต็มตัวครั้งแรกในชีวิต
คุณหมอรักษาโรคผิวหนัง แฟนหนุ่มหล่อของเพ็ญ ชายหนุ่มผู้เป็นทุกอย่างของเพ็ญ เป็นทั้งแฟน ทั้งเพื่อน ทั้งพี่ และ “พ่อ” เขาครอบงำทุกอย่างในชีวิตของเพ็ญด้วยความรักและหวังดี โดยที่เขาก็ไม่รู้ตัวเลยว่าที่ทำไปนั้นเป็นการบังคับแบบไม่ตั้งใจ แต่ปกป้องก็มีแง่มุมที่น่ารักและอบอุ่นที่เพ็ญชอบจนคบกันมานาน
รับบทโดย บีม กวี ตันจรารักษ์
นอกจากความสามารถในการร้องเพลงแล้ว บีมยังมีความสามารถในด้านการแสดง ผลงานด้านละครและภาพยนตร์ของเขาได้ผลตอบรับที่ดีไม่แพ้กัน ก่อนหน้านี้บีม แสดงหนังกับแดนมาแล้วหลายเรื่อง ตั้งแต่ “สังหรณ์”, “แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า ,และล่าสุดกับ “ส.ค.ส. สวีทตี้ ” และ “วาเลนไทน์ สวีทตี้ “ นอกจากงานในแวดวงบันเทิงบีมยังมีความสามารถในอีกหลายด้าน เช่น ด้านงานเขียนเป็น คอลัมนิสต์ด้านการท่องเที่ยวของนิตยสารสุขภาพดี ในปี พ.ศ. 2552 บีมได้รับเลือกจากสมาคมไทยแนะแนวการศึกษานานาชาติให้เป็นคนแรกที่ได้รับรางวัลโล่พระราชทาน
TIECA Bright Idol 2009 จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะที่เป็นศิลปินที่เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชนในด้านการศึกษา ดังนั้นบทคุณหมอคนเก่งนี้จึงเป็นบทที่เหมาะสมกับเขาอย่างที่สุด
ต้นหลิว
พิธีกรสาวสวยสุดเซ็กซี่ หุ่นดี ฮอตที่สุดประจำ “ที่ซ่อนผี” รายการแนวทดสอบความกล้าออกล่าผีที่ดังเรทติ้งกระฉูด เพราะด้วยเสน่ห์ของพิธีกรที่สาวไหนยากจะทาบรัศมี เธอนิยมแฟชั่นแบรนด์เนม ต้องสวยอินเทรนด์ตลอดเวลา ด้วยภาพลักษณ์สวยสง่าทำให้ต้นหลิวดู “เข้าไม่ถึง” แต่ความจริงแล้วเธอเป็นคนที่เป็นมิตรและยินดีที่จะรู้จักกับคนใหม่ๆเสมอ
รับบทโดย นุช นีรนาท วิคทอเรีย โคทส์
นางแบบสาวสวยลูกครึ่งอังกฤษ ในวงการนางแบบนั้นสาวนุชเรียกได้ว่าสุดฮอตติดอันดับนางแบบงานชุกอันดับต้นๆ มีทั้งงานด้านเดินแบบและพรีเซนเตอร์โฆษณาหลายชิ้น นุชได้เข้าสู่แวดวงภาพยนตร์จากเรื่อง Roommate เพื่อนร่วมห้องต้องแอบรัก และยังได้โชว์เสียงเพราะๆ ในเพลง จำทำไม เพลงประกอบภาพยนตร์สุดฮิตไว้อีกด้วย
คุณยาย
คุณยายของชวด เป็นคนใจดี น่ารัก ขี้เล่น ใครอยู่ด้วยแล้วจะรู้สึกถึงความอบอุ่นของคุณยาย อาศัยอยู่คนเดียวที่บ้านต่างจังหวัด คิดถึงชวดที่เป็นหลานชายคนเดียวที่มาทำงานกรุงเทพมาก แม้ว่าจะมีการติดต่อกันตลอดเวลา แต่ก็อยากให้หลานชายกลับมาเยี่ยมบ้านบ้างสักครั้ง และหวังให้ชวดมีแฟนกับเขาเป็นตัวเป็นตนซะที
รับบทโดย ขวัญจิต ศรีประจันต์
ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพื้นบ้าน-อีแซว) แม่ขวัญจิตเป็นศิลปินพื้นบ้านที่ได้รับการยกย่องว่าว่ามีความสามารถในการร้องและเล่นเพลงแบบหาตัวจับได้ยาก และเมื่อหันเข้าสู่วงการเพลงลูกทุ่ง ก็ได้รับความนิยมอย่างสูง มีผลงานเพลงดังมากมาย นอกจากนี้แม่ขวัญจิตยังมีผลงานบันเทิงหลากหลายรวมทั้งผลงานทางภาพยนตร์อีกด้วย
หาคนที่ “ใช่” มาร่วมงานกันแบบ “ใกล้ชิด”
ตัวละครของเรื่องนี้ค่อนข้างจะมีบทบาทที่สีสันหลากหลาย แหวกแนว ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่แดนคิดว่าเป็นอีกเสน่ห์ของ “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” ที่จะไม่ซ้ำใครและไม่มีใครเหมือน เพราะหลายๆ ตัวละครในเรื่องนี้มาจากบุคคลจริงๆที่แดนได้ไปเจอมา จึงหยิบยกมาขยายความมาเล่าต่อให้ผู้ชมได้สนุกไปกับพฤติกรรมแปลกๆ ฮาๆ น่ารัก ของแต่ละตัวโดยหวังว่าผู้ชมจะมีความสุขเหมือนกับที่เขาได้เคยเจอมาแล้ว โดยแดนเผยถึงขั้นตอนการออกแบบสร้างตัวละครต่างๆ และการคัดนักแสดงไว้ดังนี้
เพ็ญ ผู้หญิง หวาน แอบ แสบ
“การดีไซน์ตัวละคร ผมขอเริ่มที่ เพ็ญ ก่อนนะครับ เพ็ญเนี่ยผมมองนึกถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่คล่อง ๆ ผู้หญิงที่อยู่กับแฟนแล้วก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อนแฟนจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ตัวผมเองผมชอบคุยกับคนที่ตอบโต้ผมได้ทันทีผมว่ามันสนุกดี เพราะฉะนั้นผมเลยสร้างตัวละครสองตัวที่เป็นคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อกัน เลยสร้างตัวเพ็ญขึ้นมา เราก็จะเห็นการสู้กันด้วยไดอะล็อคบางอันของชวดกับตัวเพ็ญในหนังครับ
เพ็ญสุดท้ายแล้ว ผู้หญิงคล่องแคล่วคนนั้นก็ได้น้องแพทตี้ อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา มารับบทครับ ซึ่งก็ผ่านทางกับผู้ใหญ่หลายๆ ท่านแล้ว ทั้งพี่ปรัชญา เขาก็บอกว่าควรจะให้น้องแพทเล่น เพราะเขามีหลายๆ ส่วนที่ตรงกับคาร์แร็คเตอร์อยู่เหมือนกัน น้องเขาเป็นคนที่ร่าเริง ใครคุยด้วยก็ แต่ก็จริงจังกับการทำงาน ตัวละครนี้เป็นเป็นตัวที่เล่นยากมากครับ ตอนผมเขียนผมไม่ได้คิดถึงใครเลย บทนี้ต้องทำหน้าทำตาพิลึก ต้องมีความสามารถในเรื่องของการบ้าได้สุดเหวี่ยง ที่สำคัญคือทำแล้วต้องมีเสน่ห์ต้องน่าดู ตัวละครตัวนี้ต้องอยู่ทุกสังคมได้ เป็นเหมือนจิ้งจกตุ๊กแก เปลี่ยนสีได้ทุกสภาพแวดล้อม โดยที่อยู่แต่ละที่แล้วทุกที่ก็รักเขาด้วยนะ เพ็ญเนี่ยอยู่ในทุกที่ได้โดยที่มีออร่าอะไรบางอย่าง ทำให้ทุกคนมองเขา สิ่งที่ตัวน้องแพทเองต้องแบกรับภาระมากว่าการท่องบทด้วยซ้ำก็คือการบริหารเสน่ห์ตัวเอง ครับ และยังมีบทแอ็คชั่นนิดๆ ดราม่าหน่อยๆ อีกด้วย ซึ่งน้องแพทเขาไม่เคยเล่นบทที่มันหลุดออกไปจากเดิม มันก็เป็นความสะใจอย่างหนึ่งของผมด้วยครับ ที่ผมจะได้เห็นเขาในสภาพนี่หรือนางเอก แต่ผมว่าเลือกถูกคนแล้ว เดี๋ยวก็ต้องไปดูกันครับว่าจะออกมาเป็นอย่างไร”
สาวแพทตี้ อังศุมาลิน ก็เผยถึงความรู้สึกการได้รับบทนางเอกเต็มตัวครั้งนี้ ว่า “ตอนแรกก็รู้สึกกังวลว่าเราจะถ่ายทอดออกมาได้ตามที่พี่แดนต้องการหรือเปล่าค่ะ เมื่อก่อนเราเคยเล่นหนังมาก็จริงแต่ว่าไม่ได้ถึงขั้นเต็มตัวเล่นทั้งเรื่องครั้งนี้ก็ตื่นเต้นเหมือนกัน ตอนที่รับเล่นเรื่องนี้อันดับแรกเราชอบในเรื่องของบทค่ะรู้สึกว่าตัวละครของเรามีเสน่ห์มาก
พี่แดนเขียนขึ้นมาเพื่อให้มีอะไรให้เล่นเยอะ อยากเล่นทุกอย่างเลย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะเล่นได้หรือเปล่า มีบู๊ด้วย มีดราม่า มีตลก มีซึ้ง เขาเขียนมาก็เลยทำให้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้รวมทุกอย่าง คนดูก็น่าจะเซอร์ไพรส์ค่ะ ส่วนเรื่องการเตรียมตัว ก่อนที่ถ่ายกัน ก็มีการเวิร์คช้อปเพื่อที่เราจะได้รู้ลึกขึ้นในเรื่องของตัวละครว่า เพ็ญเขาเป็นผู้หญิงแบบไหน ทำงานอะไร ที่บ้านเขาเป็นยังไง เราจะได้รู้เบื้องหลังของเขาส่วนหนึ่งเพื่อที่จะได้ถ่ายทอดออกมาให้ดีที่สุด แต่พอถ่ายจริงๆบางทีก็จะมีโดนคัทบ้างแบบว่าอันนี้เด็กไปนะ ก็ต้องคิดให้โตขึ้นการพูด การนั่งการยืน การเดินอะไรอย่างนี้ ก็พยายามให้ดูโตขึ้น ดูเป็นสาวออฟฟิศจริงๆ สาวพีอาร์เขามีบุคลิกเป็นแบบไหน เราก็ศึกษามาคร่าวๆว่าอ้อ พีอาร์เขาเป็นแบบนี้ ดูคล่องแคล่วว่องไว ดูเป็นผู้หญิงเก่ง ผู้หญิงฉลาดค่ะ”
ปกป้อง ผู้ชาย เนี๊ยบ เป๊ะ เวอร์
“ต่อมาที่ตัวปกป้องเป็นตัวละครที่ผมคิดอยู่นานมากว่าจะให้ชื่ออะไร สุดท้ายก็มาตายตรงที่คำว่าปกป้อง หลายคนขำกับชื่อนี้มากเพราะชื่อมันเชย แต่ผมคิดว่านิสัยคนนี้เหมาะกับชื่อนี้มาก เขาพร้อมที่จะปกป้อง ดูแลใครสักคน แต่เผอิญว่าเขาลืมคำนึงว่าคนที่เขากำลังดูแลปกป้องเนี่ย แฮปปี้มีความสุขกับสิ่งที่เขากำลังทำไหม แต่คนดูจะเห็นถึงความน่ารักของเขานะครับ หลักๆเลยคือเป็นความที่เป็นคนที่เอาใจใส่แล้วก็รับรู้ถึงความอบอุ่นที่เขาให้จริงๆ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เขาให้ดันไม่ถามผู้รับเท่านั้นเอง นั่นคือความผิดเล็กๆ ที่ตัวปกป้องมี อยู่ที่ว่าเขาจะเคลียร์กันยังไงเท่านั้นเอง”
“ตัวละครนี้ตอนเขียนก็ไม่ได้นึกถึงใครนะครับแต่พอต้องเลือกนักแสดงก็ถึงพี่ บีม กวี ตันจรารักษ์ ขึ้นมาคนแรกเลย พี่บีมรูปลักษณ์เนี่ยเขาใช่แน่เป็นผู้ชายสะอาดสะอ้าน มีความรู้มีฐานะมีนิสัยที่มีความมุ่งมั่น เชื่อในบางอย่างในตัวเอง แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้นก็คือความน่ารักที่พี่บีมใส่เข้าไปให้กับตัวละครปกป้องครับ เขาสามารถเป็นหมอที่ดูจริงจัง แต่ว่าท่าทางการแสดงของเขาถ้าได้ดูจะเห็นถึงความน่ารักของเขา”
บีม กวี พี่ชายคนสนิทของแดนเผยถึงการมารับบท ปกป้อง คุณหมอรักษาผิวสุดเนี้ยบ ซึ่งบทนี้ก็ไม่ใช่เล่นๆ เพราะต้องมีการเตรียมตัวฝึกเป็นหมอคอร์สเร่งรัดเพื่อให้แสดงออกมาได้สมจริงที่สุด “บุคลิกของปกป้อง เขาเป็นผู้ชายที่มีระเบียบ มีแบบแผน มีความเชื่อมั่นในตัวเอง เนื่องจากตัวเองเป็น หมอผิวหนัง เป็นอาชีพภูมิฐาน เป็นคนที่คอยสั่งคอยสอนคนอื่น เป็นคนบอกให้เขาเชื่อ เป็นคนที่ค่อนข้างเนี้ยบ เพราะฉะนั้นเขาก็จะใส่ใจเรื่องการแต่งตัวด้วย เรื่องของผิวหน้า การบำรุงผิว การรักษาดูแลตัวเอง การกินอยู่ เป็นคนดูแลใส่ใจ และคอยปกป้องคนอื่นตามชื่อ “ปกป้อง” เลยครับ ผมมีเคยมีความคิดที่ผมจะเป็นหมอนะ แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นหมอรักษาหน้าได้ ตอนที่รู้ว่าจะรับบท ก็ไปที่ไปร้านหมอสิวเลยครับ ก็จะดูว่าหมอสิวพูดกับคนไข้ยังไง พูดกับลูกค้ายังไง คือเราจะว่าดูว่า เขามีขั้นตอนในการอธิบายการรักษาอย่างไรบ้าง ไม่ใช่ว่าหยิบเครื่องมือมา ผมจะยิงเลเซอร์ แล้วก็ยิงๆ แล้วก็ไม่พูดอะไร แต่หมอที่ดี จะต้องอธิบายให้คนไข้ฟังครับว่าการรักษานั้นมันจะทำให้หน้าคุณเป็นยังไง ซึ่งเราก็จำมาครับเอามาปรับเป็นคาร์แร็คเตอร์ของเรา ก่อนถ่ายผมก็มี
การเรียนรู้ขั้นตอนวิธีการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทำหน้าใส ตอนที่เข้าฉากก็มียิงเลเซอร์จริงๆเลยนะครับ ผมก็บอกกับพนักงานร้านว่า พี่ครับเอาแบบต่ำสุดเลยนะ ให้ยิงได้หลายทีและคนที่โดนยิงเขาไม่เจ็บ ซึ่งก็ออกมาดีครับ ก็เป็นซีนที่สนุกและตลกที่สุดในเรื่องซีนหนึ่งเลย”
ต้นหลิว ผู้หญิง เจิด เริด เปรี้ยว
“ตัวต้นหลิว ผมตามหาผู้หญิงที่เดินมาแล้วคนต้องมองน่ะ ต้นหลิวเป็นคนสวยมากแต่มาเป็นพิธีกรตามหาผีในบ้านร้าง ซึ่งหน้าเขาอาจจะไม่เหมาะกับการเป็นพิธีกรรายการแบบนั้นแต่ผมรู้สึกว่า รายการผีพิธีกรต้องสำคัญนะ พิธีกรต้องเรียกคนดูต้องไม่ไล่คน ซึ่งต้นหลิวเวลา เขามองกล้อง เขาได้หมดเลย เขาได้ความรู้สึกนั้นหมดเลย ผมสร้างคาร์แร็คเตอร์ ง่ายๆ เลยเป็นคนที่มองโลกในด้านบวกอย่างเดียวเลยเป็นคนที่มีความสุขกับทุกสิ่งทุกอย่าง มีความสุขกับการคุยกับคน มีความสุขกับงาน เพราะว่าผมต้องการคนที่มีรอยยิ้มจากแววตา ไม่อย่างนั้นคนที่อยู่รอบๆ เขาจะมองเขาด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “
บทนี้ผมได้ น้องนุช นีรนาท วิคทอเรีย โคทส์ มาแสดง น้องเขาเข้ากล้องแล้วนี่ปิ๊งเลย ในบทน้องนุชต้องเป็นพิธีกรมืออาชีพครับแต่จริงๆแล้วเขาเพิ่งเคยเป็นพิธีกรครั้งแรกในชีวิต ก่อนหน้านั้นเขาก็ไม่เคยรับงานพิธีกรที่ไหนเลย แต่เขาก็ทำได้เยี่ยมมากครับ ตอนเราถ่ายก็เหมือนถ่ายรายการจริงๆ มีป้ายบอกไดอะล็อคเหมือนในรายการต่างๆให้
เขาได้อ่าน แต่เขารู้มุมกล้อง รู้วิธีการพูดมุมไหนสวยน้องนุชจัดให้แป๊บเดียวผ่านครับสมแล้วที่เป็นซุปเปอร์โมเดล
น้องนุชเนี่ยเป็นผู้หญิงที่ไม่ต้องมีไดอะล็อคพูดก็ได้ ยืนยิ้มอยู่เฉยๆ ก็สวยมาก เขาก็ส่งเสน่ห์ออกมาให้ทีมงานให้ทุกคนรับรู้ได้ว่าผู้หญิงคนนี้สมควรแล้วที่จะตกหลุมรักเขา เขาเสน่ห์แรงมากครับ มีอยู่ซีนหนึ่งขนาดเขาแค่นอนหลับยังสวยเลย! จนทีมงานหลงบอกว่าสวยอย่างกับเจ้าหญิงนิทรา เป็นขวัญใจของกองถ่ายเลยครับ เวลาน้องนุชมาเข้าฉากทีไรจะมีคนมาขอถ่ายรูปคู่ด้วยตลอด”
นุช นีรนาท เผยถึงความรู้สึกการได้แสดงหนังโรแมนติคคอเมดี้เรื่องแรกของเธอว่า “ สำหรับตัวละครต้นหลิวนะคะ มันน่าสนใจตรงที่ ผู้หญิงคนนี้ทุกคนจะบอกว่า เขามีเสน่ห์ แต่เป็นเสน่ห์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติที่เขาไม่ต้องพยายามเลย สำหรับนุชเองนี่เป็นครั้งแรกที่ต้องสวมบทเป็นพิธีกร และได้ทำหน้าที่เป็นพิธีกรครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ค่ะ มันก็เหมือนกดดันนิดนึงเพราะว่า ต้องทำให้คนดูเชื่อว่าต้นหลิวเนี่ยเขาเป็นมืออาชีพแล้ว แต่ก็สนุกดีค่ะ ตอนแรกที่ได้ยินว่าผู้กำกับเป็นพี่แดนก็ตกใจเหมือนกัน เพราะว่าเป็นครั้งแรกที่เขาทำหนังแล้วเป็นนักแสดงด้วยเป็นผู้กำกับด้วย นุชก็ว่าน่าสนใจตรงนี้ล่ะค่ะเลยอยากร่วมงานด้วย พี่แดนเป็นผู้กำกับที่ละเอียด ถ้าเห็นอะไรผิดนิดนึงเขารู้เลย อาจจะเป็นเพราะอยู่ในซีนด้วยค่ะ จะเห็นว่ากล้องมันผิดไปนิดนึง เขาก็คัทเริ่มใหม่เลย นุชชอบผู้กำกับที่ให้อิสระกับนักแสดงด้วยค่ะ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาเป็นนักแสดงอยู่แล้วด้วย ก็คงเข้าใจว่าเราก็คงไม่ชอบผู้กำกับมายุ่งๆตลอดเวลา เขาเข้าใจนักแสดงมาก แล้ววิธีการทำงานในเรื่องนี้ของพี่แดนในฐานะผู้กำกับเขาก็ไม่ได้กำหนดอะไรมากค่ะ เขาปล่อยให้แสดงแบบเป็นตัวของตัวเอง ที่เลือกนุชมาเล่นก็ขอบคุณมากเลยค่ะ นุชก็สบายใจมากขึ้นที่เขาเป็นผู้กำกับที่ให้อิสระทางการแสดงกับเราค่ะ”
ชวด ผู้ชาย รั่ว หลวม ฮา
“บทนี้ผมเล่นเองครับ จริงๆ จะให้คนอื่นเล่นก็ได้เพียงแต่ผมคิดว่าผมน่าจะเป็นคนที่เข้าใจในบทที่ตัวเองเขียนได้ดีที่สุดแล้ว ชวดเป็นคนชิลครับ เขาเป็นคนที่เปลี่ยนงานบ่อยมาก เขาเป็นคนขี้เบื่อ ทำงานไปไม่ชอบเหนื่อยละก็ออก ซึ่งเผอิญว่าเขาได้มาทำงานชิ้นใหม่ รายการเรียลลิตี้หมาแพนดี้ หมาตัวนี้มันเป็นหมาที่ไม่รู้เป็นอัมพาตหรือเป็นโรคอะไรสักอย่างมันเป็นหมาที่ไม่ขยับเลย พอเข้าไปทำงานวันแรกเนี่ยเขาก็ช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเขาต้องใช้ความสามารถของตัวเองในการทำให้มันขยับให้ได้ แต่เขาเป็นคนคิดเร็ว มีไหวพริบในการพูดการคิด เขาจะเป็นคนทำทุกอย่างรวดเร็วเขาถึงเหมาะกับการเป็นโปรดิวเซอร์เพราะต้องแก้ปัญหาตลอดเวลา หลายๆอย่างในตัวชวดก็อาจจะมีบางอย่างที่คล้ายกับผมครับ ข้อแรกคือผมจะชอบไปนั่งดูคน ชอบสังเกตคนครับ อันนี้คือนิสัยผม นอกจากนี้นิสัยความขี้เบื่อในงานของตัวเอง ไม่ชอบทำงานอะไรซ้ำๆไปซ้ำมา อยากทดลองทำสิ่งใหม่ๆครับ”
ผู้ร่วมสร้างเสริมประสบการณ์ความรัก
นอกจากตัวละครหลักแล้ว คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ ยังมีนักแสดงสมทบที่มาร่วมเติมเต็มสีสันหลายหลากทั้ง เติมความอบอุ่น เติมความรัก เติมความมันส์ และเติมความฮา ซึ่งนับว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการทำงานยาวนานกว่า 12 ปีของแดน ที่ทำให้เพื่อนพ้องในวงการได้เห็นความสามารถของแดน วรเวช เมื่อทราบว่าแดนจะมาเป็นผู้กำกับก็มาร่วมงานกันอย่างเต็มใจ ทำให้บรรยากาศในกองอบอวลไปด้วยความอบอุ่น เป็นกันเอง และยังมีแขกรับเชิญสุดพิเศษอีกหลายคนที่จะขอมาร่วมแจมในหนังอีกด้วยให้ผู้ชมเซอร์ไพรส์อีกด้วย
อีกหนึ่งนักแสดงรุ่นใหญ่ที่ แดน วรเวช ให้ความเคารพรักและรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมงานกันก็คือ แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง ผู้รับบทคุณยายสุดน่ารักของชวด แดนเผยถึงความรู้สึกในการร่วมงานครั้งนี้ ว่า “ตัวละครนี้หากันนานมากเลยครับ แล้วผมก็ไปนึกถึงคุณแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ขึ้นมา เพราะเราเป็นคนสุพรรณเหมือนกัน เรารับรู้อยู่แล้วว่าท่านเป็นคนยังไง แต่ยังไม่เคยเห็นมุมแอบเจ้าเล่ห์น่ะครับ ผมก็ไปหาคุณแม่ขวัญจิตที่สุพรรณเลย ไปพูดคุยได้เจอมุมที่น่ารัก แล้วก็ลองให้ท่านเล่นมุมเจ้าเล่ห์ดูสายตาอีกแบบก็ใช่เลยครับ ใช่มากๆ ก็เลยได้ร่วมงานกัน คุณแม่ก็เต็มที่ครับ ทำการบ้านมาดีมาก บทตัวยายเป็นบทที่ยาวมากครับ แต่คุณแม่ก็พูดได้แบบเป๊ะๆ เลย ท่านมีพรสวรรค์ในเรื่องนี้อยู่แล้ว อีกอันนึงที่ท่านมีคือความทะลึ่งครับ ท่านมีความสามารถในเรื่องทะลึ่งที่น่ารักมากๆ คือภาพยนตร์เรื่องนี้มันอาจจะมีความทะลึ่งนิดๆหน่อยๆ ตามสไตล์ของวัยรุ่นทั่วไปน่ะครับ ท่านก็เล่นออกมาได้น่ารักมากครับ จนผมอยากกอดน่ะ ผมเล่นเรื่องนี้ผมก็อยากกอดยายตัวเองเลยล่ะครับ”
แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ก็ได้กล่าวถึงการทำงานกับผู้กำกับมือใหม่คนนี้ว่า “ เวลาได้เห็นเขาทำงาน ก็ทึ่งในการทำงานเขานะคะ ถึงเขาเป็นเด็กวัยรุ่นจริงจังกับงานมาก คอยดูแลควบคุมดูแลในทุกๆส่วน แต่บรรยากาศในกองถ่ายเป็นกันเองค่ะไม่เครียดเลย สนุกสนาน บทของเรื่องนี้ก็บอกเล่าเรื่องราวที่พูดถึงความสัมพันธ์ของคนต่างวัยด้วย มีประเด็นความสัมพันธ์ ของคนในครอบครัว นับว่าเป็นจุดที่ดีนะคะที่จะนำเสนอให้คนรุ่นใหม่ได้ดู”
บทบาทที่จะมาเพิ่มความอบอุ่นกุ๊กกิ๊กน่ารักให้กับเรื่องก็คือบท พ่อแม่อารมณ์ดีของเพ็ญ เป็นคู่รักที่อยู่กันมายาวนานแล้วแต่ยังรักกันเหมือนวัยรุ่น มีความคิดสมัยใหม่ ปล่อยให้ลูกเป็นตัวของตัวเอง การที่เพ็ญเป็นคนมองโลกในแง่ดี และร่าเริงสดใสก็ได้มาจากพ่อและแม่นี่เอง แต่ถึงแม้ว่าพ่อกับแม่จะดูสบายๆ ปล่อยมุกตลกกันทุกวันแต่พอเพ็ญมีปัญหาสำคัญ ก็สามารถให้คำปรึกษาชี้ทางออกแก่ลูกได้ ซึ่งแดนได้เล่าถึงตัวละครนี้ว่า “คุณพ่อคุณแม่ของเพ็ญ เป็นอีก
สองตัวละครที่ผมรักมากเหมือนกัน เพราะว่าครอบครัวนี้มีความสุขมาก เรื่องการหานักแสดงเนี่ยก็ยากมากเหมือนกัน ผมอยากได้ความรู้สึกใหม่ๆ ผมเลยเลือกนักแสดงคนหนึ่งซึ่งเป็นนักแสดงใหม่คือ พี่ ตึ้ง(ธนศักดิ์ อุ่นอ่อน) เขาเป็นนักพากย์ครับ เขาไม่เคยแสดงภาพยนตร์มาก่อนเลย ผมได้มีโอกาสไปพากย์หนังกับเขาน่ะครับ แล้วก็เจอเขา ได้เห็นอะไรบางอย่างของเขา ความมีเสน่ห์ และหน้าตาก็เป็นคุณพ่อน้องแพทตี้ได้ ก็ชวนเขามาแล้วเขาเล่นแบบถูกใจมากน่ะครับ เล่นน่ารักมากเล่นดี ผมชอบเลยครับ คุณแม่ก็เหมือนกัน คุณแม่คือพี่เจี๊ยบ (นนทิยา จิวบางป่า ) พี่เจี๊ยบนี่ก็น่ารัก วันแรกนี่พวกเขาไม่เคยเจอกันมาก่อนเลย เขาแทบจะไม่รู้จักกันมาก่อนเลย แต่เขาเจอกันก็เล่นได้ดูเป็นคู่รักกันเลยน่ะครับ ดูสนิทกันมากแล้ว ด้วยความเป็นมืออาชีพของเขาน่ะครับ เขาก็ทำความสนิทสนมกันเองเวลาเขาเล่น เขาก็ดูน่ารักจริงๆ เป็นพ่อแม่ที่แกล้งกันหยอกกันตลอดเวลาน่ะครับ”
ธนศักดิ์ อุ่นอ่อน นักพากย์มืออาชีพผู้ได้ประเดิมงานหนังเรื่องนี้ครั้งแรกก็พูดถึงผู้กำกับว่า “ตอนแดนเขาโทรมา ชวนผมเล่นหนังเขาบอกว่า พี่ครับผมมั่นใจในตัวพี่ เพียงประโยคนี้ประโยคเดียวทำให้ผมรู้สึกว่าเล่นฟรีผมก็เอา จากนั้นก็ได้มาอ่านบทก็รู้สึกว่าเฮ้ยบทนี้ดีจัง บทของผมเป็นคุณพ่อสมัยใหม่ผมชอบตรงที่ว่าเป็นคุณพ่อที่เปิดกว้าง จะไม่ปิดกั้นอะไรเพียงแต่จะแค่เป็นผู้แนะนำ ก็รู้สึกทึ่งในความสามารถแดนเหมือนกันครับ เด็กคนนี้มีอะไรที่นอกจากสิ่งที่ผมรู้จักว่าเป็นนักร้อง เป็นนักแสดง เขามีอะไรที่อยู่ในหัวเขาเยอะมากนะครับ มีความคิดสร้างสรรค์มากมายที่จะถ่ายทอดออกมาในคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์”
ส่วนด้าน เจี๊ยบ นนทิยา จิวบางป่า นักร้องนักแสดงอารมณ์ดี ก็เผยถึงบทบาทและความประทับใจในการทำงานกับ แดน วรเวชว่า “ บุคลิกของแม่เนี้ยก็จะเป็นคนที่ลั้ลลาๆที่สุดในบ้าน คู่รักคู่นี้มันจะเหมือนเป็นเพื่อนกัน เป็นคู่ที่อยู่ด้วยกันไปจนแก่จนเฒ่า และมีความรู้สึกว่าอยู่แล้วไม่มีเหงาอยู่แล้วมีความสุขตลอดค่ะ และเป็นพ่อแม่ที่ดีมาก เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกดูในเรื่องของชีวิตคู่ได้สอนได้ว่าการที่เราจะมีคู่สักคนมันควรจะเป็นยังไง พี่ก็เลยมีความรู้สึกว่าบทที่น้องแดนเขียนอันนี้เป็นบทที่ประทับใจจริงๆ และก็มีความรู้สึกว่าพ่อแม่ในเรื่องนี้เป็นพ่อแม่ในฝันของลูกเลยทีเดียวค่ะ”
และอีกบทบาทที่เรียกเสียงหัวเราะได้มากที่สุดในเรื่องบทหนึ่งก็คือ บท แจ็ค เจ้าของรายการทีวี เจ้านายของเพ็ญ ประธานบริษัท เคเบิ้ลทีวี เป็นคนคิดค้นผลิตภัณฑ์ประหลาดๆ มีความคิดสร้างสรรค์ เวลาอยู่กับลูกน้องจะดูดุเฮี้ยบมาก แต่พอได้ออกไปรายการแอโรบิคขายผลิตภัณฑ์ตัวเองจะเหมือนเป็นคนละคน ร่าเริงสดใสขึ้นมาทันที
ซึ่งคนที่มารับบทนี้ก็คือ กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ เพื่อนซี้ย่ำปึ้กของแดน ซึ่งแดนเผยว่า “ตัวละครแจ็ค เป็นเจ้าของรายการที่เพ็ญมาทำงานด้วย เขาเป็นเจ้าของรายการเต้นแอโรบิคพ่วงการขายสินค้า ที่มีท่าเฉพาะตัวที่ไม่ค่อยน่าเต้นตามเท่าไหร่ บทนี้ได้พี่กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ มาเล่น เขาจะมีสองบุคลิก คือตอนที่เป็นผู้บริหารก็เป็นผู้บริหารที่ขรึมๆ นิ่งๆ เท่ๆ แต่พอตอนที่เขาต้องไปรายการแอโรบิคของเขาจะปลดปล่อยความเป็นตัวเองเต็มที่ เวลากอล์ฟเล่นเขามีความสามารถ
ในการ ใช้เสียงที่สูงต่ำหนักเบา เพราะฉะนั้นเวลาที่เขาขาย สินค้าของเขาหรือการที่เขาพูดกับลูกน้อง มันดูแล้วมันก็น่าซื้อของเขาจริงๆถึงแม้ว่าของมันจะดูแปลกๆแต่มันก็น่าสนใจก็ดีใจที่ได้กอล์ฟมาช่วยกันขอบคุณมากครับ”
ด้านกอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ ก็เผยถึงการทำงานครั้งนี้ว่า “ ผมรู้ว่าแดนมีความฝันที่จะทำหลายอย่าง จริงๆแล้วเขาเป็น เป็นคนทำอะไรจริงจัง ทำอะไรแล้วลงลึกจริงจังไม่ได้ทำอะไรเล่นๆ วันหนึ่งเขาเดินมาบอกผมว่าเขาจะเขียนบทหนังเองกำกับหนังเอง ผมรู้สึกเลยว่ามันเหมือนการทำปริญญา ซึ่งมันยากมากสำหรับเขานะ เรื่องการทำหนังผมว่ามันเป็นศาสตร์ที่ละเอียดอ่อนมาก มันรวมทุกศาสตร์ไว้ทั้งศาสตร์การแสดงทั้งเพลงประกอบทั้งทุกอย่างที่เขาเคยทำมา แม้มันจะยากมากแต่นี่มันจะเป็นใบปริญญาเอกของเขาแน่นอนและผมเชื่อว่าเขาทำได้ดีครับ”
ใส่ใจเกินร้อยทุ่มเทเกินล้าน
นอกจากการกำกับ-เขียนบทภาพยนตร์ และ แสดงนำ แล้ว แดน วรเวช ยังขอมีส่วนร่วมในการทำงานอีกหลายๆด้าน ตั้งแต่
เลือกคนรู้ใจ แดนเลือกทีมงานแต่ละฝ่ายในเรื่องนี้เรียกได้ว่าล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างภาพยนตร์เป็นอย่างดี เช่น ไพบูลย์ ภู่ประดับ ผู้กำกับภาพคนเก่งที่เคยฝากผลงานสนุกๆสุดฮิต เช่น โปงลางสะดิ้ง ลำซิ่งส่ายหน้า,แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า, 32 ธันวา วรธน กฤษณะกลิน ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายฝีมือเยี่ยมที่เคยฝากผลงานไว้กับ องค์บาก , 30 กำลังแจ๋ว เจ้าของรางวัลตุ๊กตาทอง (พระสุรัสวดี) ประจำปี พ.ศ. 2540 สาขา ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม จากฝันติดไฟ หัวใจติดดิน
แต่งเติมเสริมสวย แดนช่วยดูแลเสื้อผ้าตั้งแต่หัวจรดเท้าของนักแสดงใส่ใจรายละเอียดให้ตรงกับบุคลิกตัวละครที่เขาเขียนขึ้นมาและสื่อความหมายแฝงเอาไว้ในแต่ละคน
“สำหรับเสื้อผ้าของตัวละครนะครับ ขอเริ่มที่ ชวด ตัวผมเอง เสื้อผ้าจะเป็นวินเทจ(Vintage)นิดๆ ที่เลือกเป็นวินเทจมันเป็นเรื่องของการค้นหา บ้างครั้งการตามหาสิ่งที่ถูกใจก็ ต้องรอเวลาเลือก ซึ่งก็เหมือนความรักที่พระเอกรอใครสักคนเข้ามาเพื่อตามหาบางอย่างอยู่เหมือนกัน ส่วนตัวของ เพ็ญ ก็เป็นเรื่องของความสดใสร่าเริง เสื้อผ้าก็จะเป็นที่เราดูแล้วรู้ก็จะเป็นเสื้อผ้าที่ดูแล้วคล่องแคล่ว ความกระฉับกระเฉง มีความสนุกอยู่ในตัวนะครับ เสื้อผ้าของ ต้นหลิว จะเป็นออกแนวเซ็กซี่หน่อย เป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก มั่นใจว่าฉันสวยที่สุดในโลก เสื้อผ้าก็จะออกแนวมั่นใจ ก็จะเปิดไหล่ ผ่าหน้า ผ่าหลัง เปิดให้หมด ส่วน ปกป้อง ก็จะเป็นผู้ชายอบอุ่นนะครับ เสื้อผ้าก็จะเป็นสุขุม นุ่มลึก อังกฤษนิดหน่อยน่ะครับ ก็จะดูเรียบร้อย อ่อนโยน สีเสื้อผ้าของพี่บีมก็จะออกแนวอ่อนโยน หวานๆ ชมพูอ่อนๆก็จะมีบ้างครับให้ดูเป็นคนสะอาดเหมาะกับบทหมอ”
ไม่หวั่นแม้หนทางยาวไกล แดนบุกป่าฝ่าทะเลหลายแหล่งด้วยตัวเองเพื่อให้ได้สถานที่ถ่ายทำที่แปลกใหม่สวยงามไม่เคยเห็นมาก่อน จนได้สถานที่ถ่ายทำ ที่เกาะกูด จังหวัดตราด และ ปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนฉากในเมืองแดนก็เลือกสถานที่ เป็นที่ท่องเที่ยวสุดฮิต แสดงไลฟ์สไตล์ของคนเมือง เตรียมพร้อมให้ผู้ชมได้เดินทางไปสัมผัสความสวยงามในช่วงเวลาสุดพิเศษ 3 วัน 2 คืนนี้ไปพร้อมๆกัน แดนเผยถึงประสบการณ์การเสาะหาโลเคชั่นครั้งนี้ ว่า
ลืมวันลืมคืนที่เกาะกูด “ผมเลือกที่นี่เพราะเป็นที่ค่อนข้างแตกต่างจากกรุงเทพ เหมือนได้หลุดมาสู่อีกโลกหนึ่ง ผมหามาหลายที่กว่ามาลงตัวที่เกาะกูด จังหวัดตราด เหมาะกับการที่ตัวละครจะมีช่วงเวลาพิเศษกันที่นี่ ได้มาใช้เวลาร่วมกันในคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ได้ดีที่สุดครับแต่การเดินทางมาที่นี่ใช้เวลานานมาก ที่หนักสุดคงเป็นทีมกล้องทีมไฟครับที่ถึงขนาดต้องนอนค้างอ้างแรมกันบนรถที่จอดเรียงกันบนเรือบรรทุกที่ขนทรายและอุปกรณ์ก่อสร้างจากฝั่งมายังเกาะ ซัดไป10 กว่าชั่วโมง ตอนกลางวันแดดร้อนๆ เปรี้ยงๆ ตอนกลางคืนก็หนาวจับจิต ห้องน้ำก็ไม่ค่อยสะดวกครับ ก็ดีครับถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตด้วย แต่การทำงานก็ลำบากไม่ใช่เล่น ถนนในเกาะไม่ค่อยดีนัก บางส่วนไม่มีถนนเข้าไป โดยเฉพาะด้านริมหาดติดหน้าผา ไม่มีถนนที่รถใหญ่เข้าได้ เข้าได้แต่มอเตอร์ไซค์ เพราะฉะนั้นของบางอย่างเนี่ย ก็ต้องใช้แรงคนแบกครับ แบกอ้อมเขาไป ช่วยกันแบกสายไฟขึ้นไปบนเขา ต้องไปแหวกหญ้าถางทางทำทางลงจากหน้าผาเพื่อให้ได้ภาพที่แตกต่างและสวยที่สุดครับ”
– ผาวัดใจ “เรียกว่าเปิดซิงกันเลยครับโลเคชั่นนี้ มันเป็นหน้าผาลงไปเป็นชั้นๆ แล้วก็มีเห็นโขดหิน มีทะเล เห็นชายฝั่งสวยมากครับ แต่เราต้องมาทำทางลงจากหน้าผากันเอง ตอนถ่ายก็ปีนขึ้นปีนลงทุลักทุเลหน่อย ลื่นๆล้มๆ ได้แผลกันไปบ้างแต่ ก็คุ้มค่ากับภาพที่ออกมา สวยและไม่ซ้ำใคร”
สถานที่ต้องมนต์ เกาะกูด ไม่ได้มีแค่ทะเลสวยงามนะครับ ยังมีแม่น้ำ มีป่าโกงกาง มีภูเขา มันมีความแปลกใหม่อยู่อีกเยอะ ผมหาโลเคชั่นบ้านยายยากมากเรียกว่าแทบควานหาทุกตารางนิ้วของเกาะ จนเกือบถอดใจแล้ว แต่สุดท้ายมาเจอบ้านที่อ่าวยายกี๋ วินาทีแรกที่เห็นบอกกับตัวเองเลยว่า “ที่นี่” แหละครับจะเป็นสถานที่ถ่ายทอดช่วงเวลา 3 วัน 2 คืนที่ทำให้ความสัมพันธ์ของพระเอกนางเอกเพิ่มพูนและน่าจดจำได้อย่างแน่นอน”
ที่ไหนจะเปรียบ“ปราณ”
“กลับมาทะเลอีกครั้ง เป็นฉากบาร์ริมทะเล เราได้สถานที่ๆ ปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งกว่าจะหาที่ได้ก็ลำบากเช่นกัน ต้องขับรถเข้ามาจากชายหาดรถก็มีติดหล่มกันไปบ้าง ฉากนี้ จริงๆแล้วเป็นพื้นทรายโล่งๆ เลยทำการเซ็ตฉากขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ใช้เวลาสร้างประมาณ 2 สัปดาห์ เพราะมันยากนะครับกับการสร้างบาร์บนพื้นทราย มีเรื่องของน้ำขึ้นน้ำลงอีกด้วยต้องวางแผนก่อสร้างกันให้เป๊ะเลยว่า สร้างแล้วน้ำจะไม่ท่วม ก็ต้องยกเครดิตทีอาร์ตเขาครับ เก่งมาก”
เลาะเลี้ยวเที่ยวกรุง
“สถานที่หลักๆ ในโลเคชั่นเมืองก็จะเป็นห้างกลางกรุง และสถานที่เที่ยวที่ช้อปปิ้งของคนรุ่นใหม่อีกหลายแห่ง ให้เห็นไลฟ์สไตล์คนเมือง ทั้งดูหนัง ทานข้าวฟังเพลง ถ่ายในเมืองคนเยอะ ก็ควบคุมยากหน่อย มีเสียงดัง มีคนดู มีคนเดินผ่านกล้อง แต่ก็เป็นเรื่องปกติครับ และเราก็ยินดีที่มีคนให้ความสนใจกองถ่ายของเรากันอย่างดีครับ คึกคักดีครับ”
งานก่อร่างสร้างรัก
แดนมีส่วนเข้าไปช่วยคุมงานสร้างแบบพิถีพิถันใส่ใจทุกรายละเอียดแม้เป็นเรื่องเล็กน้อย โดยผู้กำกับศิลป์คู่ใจ วุฒินันท์ ดุริยประณีต ผู้ที่เคยร่วมงานกับแดนมายาวนานเผยถึงความตั้งใจในการทำงานของผู้กำกับคนนี้ว่า
“แดนเป็นคนละเอียดมากครับ คิดสิ่งที่ต้องการไว้ล่วงหน้าแล้ว และทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ได้ภาพที่ออกมาสมบูรณ์ที่สุด แม้ว่าจะจะเป็นของประกอบฉากเล็กๆน้อยๆ ที่ตั้งไว้ประกอบฉาก ก็จะคุมโทนให้มีสไตล์เดียวกัน ส่วนฉากใหญ่ หากหาโลเคชั่นที่ถูกใจไม่ได้ก็ขอให้เราสร้างขึ้นมาให้เลย ไม่ว่าจะเป็นการติดไฟริมทะเลระยะทางเกือบหนึ่งกิโลเมตร หรือ จะสร้างฉากบาร์ขึ้นมาใหม่เลย แต่แดนเขาเป็นคนที่มีเหตุผลที่ดีเสมอเวลาอยากจะได้อะไรครับ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ผมเองก็ยอมทำให้ครับ ทั้งที่รู้ว่าโห มันยากนะแต่เรามีการปรึกษาทำงานกันเป็นทีมตลอดจึงทำให้งานนี้ออกมาดีได้ครับ”
ซึ่งแดนเผยถึงงานนี้ว่า “การทำงานเกี่ยวกับงานสร้างมันมีรายละเอียดเยอะน่ะครับ แล้วพอดีว่าผมเป็นคนเขียนบทด้วยเลยอยากเข้าไปช่วยถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในหัวให้ทีมงานทำงานกันได้สะดวกขึ้น ส่วนที่ผมจะละเอียดหน่อยน่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำอาหารเช่นฉาก การทำอาหารเกาหลี วัสดุที่เข้าฉากทุกอย่างทานได้จริง เพราะว่าเราต้องทานจริงตอนเข้าฉากด้วย ส่วนอีกฉาก เป็นฉากบาร์ละกัน ซีนนี้มีเรื่องของการชงเหล้ามีเทคนิคของการชงเหล้า เราก็อยากให้มันสมจริงขึ้นมา ทีมงานก็เลยไปเชิญบาร์เทนเดอร์ตัวจริงจากโรงแรมดังแห่งหนึ่งขึ้นมา เพื่อให้ได้สูตรที่เป๊ะที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็ออกมาเป๊ะจริงๆ ดูน่าตื่นตามากครับ มีการเรียงแก้วขึ้นไปเป็นชั้นๆ เทเหล้าลงมาให้ไหลลงมาเป็นระดับ แล้วจุดไฟ ผู้ชมจะได้เห็นการทำค้อกเทลที่ผมว่าปกติแล้วไม่ได้หาดูกันง่ายๆเลยครับ”
เมื่อจังหวะการเต้นของหัวใจแปรเปลี่ยนไปเป็นเสียงดนตรี
แม้แดนจะผันตัวมาอยู่หลังกล้องแต่ในหนังเรื่องนี้จะไม่ขาดเสียงดนตรีแน่นอน ยังคงมีบทเพลงเพราะๆ ซึ้งๆ โดนใจ ให้แฟนๆ ได้ฟัง โดยแดนได้ชักชวนเพื่อนๆศิลปินมากฝีมือ มาร่วมแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ให้ แดนเผยถึงงานนี้ว่า “อีกอย่างหนึ่งที่เป็นความพิเศษของเรื่องคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ เป็นเรื่องของเสียงเพลงครับ ผมได้เพื่อนๆศิลปิน มาร่วมพูดคุยถึงไอเดียว่าอยากได้เนื้อหาแบบไหน ดนตรีแบบไหน แนวไหน ซึ่งแต่ละวงผมก็ให้เขาเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด แต่เพลงนั้นมีพื้นฐานเป็นเรื่องความรัก ก็พูดคุยกันจนได้เพลงประกอบภาพยนตร์มา 3 เพลง สามแนวได้แก่
วง Slot Machine มากับเพลง “พอ” เพลงเร็วสนุกๆ ที่แต่งขึ้นเพื่อประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะ ซึ่งก็เป็นงานครั้งแรกของพวกเขาด้วยครับ เพลงพูดถึงช่วงเวลาที่ถ้าได้อยู่กับคนที่เราชอบ ทุกนาทีมันจะมีค่ามีความสุข แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว และพวกยังมาร่วมมาแจมในหนังด้วยครับ งานนี้คุ้มครับมาดูหนังแต่ได้ดูคอนเสิร์ตไปด้วย ผมชอบสไตล์ดนตรีของเขาเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้วครับ ชอบวิธีการคิดไลน์ดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา ผมอยากให้เขามาอยู่ในหนังด้วย เพราะเขาจะช่วยเติมเต็มความสนุกสนานและอารมณ์รัก ให้กับเรื่องนี้
จากนั้นก็มีเพลง “Breath” สากลเพราะๆ ของวง Sobic ศิลปินอินดี้ชาวเดนมาร์กหัวใจไทย ที่ผมก็ได้ถ่าย MV ประกอบภาพยนตร์เอาไว้ระหว่างถ่ายทำ พอดีผมได้ฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกว่าเหมือนเห็นภาพในหนังลอยขึ้นมาเป็นฉากๆเลย เข้ากับเนื้อเรื่องได้ดีครับ
สุดท้ายเพลงช้าสุดพิเศษ จาก ซิน วง Singular ที่มาช่วยถ่ายทอดอารมณ์หนังออกมาเป็นบทเพลงได้ไพเราะมาก กับเพลงชื่อว่า “เรื่องจริง” ผมติดต่อน้องซินมาก็เพราะชอบในการแต่งคำร้องของเขาที่ใช้คำได้สวยครับ เลยบอกเขาไปว่าอยากได้คอนเซ็ปท์ความทรงจำที่สวยงาม ทางซินก็มีการขอบทไปอ่านจนจบและปรับจูนความคิดกันสักพักจนได้เพลงออกมาครับ ซึ่งงานนี้ก็เป็นงานที่ซินทำคนเดียวครั้งแรกและเป็นการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ครั้งแรกของเขาอีกด้วย อยากให้ลองติดตามฟังกันครับ”
เกร็ดภาพยนตร์ เรื่องเล่าเมาท์หลังกอง
– บีม กวี ตันจรารักษ์ ในเรื่องนี้เจอบทหนักไม่ใช่เล่น เพราะมีฉากดราม่าฉากหนึ่ง เป็นคิวถ่ายกลางคืนที่บีมต้องถ่ายฉากขับรถซ้ำถ่ายทำกันอยู่จนเกือบเช้า กว่า 10 เทค และยังเป็นการถ่ายทำแบบ Long take ผิดปุ๊บเริ่มใหม่ปั๊บ แต่นักแสดง
ทุกคนและทีมงานก็เต็มที่จนผ่านมาได้ เท่านั้นยังไม่พอหมดฉากดราม่า ผู้กำกับขอต่อด้วยฉากตลกทันที! จนบีมขอยกฉายา “ผู้กำกับจอมโหดหน้าใหม่แห่งวงการ” ให้แดนไปเลย
– สาวสวย แพทตี้ อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา ในเรื่องนี้ยังเป็นการเปลี่ยนลุคที่ผู้ชมจะไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเพราะเธอจะโชว์ความสามารถทุ่มสุดตัวทั้งคอเมดี้ , ดราม่า จนไปถึงเป็นดารานักบู๊ ! ต้องเล่นจริงไม่ใช้สลิงไม่ใช้นักแสดงแทน เรียกว่าโดนผู้กำกับใส่ความสนุกลงไปในบทไม่ยั้งแถม ไม่ยอมปล่อยให้ผ่านแต่ละฉากไปง่ายๆ มีทั้งฉากต้องคลุกดินคลุกทรายสารพัด, เมาเหล้าจนอ้วก หรือแม้กระทั่งฉากหัวเราะ ก็ต้องหัวเราะให้ถูกใจ ถูกสั่งเทคใหม่จนกว่าผู้กำกับจะขำ!
– กำกับเด็ก กำกับหมา! แม้ว่าใครจะบอกว่าการกำกับเด็กและสัตว์นั้นเป็นเรื่องยาก แต่แดนก็ทำมาแล้วทั้งสองอย่างในเรื่องนี้ โดยเจ้าหมาแพนดี้ ผู้มีบทบาทสำคัญกับงานของตัวละครชวดในเรื่องนี้แดนเป็นคนไปคัดเลือกมาด้วยตัวเอง มีการออดิชั่นโชว์ความสามารถเช่นเดียวกับนักแสดงคน! จนได้เจ้าโชกุนหมาน้อยหน้าตายียวนกวนประสาทแต่น่ารัก ผู้มีผลงานโฆษณามาแล้วหลายชิ้น มารับบท ส่วนการกำกับเด็กนั้นก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะต้องสั่งให้น้องนักแสดงร้องไห้ ซึ่งกำกับได้ดีมากสั่งปุ๊บร้องปั๊บ แต่ตอนหยุด แดนต้องเข้าไปปลอบด้วยตัวเองถึงจะหยุดร้อง
– อุปสรรคอย่างหนึ่งเวลาออกกองถ่ายของแดน วรเวช ก็คือมักจะมีสัตว์ที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาป่วนกอง เสมอ เช่น จักจั่นที่ร้องเสียงดังมากในฉากเกาะกูด ,มีงู อยู่ในบ้านร้างที่ใช้ถ่ายทำจนต้องให้ทีมงานไล่ไป, มีลิง มาแอบขโมยของกองกิน , วัวและสุนัขมา บุกเข้ากองถ่ายที่ปราณบุรี
– เสื้อผ้าที่แพทตี้ต้องใช้โยนในฉากช้อปปิ้ง นั้นรวมๆแล้วมีมูลค่ากว่า 2 หมื่นบาท ซึ่งก็ทำเอาทีมอาร์ตถึงกับเหงื่อตกเพราะถ้าทำสกปรกไปคงต้องจ่ายเงินชดใช้กัน
-ฉากตู้กดน้ำ แดนและแพทตี้ ต้องดื่มน้ำกระป๋องไปกว่า 20 กระป๋อง ! เพราะทุกครั้งเปิดกระป๋องต้องคอยลุ้นว่าน้ำจะพุ่งออกมาใส่หรือไม่ ทำให้ต้องถ่ายซ้ำหลายรอบกว่าจะได้ภาพที่สมบูรณ์
– ในภาพยนตร์จะมีตัวเลข ที่เกี่ยวข้องวันเกิด, ปีเกิดของแดน เช่น 84 16 27 มีทั้งเลขไทยและฝรั่ง อยู่ตามพื้นที่ต่างในฉาก และมีลูกเล่นความเป็นตัวแดนแอบใส่ไว้ในภาพยนตร์ให้แฟนๆลองค้นหากันสนุกๆ อีกด้วย
การพบกันครั้งแรกของ
แดน วรเวช ดานุวงศ์ * แพทตี้ อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา
บีม กวี ตันจรารักษ์ *นุช นีรนาท วิคทอเรีย โคทส์
ควบคุมการสร้างแบบสบายใจโดย ปรัชญา ปิ่นแก้ว
อำนวยการสร้างออกทุนแบบอารมณ์ดีโดย เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ
เตรียมตัวหาคำตอบของหัวใจในช่วงเวลาต้องมนต์
9 สิงหาคม 2555
บันทึกภาพ: สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล