Q: เรียกได้ว่าแพทตี้เป็น นักแสดงรุ่นใหม่ที่มีงานต่อเนื่องมากที่สุดคนหนึ่ง งานในวงการที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง มีชอบงานด้านไหนเป็นพิเศษและมีสิ่งไหนที่อยากลองอีกไหม
“แพทตี้ก็เริ่มเข้าวงการมาจากภาพยนตร์เรื่องปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น นะคะ จากนั้นก็มีภาพยนตร์ต่อมาเรื่อยๆ มีถ่ายโฆษณา, เล่นละคร, ได้ร้องเพลง ที่รัก กับพี่ ปราโมทย์ ปาทาน มีถ่ายมิวสิควีดีโอบ้าง ล่าสุดก็มีเพิ่งถ่าย MV คนเดิมของเธอ กับพี่บี้ เดอะสตาร์ ค่ะ และตอนนี้ก็มีภาพยนตร์เรื่อง คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ค่ะ ถ้าถามว่าชอบงานไหนจริงๆ แต่ละงานค่อนข้างแตกต่างกันอยู่แล้วค่ะ สนุกแตกต่างกันไป ตอนนี้ก็คือเป็นช่วงที่ศึกษาไปเรื่อยๆ มีงานไหนเข้ามาเราก็ลองดู เราก็ดูว่าสุดท้ายเราชอบตรงไหนมากที่สุด แต่ถ้าอยากลองก็คืองาน เดินแบบค่ะที่ยังไม่ได้ลองจริงจังค่ะ”
Q: ทราบมาว่าแพทตี้มีความสนใจในเรื่องภาพยนตร์เป็นพิเศษถึงขั้นไปเรียนมาทางด้านภาพยนตร์โดยเฉพาะ เริ่มมีความมีความสนใจในเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนไหน
“ตอนเด็กๆ ก็ยังไม่ค่อยสนใจนะคะ เพิ่งมามีช่วงหลังๆ ค่ะ ช่วงเริ่มโตขึ้นเริ่มรู้สึกว่าเราดูหนัง แล้วเราสนุกมากขึ้นและเราก็เริ่มมีความสนใจมากขึ้นค่ะ และก็มามากที่สุดก็ตอนที่เรามีโอกาสได้ทำงาน ก็คือพอเรามาทำงานด้านภาพยนตร์ด้วย เราอาจจะเคยรู้เรื่องแต่เบื้องหน้า แต่พอเรามามองพี่ๆ ในกองถ่ายทำงานเบื้องหลัง เราก็แบบ เอ๊ะ เขาทำอันนี้ยังไง เพื่ออะไร เรคคอร์ดยังไง ทำไมเขาต้องจัดไฟแบบนี้ เราก็เลยมีความรู้สึกว่าอยากรู้ตรงนั้นก็เลยไปเรียนค่ะ แพทตี้เรียนจบจากสถาบันเอสเออีค่ะ สาขาทางด้านภาพยนตร์ พอเราเรียนแล้วก็เราก็รู้หลายๆอย่างมากขึ้น ในอนาคตอาจจะลองศึกษาในเรื่องของการทำเบื้องหลังเพิ่มเติม เพราะว่าตอนนี้เริ่มรู้มากขึ้นล่ะ พอเราไปถ่ายหนังก็จะรู้ล่ะว่าโอเคเขาถือไมค์บูมมายังงี้นะเพื่อที่จะให้องศามันเท่านี้ๆ คือตอนนี้เราค่อนข้างที่จะรู้หมดทุกอย่างล่ะ ว่าขั้นตอนของการทำงานทั้งหมดเป็นอย่างไร แต่ว่าอาจจะรอเวลาอีกนิดให้ความคิดของเราชัดเจนมากขึ้นว่าอยากจะทำอะไรค่ะ”
Q: คิดว่าเสน่ห์ของภาพยนตร์อยู่ตรงไหน
“เสน่ห์ของหนังอยู่ที่มันสามารถถ่ายทอดความเป็นจริงได้ เป็นสื่อที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของคนๆ ทั้งชีวิตหนึ่งมาแสดงในระยะเวลาชั่วโมงครึ่งได้ แต่เราต้องใช้ความสามารถในการถ่ายทอดทั้งหมดให้คนที่นั่งดูเราอินไปกับเรา รับรู้ไปกับเราว่า เราต้องการที่จะสื่ออะไร อยากให้เขารับรู้ชีวิตของเราเป็นแบบไหน ตอนนั้นเราเก็บกด เราท้อแท้ เรายังไง ซึ่งถ้าทำได้แม้มีเวลาแค่ชั่วโมงครึ่ง แต่เขาจะรู้ชีวิตเราตั้งแต่เด็กเกิดมาเป็นยังไงค่ะ”
Q: ในฐานะที่แพทตี้ เล่นหนังรักมาหลายเรื่องคิดว่าอะไรเป็นเหตุผลที่หนังแนว Romantic –Comedy นี้ได้รับความนิยม และทำออกมาได้ไม่มีซ้ำไม่มีเบื่อ
“อันดับแรกอาจจะเป็นเพราะหนังแนวนี้มันไม่เครียด อันดับที่สองอาจจะตลกด้วยหรือว่าดูแล้วยิ้ม คนดูที่เขาเครียดจากงาน เขาก็ไม่อยากดูหนังที่ดราม่าเพิ่มความเครียดให้ตัวเอง คือหนังแนวนี้ค่อนข้างเบสิคที่ใครก็เข้าไปดูได้ ทั้งเด็กหรือว่าผู้ใหญ่ค่ะ ดูแล้วก็ได้รอยยิ้ม กลับมา และอาจจะเป็นเพราะว่าความรักมันเข้าถึงทุกคนได้ มีส่วนร่วมอยู่ในชีวิตของทุกๆ คน ทุกคนก็ย่อมจะมีความรักอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นแบบพ่อแม่พี่น้องหรือว่าเพื่อน แฟน ซึ่งอาจจะตรงกับหลายๆ คนที่เข้าไปดู บางคนก็ฝันว่าฉันอยากมีชีวิตแบบนี้ ดูแล้วก็จะเคลิ้มตามอะไรอย่างนี้ค่ะ มีอารมณ์ร่วมมากกว่าค่ะ”
Q: แพทตี้ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างไร และตอนที่ได้ยินชื่อเรื่องครั้งแรกรู้สึกยังไงบ้าง
“ตอนที่แพทได้รู้ชื่อเรื่องก็ชอบแล้ว ว่า แปลกดี แล้วก็ดูมีอะไรในชื่อของมันอะไรอย่างนี้ แพทเองก็ไม่รู้อะไรมาก แต่ก็ทราบว่าพี่แดนจะมีโปรเจ็คนี้ขึ้นมา ก็เห็นเขาทำบทเรื่อยๆ จนเสร็จ ทำนู่น ทำนี้ เสร็จจบทุกอย่าง ก็ถึงจะมีทางผู้ใหญ่เข้ามาคุยค่ะว่าสนใจที่จะรับบทไหม”
Q: พอรู้ว่าแดนเป็นคนกำกับและเขียนบทเองด้วยรู้สึกยังไงบ้าง และเขาได้มีเกริ่นกับเราก่อนไหม
“ก็รู้สึกยินดีด้วยนะคะที่เขาจะเป็นผู้กำกับ เขาก็มีเล่าให้ฟังบ้างคร่าวๆค่ะ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะได้เล่นด้วย เขาก็บอกว่าจะเป็นหนังอารมณ์ดี อารมณ์รัก แพทว่าที่เขาเขียนบทเองกำกับเองด้วยก็ดีแล้วค่ะเพราะเขาสามารถบอกเราได้มากที่สุดว่าเขาอยากได้อะไร ที่เขาเขียนแบบนี้มาเพื่ออะไร เพื่อที่เราจะถ่ายทอดออกมาเป็นแบบไหน พอได้เห็นการทำงานก็รู้สึกว่า อุ๊ย เขามีมุมแบบนี้นี้ด้วยหรอ (หัวเราะ) เป็นเสน่ห์แบบเฉพาะตัวของเขาไป ไม่ได้ไปแบบซ้ำใคร ค่ะ”
Q: พอเราตกลงรับบทนี้รู้สึกอย่างไรบ้างกังวลบ้างรึเปล่า เพราะนี่เป็นการเป็นนางเอกเต็มตัวครั้งแรกด้วย และมีการเตรียมตัวในการทำงานครั้งนี้เป็นพิเศษรึเปล่า
“ตอนแรกก็รู้สึกกังวลว่าเราจะถ่ายทอดออกมาได้ตามที่พี่แดนต้องการหรือเปล่าค่ะ ยังกังวลเรื่องนั้น แต่ก็ไม่ได้คิดถึงว่า เอ๊ะ ทำไมต้องเลือกเราอะไรอย่างนี้ แค่คิดว่าถ้าเขาเลือกเรา เขาก็คงคิดดีที่สุดแล้วว่าจะให้เราเล่นนะ แต่ว่าเราก็กังวลในส่วนของเรามากกว่า ว่าตอนถ่ายทำเราจะเป็นยังไง เราจะทำให้ทั้งกองรอเราหรือเปล่า หรือว่าเราจะถ่ายทอดออกมาตามที่ผู้กำกับต้องการได้หรือเปล่า จะทำออกมาได้ดีไหม กังวลเรื่องนั้นมากกว่า เมื่อก่อนเราเคยเล่นหนังมาก็จริงแต่ว่าไม่ได้กับขั้นเต็มตัวเล่นทั้งเรื่องอะไรอย่างนี้ค่ะ พอครั้งนี้มาแล้วก็แบบเสียวๆ นิดหน่อย เอ๊ะ จะเป็นยังไงนะ ก็ตื่นเต้นค่ะ ตอนที่รับเล่นเรื่องนี้อันดับแรกเราชอบในเรื่องของบทค่ะ รู้สึกว่าตัวละครของราเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์มาก พี่แดนเขียนขึ้นมาเพื่อให้มีอะไรให้เล่นเยอะ มีตั้งหลายแบบหลายแนวอะไรอย่างนี้ค่ะ เราก็ตื่นเต้นที่จะต้องเล่นทุกอย่าง ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะเล่นได้หรือเปล่า มีบู๊ด้วย มีดราม่า มีตลก มีซึ้ง เขาเขียนมาครบก็เลยทำให้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้รวมทุกอย่างอ่ะค่ะ คนดูก็น่าจะเซอร์ไพรส์ดีกับบางฉากค่ะ ส่วนเรื่องการเตรียมตัว ก่อนที่ถ่ายกัน ก็มีการเวิร์คช้อปเพื่อที่เราจะได้รู้ลึกขึ้นในเรื่องของตัวละครว่า เพ็ญเขาเป็นผู้หญิงแบบไหน ทำงานอะไร ที่บ้านเขาเป็นยังไง ดูนิสัยพื้นฐานของเขาลึกๆแล้วเขาเป็นผู้หญิงแบบไหนอะไรแบบนี้ค่ะ ก่อนที่จะมาถ่ายเราจะได้รู้เบื้องหลังของเขาส่วนหนึ่งเพื่อที่จะได้ถ่ายทอดออกมาให้ดีที่สุดอะไรอย่างนี้ค่ะ แต่พอถ่ายจริงๆ บางทีก็จะมีโดนคัทบ้างแบบว่าอันนี้เด็กไปนะ ก็ต้องคิดให้โตขึ้นการพูด การนั่งการยืน การเดินอะไรอย่างนี้อ่ะค่ะ ก็พยายามให้ดูโตขึ้น ดูเป็นสาวออฟฟิศจริงๆ สาวพีอาร์เขามีบุคลิกเป็นแบบไหน เราก็ศึกษามาคร่าวๆ ว่าอ้อ พีอาร์เขาเป็นแบบนี้ ดูคล่องแคล่วว่องไว ดูเป็นผู้หญิงเก่ง ผู้หญิงฉลาดอะไรอย่างนี้ค่ะ”
Q: ต้องให้แพทตี้เล่าให้ฟังแล้วล่ะว่าเรื่องราวของคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์เป็นอย่างไรบ้าง
“ในเรื่องนะค่ะ แพทก็รับบทเป็น เพ็ญ เป็นผู้หญิงเก่ง เป็นผู้หญิงทำงานค่ะ ซึ่งก็ค่อนข้างทันสมัย ชอบช้อปปิ้งดูหนัง เพ็ญมีครอบครัวที่ดีค่ะ ก็จะทุกคนรักกันเป็นครอบครัวที่เพียบพร้อม เพ็ญค่อนข้างมีชีวิตที่ลงตัว มีแฟนก็เป็นคุณหมอที่ทั้งหล่อทั้งรวยเรียกได้ว่าชีวิตเกือบเพอร์เฟ็กต์ค่ะ มันก็จะมีปัญหาอยู่นิดหน่อยก็คือจาก พี่ปกป้อง (บีม กวี ตันจรารักษ์) ในเรื่องเขาอาจจะเคร่งกับเรา บางทีก็อาจจะทำให้เพ็ญไม่ได้เป็นตัวเองเท่าไร แต่วันหนึ่งที่เราดันไปเจอผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นผู้ชายที่ประหลาดๆ ก็คือชวด รับบทโดยพี่แดนค่ะ เข้ามาหาเราเพื่อที่จะต้องการปรึกษาเราเรื่องจีบต้นหลิว (นุช นีรนาท วิคทอเรีย โคทส์) ต้นหลิวเป็นเพื่อนสนิทของเรา ซึ่งชวดก็มาตามวนเวียนตอแยตลอดจากไม่รู้จักก็เลยสนิทไปโดยปริยายค่ะ จากนั้นก็มีเหตุการณ์ที่เพ็ญกับชวดได้ใช้เวลา คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ด้วยกัน หลังจากเวลานั้นก็ทำให้ทั้งคู่ต้องมานึกทบทวนในความสัมพันธ์ ได้ถามใจตัวเองมากขึ้น”
Q: ตัวละครเพ็ญมี เสน่ห์ความน่าสนใจอย่างไร
“บุคลิกของตัวเพ็ญจะน่ารักและก็สวย จริงๆเขาอาจจะไม่ได้สวยมาก แต่ข้างในเขาแบบว่ามองโลกในแง่ดี คนที่เข้ามาคุยกับเขาก็สามารถตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้ได้ ส่วนเรื่องงานของเขาเนี่ย ในเรื่องเขาคือพีอาร์ ในเชิงของโซเชียลเน็ตเวิร์ค พวกเฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ แล้วเขาพยายามหาช่องทางใหม่เพื่อที่จะทำให้สินค้าของทางบริษัทติดตลาด จนเขาได้รับนับถือจากเจ้านาย ถูกยกย่องว่าทุกอย่างที่อยู่ในท้องตลาดที่ทุกคนรู้จักก็เป็นเพราะเพ็ญเป็นคนทำ ในเรื่องการงานเพ็ญก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จมากเหมือนกัน สามารถตัดสินใจได้ตัวเองได้เกือบทุกอย่างเพ็ญเป็นผู้หญิงทันสมัย ทันยุค ทันเหตุการณ์และก็ชอบช้อปปิ้งที่เหมือนผู้หญิงสมัยนี้ที่เขาทำกัน แต่ช้อปปิ้ง แต่เฉพาะของเซลล์เท่านั้นนะคะ ความสัมพันธ์ในครอบครัว เพ็ญเป็นลูกคนเดียว จริงๆ แล้วครอบครัวเป็นครอบครัวที่อบอุ่นมาก คุณพ่อคุณแม่ก็ค่อนข้างที่จะปล่อยเพ็ญ เพราะรู้ว่าเด็กวัยรุ่นเดี๋ยวนี้เป็นยังไง เป็นแบบครอบครัวอารมณ์ดีค่ะ มองโลกในแง่ดี พูดคุยกันดีๆ ยิ้มแย้มแจ่มใส มาถึงก็กอดกันก่อนคุยกันเล่น คือทั้งหมดที่เพ็ญอารมณ์ดี มองโลกในแง่ดีพื้นฐานก็จะได้จากครอบครัวคุณพ่อคุณแม่ และเพ็ญมีแฟนแล้ว ก็คือพี่ปกป้อง พี่ปกป้องก็เป็นคุณหมอที่ทั้งหล่อทั้งรวย เรียกได้ว่าครบทุกอย่างน่ะค่ะ เขาก็ดูแลเราดี ดีมากจนเราเหมือนแบบไข่ในหิน จนเราไม่ได้เป็นตัวเราเองเท่าไร ไม่เต็มร้อยก็ด้วยความที่ยอมทุกอย่างก็เพราะว่าความรัก เพราะเรารักเขาคบกันมานาน”
Q: การทำงานกับพี่บีมเป็นไงบ้าง บุคลิกของปกป้องเหมือนตัวจริงไหม
“พี่บีมอย่างเรื่องก่อนหน้านี้ก็แสดงในเรื่องเดียวกัน แต่ไม่ได้เล่นด้วยกันก็เจอกันแบบแว้บไปแว้บมา แต่พอมาเรื่องนี้ก็มาเป็นแฟนกันเลย แรกๆ ก็จะเกร็งๆ เขินๆ นิดหน่อยตามประสาค่ะ แต่พอมาร่วมกันจริงๆ ก็จริงๆแล้วเขาเป็นคนตลกเหมือนกันนะค่ะ เขาก็มีมุมที่ชอบหยอกล้อเล่นอะไรอย่างนี้ ตอนทำงานก็จะทำให้เราสบายๆ ในเรื่องยิ่งเป็นแฟนกันก็ยิ่งสนิทกันอะไรอย่างนี้ ก็สบายเขาก็จะขำๆ ยิ้มๆ สบาย เฮฮา บุคลิกเขาค่อนข้างคล้ายๆ ปกป้องเหมือนกันเลยนะ ด้วยความที่ว่าในเรื่องปกป้องเป็นคุณหมอหน้าที่ต้องรักสะอาดแน่นอนต้องดูเรียบร้อย ดุเนี้ยบทุกอย่างเป๊ะ แต่พี่บีมเขาก็ดูคล้าย ดูเข้า ดูตรงกับบุคลิกแบบนี้ค่ะ เขาแสดงเป็นคุณหมอที่เชี่ยวชาญเลยทีเดียว ตอนทำงานก็สนุกค่ะ มีหลุดขำหลายๆ ฉากเหมือนกัน เพราะเขินด้วย ฮา ด้วย (หัวเราะ)”
Q: ความสัมพันธ์ของเพ็ญและชวดเป็นอย่างไรบ้าง เสน่ห์ของชวดอยู่ที่ไหนมีส่วนคล้ายกับแดนไหม
“ตัวละครของชวดก็จะมีมุมแปลกๆ บ้าง ชวดก็จะเป็นคนบอกเลยว่าแบบ เอ๋ ทำไมคุณทำแบบนี้ล่ะ ทำไมทำอย่างนี้ล่ะ ก็จะเป็นกระจกสะท้อนส่องเพ็ญอีกทีหนึ่ง ส่วนชวดกับพี่แดนจริงๆ ก็ไม่ได้ต่างกันมากนะ เพราะว่าด้วยความที่ว่าชวดเขาเป็นผู้ชายอารมณ์ดีเหมือนกัน หมายถึงว่าเป็นคนอารมณ์ดี มองโลกในแง่ดีคล้ายๆ กัน ถ้าตัวบุคลิกพี่แดนน่าจะคล้ายๆ กัน เสน่ห์ของตัวชวดน่าจะเป็นความเป็นตัวของ ที่เขาอารมณ์ดี มองโลกในแง่ดี การที่เวลาเราคุยกับเขา เรามีความสุขอ่ะเราได้ยิ้มสุด หัวเราะสุด เราได้ทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำ และเราก็ได้ทำ เราค่อนข้างจะปล่อยฟรีมากๆ กับเพ็ญ สมมุติตัวของเพ็ญอยากเล่นเกม เขาก็ไม่มีการบ่นเลยว่า อู้ยโตป่านนี้แล้วยังจะเล่นเกม กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นคนที่ฉุดเพ็ญเข้าไปและบอกว่าไปเล่นเกมกัน แต่ว่าพอเพ็ญอยู่กับพี่ปกป้องเพ็ญก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง พี่ปกป้องก็จะแบบไปเหอะน่า ไปเหอะ กลับกันเถอะ ก็จะค่อนข้างแตกต่างกันอย่างชวดกับปกป้องจะคนละขั้วกันเลย”
Q: ในเรื่องนี้แพทตี้ได้ประกบกับสาวซุเปอร์โมเดลสุดฮอต นุช นีรนาท ซึ่งเป็นการร่วมงานกันครั้งแรกแต่ต้องมาเป็นเพื่อนสนิทกันในบทเพ็ญกับต้นหลิว การทำงานครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง
“เพ็ญกับต้นหลิวสนิทกันนานมากแล้วค่ะ และก็ด้วยความที่ไลฟ์สไตล์คล้ายๆ กันก็คือเป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่ตามเทรนด์ เวลาไปช้อปปิ้งก็จะไปช้อปด้วยกัน แต่ว่าของเพ็ญเนี่ยจะเน้นของเซลล์ ของต้นหลิวเขาจะเป็นแบบคอลเลคชั่นใหม่เท่านั้น ก็จะต่างกันแค่นี้ ส่วนเรื่องแต่งตัวเนี่ยก็จะคล้ายๆ กันไม่ได้ต่างกันมาก
ต้นหลิวก็เป็นตัวละครที่สำคัญมากเหมือนกันค่ะ ถ้าขาดต้นหลิวไปก็จะไม่สามารถทำให้เพ็ญกับชวดมีโอกาสที่จะได้รู้จักกัน เพราะว่าชวดเข้ามาเพื่อที่จะจีบกับต้นหลิวซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเรา ต้นหลิวเนี่ยเขาเป็นพิธีกร ในเรื่องเขาสวยมากหนุ่มๆทุกคนที่เห็นเขาก็จะเข้ามาจีบก็รวมชวดด้วยเป็นหนึ่งในนั้นที่ชอบต้นหลิวและเข้ามาจะจีบต้นหลิว เวลาเพ็ญอยู่กับต้นหลิว ก็จะหมองๆ หน่อย เพราะต้นหลิวเขาสวยสง่าก็ดึงผู้ชายไปหมดเลย (หัวเราะ) ต้นหลิวรับบทโดย นุช นีรนาท ค่ะ นุชเขาเป็นนางแบบอยู่แล้วแล้วพอมาบวกกับบุคลิกแบบต้นหลิวด้วยที่แบบสวยที่หนุ่มๆ ใครเห็นก็ต้องชอบอะไรเงี้ย สำหรับแพทคิดว่าเขาเข้ากับบุคลิกนี้มาก แม้กระทั่งในกองอย่างนี้ผู้ชายทุกคนจะแบบ อยากเจอนุชๆ อยากถ่ายรูปกับนุช คือแบบทุกคนค่อนข้างหลงรักเขา ส่วนการทำงานก่อนหน้านี้ยังไม่เคยเจอกันเลยค่ะ เจอครั้งแรกที่ตอนไปเวิร์คช้อปก็ตอนที่เขามาก็น่ารักดี เฟรนด์ลี่ คุยง่าย และพอลองเล่นต่อบทกันตอนที่ทำงานจริงๆ ก็ง่าย เขาเองก็ผ่านด้านการแสดงมาอยู่แล้วค่ะ ก็เล่นผ่านฉลุยไปได้ด้วยดีค่ะ ทำให้ชิลๆ สบายในกองค่ะ”
Q: ในเรื่องยังมีตัวละครที่ใกล้ชิดกับเพ็ญมากก็คือ คุณพ่อคุณแม่ อยากให้เล่าถึงการทำงานของครอบครัวอารมณ์ดีนี้หน่อย
“ในเรื่องคุณพ่อคุณแม่ก็จะเป็นพี่ตึ๊ง (ธนศักดิ์ อุ่นอ่อน) กับพี่เจี๊ยบ (นนทิยา จิวบางป่า) ค่ะ ก่อนหน้านี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้ร่วมงานกันเลยค่ะแค่รู้ประวัติคร่าวๆว่าเขาเป็นใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร พอวันที่เวิร์คช้อปค่ะ พอพวกพี่ๆ เขามาเขามืออาชีพกันมาก มารับบทคู่กันได้ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้จักกันเลย วันถ่ายจริงก็ยิ่งแบบลื่นไหลทุกคนในกองก็ขำหัวเราะกับสิ่งที่เขาเล่นเพราะเขาเข้าขากันมาก ในเรื่องเวลาเพ็ญมีปัญหาอะไรเพ็ญก็จะคอยปรึกษากับคุณแม่คุณพ่อค่ะ ปรึกษาได้ทุกเรื่องเพราะว่าคุณแม่คุณพ่อเขาจะเหมือนวันรุ่นมากกว่าค่ะ เขารู้ว่าต้องทำแบบไหน ต้องคิดแบบไหนถ้าเจอเรื่องแบบนี้มาควรจะคิดแบบนี้นะ และเขาก็ค่อนข้างให้คำปรึกษากับลูกได้ดีมากเหมือนกัน เพ็ญก็สามารถเอาไปใช้ได้”
Q: ในเรื่องนี้แพทตี้ได้เล่นกับนักแสดงรุ่นใหญ่ คุณแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ศิลปินแห่งชาติ รู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้ร่วมงานกันครั้งนี้
“ในเรื่องนะค่ะก็จะมีตัวละครหนึ่งที่สำคัญเหมือนกันก็คือคุณยาย คุณยายก็เป็นคุณยายของชวด อยู่ที่ต่างจังหวัดค่ะ ถ้าพูดถึงคุณยายทุกคนจะคิดว่าคุณยายแก่ๆ ไม่ค่อยมีแรงหรือว่าไร แต่ว่าคาแร็คเตอร์ของคุณยายในเรื่องไม่ใช่อย่างนั้นเลย คือคุณยายก็จะเป็นคุณยายที่ทันสมัย วัยรุ่น เผลอๆ บางทีวัยรุ่นกว่าตัวชวดอีก ก็จะแบบอารมณ์ดียิ้มแย้ม ส่วนคนที่มาเล่นคุณยายก็เป็นคุณแม่ขวัญจิต ตอนแรกก็จะแบบ อุ๊ย ตื่นเต้น คุณแม่ขวัญจิตค่ะ และก็พอมาเล่นจริงๆ คุณแม่เขาถ่ายทอดออกมาให้ตัวละครคุณยายตัวเนี้ยน่ารักมาก คือวิธีการพูด วิธีการที่เวลายายคุยกับชวด จะดูแบบน่ารักดูแบบเอ็นดูมากๆ ก็ดีค่ะ ตอนร่วมงานก็จะสบายๆ ค่ะ”
Q: บทบาทเจ้านายของเพ็ญก็เป็นอีกบทที่มีสีสันมาก ซึ่งได้กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่มาแสดง การทำงานกับเขาเป็นอย่างไรบ้าง
“ในเรื่องนะค่ะก็จะมีตัวละครหนึ่งชื่อคุณแจ็ค เป็นเจ้านายของเราในเรื่องก็เป็นพี่กอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ ที่มาเล่น คือในเรื่องเนี้ยพี่กอล์ฟเขาจะแบบถือว่าเป็นตัวฮาอีกตัวหนึ่งเลยค่ะ แต่ละซีนที่เขาออกมาสุดยอดมากค่ะ มือโปรมากนั้นค่ะ ก็อยากให้ลองติดตามกันดูค่ะ ก็เพิ่งมีโอกาสได้ร่วมงานกันครั้งแรกด้วย แต่รู้สึกเหมือนรู้จักนานมา ตอนเข้ากองเขาดูเหมือนจะแบบนิ่งๆ แป๊ปๆ ก็นอน แป๊ปๆ ก็นอน แต่พอแบบเข้าฉากกันจริงๆ ก็น่ารักค่ะ เก่งมาก วางมาดได้ทั้งขรึมทั้งฮา”
Q: การทำงานของแดนผู้กำกับมือใหม่คนนี้เป็นอย่างไรบ้าง การทำหลายตำแหน่งของแดนในกองถ่ายทำให้เราสับสนบ้างไหม
“แรกๆ จะสับสนอยู่นิดนึงว่าพอเขามาเล่นปุ๊บเขาก็จะเปลี่ยนเป็นนักแสดง พอเขาไม่ได้อยู่ในเซ็ทเขาก็เปลี่ยนเป็นผู้กำกับ แรกๆ ก็จะสับสนว่าตอนนี้เขาอยู่ในหน้าที่อะไรอย่างนี้ค่ะ แต่หลังๆ ก็เริ่มรู้ว่าตอนนี้อยู่อันนี้นะ ตอนนี้อยู่อันนี้นะ แต่ด้วยความที่พี่แดนเขาเขียนบทเองและก็กำกับเองด้วยเนี่ย มันก็ดีสำหรับบางทีที่เขาจะตัดนู้นตัดนี้เขาสามารถทำได้เดี๋ยวนั้นเลย เขาต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตลอดเวลาคิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ในหัวมีความคิดเต็มไปหมด แถมจะหลุดก็ไม่ได้ต้องคอยดูว่าต่อไปถ่ายอะไรหรือว่าจะอะไร เราเองก็ได้แต่นั่งอยู่ข้างหลังไม่กล้ากวน ค่ะ แต่ก็มีเรื่องตลกว่าเขา สั่งคนนู้นสั่งคนนี้ ก็สั่งคนนั้นอยู่ตรงโน้น ไฟทุกอย่างโอเคนะ กล้องเดี๋ยวแพนไปทางนี้ ทางนี้ โอเค งั้นเริ่มเลยๆ เขาก็เข้าไปยืนอยู่ในบทและก็สั่งแอ็คชั่น และก็เอ๊ะบทของผมอะไรนะ! คือเหมือนกับว่าเขาดูแลทุกอย่างจนครบแต่ลืมส่วนของตัวเองไปซะงั้น (หัวเราะ)”
Q: ได้ข่าวว่า ความทุ่มเทของแดนเกินร้อยให้การทำหนังครั้งนี้ อยากให้ช่วยเล่ามุมมองจากคนในกองให้ฟังหน่อย
“เขารับหน้าที่เป็นผู้กำกับ นักแสดง เขียนบทด้วย สำหรับมุมของแพทก็น่าจะหนักเหมือนกัน สมมุติว่าตื่นตั้งแต่ตีห้า ทำงานถึงเที่ยงคืน ถ้าเป็นนักแสดงธรรมดาก็จะมีช่วงพักของเขา พอเป็นผู้กำกับด้วยสั่งคัทปุ๊บเขาต้องไปล่ะวิ่งไปคิดนู่นคิดนี่ต่อไป ว่าซีนต่อไปจะถ่ายอะไรได้อย่างที่ต้องการหรือเปล่า ไม่ได้ก็ต้องแก้ปัญหาเอง หรือว่าวันนั้นอาจจะถ่ายเสร็จเร็วแค่หกโมงในเรื่องของตัวของเขา แต่เขาก็ต้องอยู่ต่อถึงเที่ยงคืน เพื่อที่จะกำกับคนอื่นต่อและก็ตื่นเช้าในวันใหม่เหมือนกัน แพทคิดว่าไม่ค่อยง่ายเท่าไรสมาธิต้องนิ่งมากแน่วแน่มาก แต่ก็รู้ว่าเขารักในงานของเขา รู้ว่าเขาอยากให้งานของเขาออกมาดีที่สุดอยู่แล้วค่ะ เพราะเวลาเขารักเขาก็จะทุ่มเทกับทุกอย่างอยู่แล้วก็เป็นสิ่งที่ดีค่ะ แต่ว่าเขาก็ทำงานหนักไปนิด แอบงีบหลับห้านาทีก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ ทั้งวันต้องใช้พลังงานจนหมดเกลี้ยง ขนาดแค่เราเป็นแค่นักแสดงเองกลับบ้านไปยังเพลียเลย เพลียมาก แต่ในช่วงเวลาระหว่างวันเราก็ยังมีเวลาได้นอนบ้าง แต่อย่างของเขาก็ไม่ได้นอนเลยกลับไปก็คงสลบ หมดปิดจ๊อบพอดีวันหนึ่ง”
Q: ผู้กำกับคนนี้โหดไหม
“ก็ถ้าเล่นไม่ได้เขาก็ตบ ตี เข่า ศอก ก็ไม่ค่ะ ล้อเล่น (หัวเราะ) จริงๆ เขาเป็นคนอารมณ์ดีเขาก็อยากให้ทุกๆ คนในกองอารมณ์ดี พอเวลาทำงานก็จะไม่ค่อยเครียดกัน ไม่หน้าบึ้งใส่กันไม่อะไรกันแบบนี้ บรรยากาศก็จะสบายๆ อารมณ์ดี ชิว ดูเหมือนไม่ได้ทำงานค่ะ”
Q: ฉากที่ประทับใจที่สุดในเรื่องนี้คือฉากไหน
“ส่วนฉากที่ประทับใจนะค่ะเป็นช่วงเวลาของคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ก็คือไปถ่ายที่เกาะกูด กับปราณบุรี โลเคชั่นที่ไปถ่ายก็สวยมากน้ำสวยใสแจ๋ว อย่างบ้านคุณยายอย่างนี้ข้างหน้าจะเป็นแม่น้ำบรรจบกับทะเล น้ำก็จะสีฟ้าออกเขียวๆ หน่อยๆ กับบรรยากาศบ้านที่ดูแล้วอบอุ่น บรรยากาศโดยรวมก็เยี่ยมมากๆ ค่ะ และบาร์ของโรเจอร์อ่ะ ก็จะเป็นบาร์ที่ติดอยู่ริมทะเลจะเป็นบาร์แบบชิวๆ สบายๆ โปร่งๆ เปิดๆ เป็นฉากที่เซ็ตขึ้นมาใหม่แต่ทำทุกอย่างสมจริงมากสวยมากค่ะ”
Q: แดนขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ทำงานได้เป๊ะมาก แต่ว่ามีฉากไหนที่เป็นฉากหลุดของเขาบ้างไหม
“ในเรื่องก็จะมีซีนที่ทำอาหารเกาหลีที่ทำทานกัน ในตัวของชวดเองเนี้ย คือบุคลิกของเขาเวลาเขากินอะไรที่เผ็ดๆ เขาจะสะอึก และพอในเรื่องเขาก็กินๆ ปุ๊บแล้วเขาก็สะอึกๆๆ ไปเรื่อยๆ แต่ว่าพอสะอึกเสร็จปุ๊บเขาก็ควรที่จะสะอึกต่อแต่พี่แดนดันเรอออกมา ตอนนั้นในฉากทุกคนตกใจแล้วก็ขำกันมากพี่ๆ ทีมกล้องหรือว่าพี่ๆ หน้ามอนิเตอร์ก็ขำก๊ากกันหมด พี่แดนเรอน่าจะเรอออกมาจริงๆ ค่ะ อาจจะไปกินโซดามาหรือว่ายังไงเรอออกมาแบบยาวมาก ก็ อยากให้ลองติดตามดูและก็ซีนนี้ก็มีเรื่องของการแก้สะอึกก็ลองดูกันว่า วิธีนั้นก็จะเอาไปใช้ได้จริงไหม แต่รู้สึกว่าเขาบอกกันว่าใช้ได้จริงก็เอาไปลองดูค่ะ”
Q: การทำงานครั้งนี้มีฉากไหนที่รู้สึกยากไหม
“ฉากนี้ก็ทั้งฮา และยากอยู่เหมือนกันค่ะ เป็นฉากอยู่ในบาร์ ชวดเขาจะให้เรากินค็อกเทล และเราก็แรกๆเราก็แบบเอาวะ ฮึ้บ กลั้นใจกิน ตอนถ่ายอาจจะต้องหลอกกินนิดนึง ถ้ากินจริงๆ ก็คงอาจจะเมาไม่ได้ถ่ายต่อ แต่ว่ามันจะบางอันบางช็อตที่กินแล้วมีเหล้าจริงๆ แบบหลุดออกมาอะไรอย่างนี้ค่ะ มันจะมีอันหนึ่งเป็นค้อกเทล ที่เขาเทมาจากทาวเวอร์ข้างบนมันก็จะไหลๆ ลงมาเรื่อยๆ ลงที่สามแก้วข้างล่าง กินกันสามคนและพอเทปุ๊บ และด้วยความที่ว่าโต๊ะมันเอนมันไม่ใช่ระนาบตรง มันจะเอนมานิดนึง ส่วนเหล้าที่มันเทไหลลงมามันก็กลายเป็นว่ามันไหลมารวมอยู่ที่แก้วแพทแก้วเดียว ซึ่งไอ้ส่วนที่ไหลลงมามันเป็นเหล้าจริงแล้วกลิ่นแรงมากคือเขาบอกว่ากี่ดีกรีไม่รู้ ซึ่งเยอะมากค่ะและเราก็ต้องใช้หลอดเพื่อการดูดขึ้นมาแล้วแบบพอมันลงมารวมที่แก้วตัวเอง ก็ในใจนึกเอาแล้วไง ก็ต้องกินเพราะว่าถ่ายอยู่ด้วย เราก็ไม่อยากแบบ เออพี่ค่ะมันลงมาแล้ว เราก็แบบโอเค เอาวะ ลองดู เราก็แบบเอาหลอดจิ้มไปแล้วดูดวึ๊บ แล้วแบบกรึ๊บแรกก็ลงคอไปได้ แต่พอกรึ๊บสองแบบอมไว้ในปากไม่กล้ากลืนเพราะว่ากลิ่นมันแรงมาก แรกๆ เราก็พยายามกลืนไปแล้ว ก็ขอเขากินน้ำ ด้วยความที่ว่าต้องถ่ายหลายๆมุมหลายๆช็อตอย่างนี้ คือถ่ายหลายเทคและพอเทคสุดท้ายพอกินเข้าไปเงี้ยเริ่มแบบมองหน้าแล้ว ไม่ไหวแล้วค่ะ ก็ขอพักไปบ้วนข้างๆ ไม่ไหวเพราะกลิ่นมันแรงๆ จริง พอถ่ายฉากนี้เสร็จปุ๊บทุกคนก็บอกว่าได้กลิ่นเลย ได้กลิ่นจากเราเวลาเราพูดกับเขา ได้กลิ่นเหล้าเลยอ่ะ เพราะมันแรงมากจริงๆ”
Q: ในเรื่องนี้มีได้โชว์ลีลาบู๊แบบที่คนดูจะไม่เคยเห็นแพทตี้ในมาดนี้มาก่อน เบื้องหลังการทำงานฉากนี้เป็นอย่างไรบ้าง
“สำหรับฉากบู๊ที่เล่นนะค่ะ ก็ถามๆจากพี่ทีมงานว่าอาจจะใช้สแตนอินมาแทน คือเราต้องกระโดดถีบขาคู่โดยที่กระโดดถีบแล้วตัวลอยอยู่ แต่พอถึงวันจริงปุ๊บก็ไม่ได้มีสแตนอินจริงๆ เราต้องเล่นเองตอนแรกก็ยังเสียวๆ ว่า จะเล่นได้ไหม แต่ตอนเล่นจริงๆก็สนุกค่ะ เล่นจริงถีบจริง พี่แดนเขาวิ่งมาปุ๊บเราก็ถีบ ที่มาของฉากก็คือก่อนหน้านี้ เราทานข้าวกับต้นหลิวอยู่แล้วมีคนมาด้อมๆ มองๆ เราก็นึกว่าโรคจิตที่ไหน และอยู่ดีๆ คนที่วิ่งมาก็คือชวดวิ่งพรวดเข้ามาเราก็ตกใจ กระโดดถีบขาคู่เต็มๆ อกเลย ชวดก็ล้มลงจนต้องส่งเข้าโรงพยาบาล ฉากนี้ก็ถีบจริงค่ะ เสื้อพี่แดนเขาจะใส่เสื้อสีขาว เสื้อก็จะเป็นรอยเท้าแปะ แปะ เต็มไปหมดเลยค่ะ ถ้าถามว่าเขาเจ็บไหมก็คงมีสำลักบ้างค่ะ เพราะว่าตอนที่ถีบก็รู้สึกว่าถีบแรงเหมือนกัน ได้เวลาเอาคืนแล้ว ล้อเล่นนะคะ (หัวเราะ)”
Q: ได้เป็นนางเอกเต็มตัวครั้งแรกมีอะไรจะฝากถึงแฟนๆ ไหม
“ยังไงก็จะฝากเรื่องคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์นะคะ เรื่องนี้บทตัวแพทเองก็ค่อนข้างแปลกใหม่กว่าเรื่องก่อนๆ ที่ผ่านมา อันดับแรกก็อาจจะโตขึ้นกับบทบาทที่ได้รับ ในเรื่องนี้ก็จะมีครบทุกรส มีตลก มีดราม่า มีบู๊ เป็นบทบาทที่รับรองว่าไม่เคยเห็นแพทเล่นแบบนี้มาก่อน ก็อยากให้ติดตามดูเพราะว่าตอนถ่ายก็ค่อนข้างทุ่มเทมากๆ ทีมงานเองทุกคนก็ตั้งใจกับงานชิ้นนี้มากค่ะ เราก็พยายามทำเต็มที่ ก็หวังว่าเรื่องนี้จะทำให้ทุกคนมีรอยยิ้มมีเสียงหัวเราะออกมาจากโรงค่ะ”
Q: เสน่ห์ของคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ แตกต่างจากหนังรักเรื่องอื่นๆ อย่างไร
“ถ้าพูดถึงเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้นะค่ะ ในส่วนที่เป็นเรื่องโรแมนติกคอมเมดี้ก็รับรองว่าต้องมีเสียงหัวเราะแน่นอน แต่ในอีกมุมหนึ่งก็จะมีหลายอารมณ์ในเรื่องเดียวกัน เช่น มีทั้งตลก ดราม่า และก็มีบู๊ ค่อนข้างที่จะรวมทุกอย่างครบรสอยู่ในเรื่องเดียวกัน เป็นเสน่ห์ของมันค่ะ หากชมเรื่องนี้ก็น่าจะสะกิดให้คิดได้ค่ะว่าเราอยากได้ความรักแบบไหน ความรักที่มั่นคงหรือความรักที่มีแต่เสียงหัวเราะ หรือความรักแบบไหนที่จะพาเราไปต่อไปเรื่อยๆ ได้ค่ะ ก็อาจจะฝากเป็นคำถามได้”
Q: ถ้าได้ยินคำว่าคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ จะนึกถึงอะไร
“อันดับแรกก็อาจจะนึกถึงช่วงเวลาการไปเที่ยว อาจจะไปเที่ยวกับแบบครอบครัวหรือใครก็ตามก็เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข เป็นช่วงเวลาแห่งการเปิดโลกใหม่ๆ ไปเที่ยวที่ไหนใหม่ๆ หรือว่าเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่เรากับคนที่เราไปด้วย ค่ะ”
Q: คิดว่าในช่วงเวลา 3 วัน 2 คืนคนเราสามารถรักกันได้ไหม
“ช่วงเวลาสามวันสองคืนจริงๆ อาจจะไม่ถึงขึ้นขนาดรักกันนะ ถ้าขนาดถึงขั้นรักกันเลยอาจจะต้องใช้เวลามากกว่านั้นหรือเปล่า แต่ถ้าอาจรู้สึกดีด้วยหน่อยหรือแบบรู้สึกดีต่อกันก็น่าจะเกิดขึ้นได้ เพราะว่าถ้าเกิดช่วงเวลาสามวันสองคืนที่อยู่ด้วยกันเรามีโอกาสได้ใช้ชีวิตกับเขาก็น่าจะรู้จักตัวตนของแต่ละคนมากขึ้น น่าจะทำให้รู้สึกดีกับใครสักคนหนึ่งได้ค่ะ”
บันทึกภาพ: สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล