“ซันนี่- สุวรรณเมธานนท์” บนดินแดนหลังคาโลกใน “ชัมบาลา”

แชร์ข่าวนี้

 

ผมว่ามันเริ่มมาจากความรัก ความอยากให้เขา อยากทำอะไรให้คนๆ หนึ่งที่เรารัก   สิ่งสำคัญคือการที่เราได้ทำอะไรเพื่อใครสักคน มันย่อมเป็นความรู้สึกที่ดีอยู่แล้ว”

และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่ ชัมบาลา” ของ “วุฒิ” ตัวละครที่เราจะได้เห็นการพลิกบทบาทโดยสิ้นเชิงของ “ซันนี่- สุวรรณเมธานนท์” บนดินแดนหลังคาโลกใน “ชัมบาลา

 

 

Q. เกิดอะไรขึ้นกับ ซันนี่ ทำไมถึงปล่อยให้แฟนๆ รอนานขนาดนี้ หรือที่บอกว่าซันนี่จะเลิกเล่นหนังเล่นละครแล้วจริงรึเปล่า ที่ผ่านมาหายไปไหนไปทำอะไรอยู่

S. คือจริงๆ เวลาเรารับหนัง เราจะแบบอ่านบทมาหลายเรื่องแล้ว และถ้าเราเจอเรื่องที่อยากเล่นที่ชอบจริงๆ เราก็จะอยากทำ มันจะมีไฟขึ้นมา เราอยากรู้สึกแบบนั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้เล่นสายลับผมก็ไปเล่นซิทคอมอยู่ครับ ก็เป็นระยะเวลาช่วงนั้นครับ คือไม่ได้หายไปไหน คือผมออกมาก็เพื่อไปเล่นหนัง ถ้าถามว่าคิดถึงไหมกับหนัง คิดถึงนะ มันก็แบบสนุกนะที่ได้ทำ ได้เป็นตัวละคร แล้วพอมานั่งดูหนังเทียบกับละครแล้วพลังมันต่างกันครับ พอได้ขึ้นชื่อว่าหนังแล้ว มันมีพลังของทุกสิ่งทุกอย่าง เรื่องของการแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นเราจะส่งสายตาหรือว่าอะไร มันเป็นพลัง ผมรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งเวลาเจอบทดีๆ โอ้โหตื่นเต้นมาก จะรู้สึก ยิ่งเรื่องนี้ครับ ยิ่งใหญ่ว่าแบบน่าเล่น

 

Q. โดยส่วนตัวแล้วชอบตัวละครหรือบทแบบไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า

S. จริงๆ แล้ว เวลาดูหนังอะไร ผมจะชอบเวลาดูตัวละครที่มันมีปมอยู่ในใจ มีความหลังอะไรสักอย่างอยู่ในใจ ที่มันต้องค้นหา คือผมชอบเรื่องความสัมพันธ์ของคน มนุษย์เรา แค่เนี้ยะ แค่เรื่องการพูดคุยกัน มันก็มีความรู้สึกอะไรหลากหลายแล้ว และหนังเรื่องชัมบาลานี้มันไม่มีในบ้านเรา สไตล์แบบนี้ ก็เลยอ่านแล้วแบบ อยากทำอะไรที่มันไม่ค่อยมี นานๆจะเล่นที อยากทำ

 

 

Q. เป็นไงมาไงถึงได้เข้ามามีส่วนร่วมในโปรเจ็คต์ภาพยนตร์เรื่อง “ชัมบาลา”

S. กับพี่ปี๊ด (ปัญจพงศ์ คงคาน้อย) ผู้กำกับเรารู้จักมานานมากแล้วสิบกว่าปี เจอแรกๆ ก็นั่งคุยกัน เสร็จปุ๊บเขาก็มีความฝันอยากทำภาพยนตร์ เขาอยากเป็นผู้กำกับหนัง ผมก็รู้มาตั้งแต่ตอนนั้นนะครับ ก็คุยอะไรๆ กับเขาสักพัก อยู่ดีๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่าถ้าเขาทำหนังนะ จะให้ผมเป็นพระเอก ผมก็ฮา สมัยนั้นอายุเท่าไรยี่สิบ ฮา ผมก็ขำเขา ไม่รู้ และผมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการแสดงด้วยซ้ำ สมัยนั้น ก่อนที่จะเล่นหนังเรื่องแรกด้วย ถ้าเกิดมีโปรเจ็คต์หรือเรื่องคิดอะไรในหัว เขาจะพูดหรือส่งมาให้เราตลอดเวลา มันเป็นความฝันของเขา มีบางครั้งที่แบบเอาไปเสนอที่อื่นแล้วเขาไม่ได้เห็นแนวทางของเขาอะไรแบบนี้ และพอเขามาที่นี่ (สหมงคลฟิล์ม) แล้วเหมือนเขาเข้าใจคนทำหนัง แล้วก็เสนอแนวทางให้เขาให้ผ่าน แล้วเขาก็ส่งบทร่างมาให้ผมดูเรื่อยๆ แรกๆ ก็จากไม่เป็นรูปเป็นร่างเลยครับ จนรู้สึกว่าดีขึ้นเรื่อยๆ  ซึ่งก่อนมาถึงชัมบาลาตัวพี่ปี๊ดผกก. เขามีหลายเรื่องมากอยู่ดีๆ ก็ล้มหายไปเลย อ้าวแล้วไอ้นั่นพี่เขียนไว้ไปไหนแล้วล่ะ ผมก็ไม่รู้ว่าขายกินไปแล้วหรือยังไง (หัวเราะ) ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ

 

Q. ทำไมตัดสินใจรับบทนี้

S. เวลาที่คนมาเสนออะไรให้เราครับ ผมรู้สึกภูมิใจตลอดเวลาว่าคนเชื่อว่าเราทำสิ่งๆ หนึ่งหรืออะไรได้หรือเขาชอบการแสดงของเรา และในเรื่องบทผมมีความคิดแบบนี้บทหรือการแสดงของแต่ละอย่างมันไม่มี reference อะไรหรอกครับ ไม่มีว่าตัวละครตัวนี้ต้องเป็นอย่างนี้ เพราะว่ามันเป็นตัวละครที่แต่งขึ้นมาใหม่เราก็ไม่สามารถที่จะต้องไปดูใครหรือทำตามแบบเขาได้เลย มันเป็นการที่เรารู้สึกว่าเราเห็นจากบทนี้ เราอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ เราจะคิดว่าเขาเป็นคนแบบไหน เขาเป็นคนยังไง เราอยากให้เขาเป็นไง เราจะคิดดีไซน์ว่าให้เขาเป็นคนแบบไหนได้บ้าง เราสร้างขึ้นมาครับ และนี้คือที่สุดของพาร์ทการแสดงที่ผมชอบมากที่สุดครับ คือเวลาคิดอยากให้คนๆ นี้เป็นไง อยากให้เขาทำอะไรได้บ้าง


 

 

Q. ในความคิดของเราแล้ว ในภาพรวมทั้งหมดของโปรเจ็คต์นี้อะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่า ชัมบาลา โดดเด่น มีความแตกต่างหรือน่าสนใจกว่าโปรเจ็คต์อื่นๆ ที่มีคนมาเสนอเรา

S. มันคือการไปถ่ายทำที่ทิเบตนะครับ เป็นเรื่องของคนที่ได้ไปอยู่ในสถานที่แปลกๆ ในที่ต่างๆ แล้วเจอกับเหตุการณ์หรืออะไรบางอย่าง ผมรู้สึกว่าดี และยิ่งภาพหนังไทยที่ไปถ่ายทำในที่แปลกๆ คนก็จะไม่ค่อยได้เห็น ผมรู้สึกว่าเออเป็นภาพที่สวยงามดี ที่สำคัญบทหนังเรื่องนี้กระตุ้นเราในเรื่องของนักแสดงด้วยครับ บทที่ดูมีอะไรและมีเจตนาที่ดี มีสิ่งอะไรที่ดี คือเขาจะเลือกเล่าเรื่องแบบว่าไม่ว่าจะเป็นอะไร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แต่ความรู้สึกจริงๆ แล้วอยู่ที่ใจมากกว่า เป็นการเล่าเรื่องในความสัมพันธ์ของมนุษย์ทั่วไปครับ ผมเชื่อว่าความรู้สึกสำคัญกว่าเรื่องอื่นๆ เยอะ สำคัญที่สุดคือเรื่องมันที่เราชอบ แล้วมาดูที่ตัวละครอีกที ซึ่งจริงๆ เป็นการคุยกันเหมือนกันว่าผู้กำกับอยากได้อะไรก่อน และเราจะคิดอะไรได้บ้าง อยากให้มันเป็นแบบไหนได้บ้างและก็มาคุยกันมาแชร์กัน เพราะผมว่าหน้าที่ของนักแสดงมันไม่ใช่แค่เดินมาแล้วมาเข้ากล้องแล้วก็เล่น แอ็คชั่น และก็เล่นไป มันคืออย่างนี้ครับ มันคือความคิดทั้งหมด เพราะว่าที่ผมเล่นมาทั้งหมดมันจะเป็นผู้กำกับจะคอยตามเราในทุกเรื่องครับ

คือเคยมีผู้กำกับคนหนึ่งเคยพูดกับผม คือผมไปเถียงอะไรเขาสักอย่างและเขาบอกว่า เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรและเขาก็เดินไป และผมก็เลยบอกว่าตกลงซีนนี้ยังไง เขาก็บอกว่าคุณคือเป็นนักแสดงคนนั้นผมเป็นผู้กำกับผมต้องเชื่อคุณสิ เขาพูดแบบนี้ ผมรู้สึกว่ามีพลังมากในแง่ของการแสดงครับทุกสิ่งทุกอย่าง จริงๆ บทมันเขียนมาก็เป็นกระดาษนะครับ แต่ว่าสิ่งที่เราพัฒนามัน ตัวละครมันต้องพัฒนาจากตัวละครเองทุกเรื่องอยู่แล้ว และต้องมาคุยอีกทีหนึ่งว่าผู้กำกับอยากได้แบบไหน หรือว่าผู้กำกับเฮ้ยอย่างนี้ไม่เอา อย่างนี้ไม่ใช่แนวทางของผม ก็เป็นการคุยกันครับ แต่ในเรื่องคาแรคเตอร์ การพัฒนาตัวละครคือหน้าที่ของนักแสดง เพราะฉะนั้นจริงๆ เวลาที่มีคนมาถามผมเรื่องคาแรคเตอร์ผมจะไม่รู้เลยนะครับ เพราะผมจะคิดว่ามันคือบุคคลคนธรรมดาคนหนึ่งครับที่มีความคิดแบบนี้ ทำไมถึงตัดสินใจทำแบบนี้ลงไป เพราะอะไร มันต้องคิดจากเห็นผลก่อนครับ เราเห็นจากกระดาษ ทำไมคนนี้ถึงตัดสินใจทำแบบนี้ เราต้องคิดว่าเหตุผลที่เขาเป็นแบบนี้เป็นเพราะอะไร เราก็จะคิดย้อนกลับไป ผมก็เลยไม่มานั่งคิดว่า คาแรคเตอร์จะต้องแบบเซอร์ ดุดัน หรือว่ายังไง หรือว่าจิตใจอ่อนไหว หรือว่ายังไงจะไม่เคยคิดเลยพวกนี้ มันจะแบบกลับเข้ามาเพื่อให้เราสร้าง เพราะมันจะไม่มีอะไรกำหนด เพราะมันคือมนุษย์ธรรมดาที่เรามีหลายอย่างไม่ได้มีคาแร็คเตอร์เดียว นั้นนะครับมันคือความเป็นมนุษย์ครับ มนุษย์ที่สุด

 

 

Q. ถ้างั้นคงต้องเล่าให้ฟังแล้วละว่าในภาพยนตร์เรื่องชัมบาลา รับบทเป็นใครและมีคาแรคเตอร์เป็นอย่างไร

S.ครับ ในภาพยนตร์เรื่องชัมบาลา รับบทเป็น วุฒิ ในแง่ของตัวละครวุฒิจะเป็นคนที่จริงจังเรื่องความรักครับ สิ่งที่ทำอะไรลงไปทุกอย่างคือจะอยู่ในกรอบ คือเขาจะเป็นคนที่ไม่ทำอะไรที่มันประมาทกับชีวิต ทำอะไรก็ต้องถูกต้องๆๆ แต่วุฒิไม่ใช่แบบตรงจนเกินไปนะครับ คือทำชีวิตตัวเองไม่ให้แบบเละเทะ ไม่โลดโผดมากกว่า และก็รักจริง

 

Q. เสน่ห์ของคาแรคเตอร์ตัวละครตัวนี้

S. เสน่ห์ของผู้ชายแบบวุฒิก็จะมีความมั่นคงในตัวเองดูเหมือนว่าจะไม่ยอมออกจากกรอบ ชีวิตไม่โลดโผนไม่ทำอะไรที่เสี่ยง แต่ว่าเขาก็มีทางเลือกของเขา คือเขาก็มีทางที่ยึดมั่น ไม่ใช่ว่าไม่รู้จะไปทางไหนหรือว่าหลงทาง แต่มีความมุ่งมั่น มีเป้าหมายในสิ่งที่ตัวเองจะทำ จะตัดสินใจแล้วเชื่ออย่างนั้น วุฒิก็จะมีความรักกับผู้หญิงชื่อน้ำ ซึ่งเล่นโดยน้องฝน (นลินทิพย์) ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตวุฒิตั้งแต่เปิดเรื่องมาจะอยู่กับน้ำตลอด คือทั้งคู่จะเปิดร้านกาแฟด้วยกัน จริงๆ ในช่วงแรกของชีวิตดูเหมือนว่าวุฒิเองก็หลงทางอะไรบางอย่างอยู่ จนพอมาเจอผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งก็คือน้ำก็ทำให้เขามีเป้าหมายในชีวิตว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไร ก็คือทำเพื่อคนที่เขารู้สึกดีด้วย

ส่วนพาร์ทชีวิตทางครอบครัวของเขาก็จะค่อนข้างห่างๆ กัน  ซึ่งการที่เขาได้เดินทางไปทิเบตเพราะว่าน้ำในเรื่องนี้เขาป่วย ตอนแรกเขากับน้ำต้องไปด้วยกัน แต่วุฒิไม่ได้ไปเพราะติดธุระหลายๆ อย่าง จนตอนนี้น้ำเขาป่วยไปไม่ได้แล้ว ก็จะเหลือเขาที่เขาจะต้องไปทิเบตเอง ไปคนเดียวแล้วมันเป็นภาระกิจและเป้าหมายที่เขายังทำไม่สำเร็จเลยก็ต้องไป อาจจะด้วยความรู้สึกผิดด้วยที่ครั้งที่แล้วไปไม่ได้และก็ตั้งใจทำเพื่อน้ำด้วย คือต้องบอกว่าทั้งวุฒิและน้ำเองก็เหมือนใช้ชีวิตแบบอิสระๆ ชอบท่องเที่ยว ทำโน้นนี้ แล้วก็จะหาเวลาเพื่อไปต่างประเทศด้วยกันตลอด ไปในที่ต่างๆ ไปถ่ายรูปด้วยกัน อยู่ด้วยกัน นี้คือเป้าหมายที่เขามีความสุขด้วยกันในเรื่องแบบนี้ครับ แต่ก็จะมีที่เดียวที่เขาไม่ได้ไปด้วยกันก็คือทิเบต

 

 

Q. ในเรื่องชัมบาลาต้องแสดงร่วมกับอนันดาด้วย

S. ในเรื่องวุฒิจะมีพี่ชายที่ชื่อ ทิน รับบทโดยอนันดา ที่จริงอนันดาอายุน้อยกว่าผมนะ แต่หน้าไปไง (หัวเราะ) ตัวใหญ่ก็ดูเหมือนเขาดูเป็นพี่อะไรแบบนี้ ผมจะมีความรู้สึกว่ามันจะมีบางบ้านที่แบบพี่ชายจริงๆ ก็รักกันแหละ เพียงแต่มันไม่ค่อยได้คุยอะไรกัน เจอกันบ้างนานๆ ทีเจอกันก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกัน เป็นสไตล์ห่างเหิน จริงๆ มันคือความผูกพันที่ตัดกันไม่ขาด เพราะแต่ละคนก็อยู่โน้นอยู่นี้ ซึ่งผมว่านี้มันก็น่าจะลิงค์กับทุกๆ ครอบครัวที่มีพี่น้อง คนเราจะพูดจาแบบนี้ครับพี่น้อง ความแตกต่างของพี่น้องสองคนนี้คือวุฒิพยายามจะมีเป้าหมายมีความรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับครอบครัวกับตัวเองกับอะไร แต่ว่าพี่ชายมันจะแบบไม่รับผิดชอบ เหมือนเวลาทำอะไรเหมือนใช้ชีวิตบนความเสี่ยงครับ คือสิ่งที่เขาทำจะล้มจะพลาดจะอะไรหรือจะมีปัญหาเหมือนเขาไม่กำหนดไว้ก่อน ก็แล้วแต่ดวงแต่อะไรเอา ซึ่งมันจะแตกต่างกัน เรามีความคิดที่ไม่เหมือนกัน ผู้กำกับเขาจะไม่อยากให้คนดูร้สึกติดภาพเดิมๆ อะไร ก็จะเห็นว่าอนันดาเล่นเศร้าโศก พ่อแม่มีปัญหาหรืออะไรตลอดเวลา หน้าเศร้าไฝอยู่งี้ (ซันนี่อำชี้ไฝใต้ตาที่เป็นเอกลักษณ์ของอนันดา) คือตลอดเวลา เพราะไฝเปล่าที่ทำให้ดูแบบต้องเศร้า คือจะเห็นเขาในบทบาทแบบนี้ตลอดเวลา แบบซีเรียส แบบเขาไม่ค่อยพูดจากับใคร ไม่ค่อยหัวเราะ หัวเราะก็น้อยๆ เหอะๆ ซึ่งสำหรับผมที่ผ่านมาคนดูก็จะเห็นในแง่ของการไม่ซีเรียสจะเป็นการที่แบบสบายๆ มากกว่า แต่ทีนี่คือผู้กำกับเขาไม่อยากให้คนติดภาพอะไรพวกนี้ อยากเห็นอนันดาหัวเราะพูดจากวนคนตลอดเรื่อง เล่นต๊องเอาฮาตลอดเรื่อง ซึ่งผมจะเป็นซีเรียส

สำหรับพี่ชายของผมคนนี้นะครับ อนันดา เอเวอริงแฮม ก็รู้สึกดีครับที่ได้มาร่วมงานด้วย ก่อนหน้านี้ก็มีโอกาสได้ดูหนังเขาครับ หนังที่คนบอกว่าซีเรียส น้ำตาๆ ดราม่าๆ อะไรของเขา (หัวเราะ) ก็นั่งดู เออนักแสดงคนนี้มีความดี และมีพลังในการแสดงออกและในการเล่น แล้วเวลาพอได้มาพูดคุยกัน เขามีเจตนาที่ดีและเขาเป็นคนดี ดูเป็นคนนิสัยดีมากเลย แต่อาจนิสัยไม่ดีก็ได้นะ (หัวเราะ) แต่ดูเป็นอย่างนั้น ในความรู้สึกของผมเอาจริงๆ ก็ไปอยู่ที่นู้น อนันดาเอะอะจะถอดเสื้อโชว์กล้ามอะไรไม่รู้ตลอดเวลา (หัวเราะ) เดินมาสะกิดผู้กำกับ พี่เอางี้ไหมเดี๋ยวผมถอดเสื้อนะและวิ่งไกลๆ แล้วพี่ถ่าย สักพักมาอีกวันล่ะ พี่เอางี้ไหม พี่เห็นเขาลูกนั้นป่ะ เดี๋ยวผมถอดเสื้อนะและวิ่ง คือเหมือนเป็นตัวละครในการ์ตูน พี่อยากจะถอดเสื้อไรตลอดเวลาวะ เข้าในป่า เฮ้ยหนาวๆ อยากถอดทำไม ได้รู้ว่าอย่างนี้นี่แหละคืออนันดา (หัวเราะ)

 

 

Q. เห็นผู้กำกับบอกว่าต้องการพลิกบทบาทให้อนันดามาเล่นคอมิดี้บ้าง และให้ซันนี่เล่นดราม่า

S. ผมก็ไม่เข้าใจว่าเขามีความคิดอะไรของเขา (หัวเราะ) แต่ในเรื่องของตัวละครผมเล่นตัวไหนผมจะรู้สึกว่าทุกคนมันแตกต่าง ทุกตัวละครมันไม่มีอะไรที่มันเหมือนกันอยู่แล้ว เพราะว่ามันคือคนละคนกันแค่นั้นเองจริงๆ ก็เหมือนมีความคิดมีปมอะไรในใจ แต่จริงๆ คือเขาเป็นคนที่จริงจังกับทุกๆ อย่างต้องอยู่ในกรอบ จะใช้เงินไปต่างประเทศก็ไม่อยากให้ใช้เงินเยอะ ไอ้นี้ก็แบบไม่แคร์ เอาเงินมาแล้วไปซื้อเบียร์หมดแบบนี้ เราก็จะดูโน้นเราจะไปแวะนี่ เพราะเราจะทำเป้าหมายของเราให้สำเร็จ แต่ไอ้นี้ก็จะทำเสียตลอด เรื่องก็จะเป็นแบบนี้ เพราะว่ามันคือความรับผิดชอบจริงๆ เราเป็นน้องแต่เรามีความรู้สึกว่า ถ้าเราพยายามทำตัวให้มันถูกต้อง ดูแลคนในบ้าน ซึ่งพี่ชายเราก็จะหายไปเลย ทำอะไรในชีวิตเขา เราก็ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน

 

Q.ต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าสำหรับบทนี้

S.จริงๆ ไม่ค่อยครับ มันเป็นการคิดมาแล้ว เราอยากให้เขาเป็นยังไง เราแค่เชื่อในสิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น มันก็จะเป็น สิ่งที่ยากก็คือสถานที่หรือการถ่ายทำมากกว่าต้องไปไกล ถึงนู่นแล้วหายใจไม่ค่อยออก มันหนาวมาก สิ่งที่ยากมันควบคุมไม่ได้ แล้วหนังเรื่องชัมบาลานะครับเป็นเรื่องราวของการเดินทาง ชัมบาลาจริงๆ มันคือสถานที่นะครับเป็นสถานที่ทิเบตที่มีคนบอกไว้ว่า นี่คือชัมบาลาทุกคนต้องไปให้ถึง ต้องไปเจอแล้วจะรู้สึกอะไร แต่เราก็ไม่มีข้อมูลเลยว่าเราไปแล้วจะเจออะไร ไปแล้วมันจะอยู่ที่ไหน หรืออะไรจุดไหนจริงที่มันเรียกว่าชัมบาลา มันไม่มีรูปให้ดูครับ มันมีแต่คนบอกว่าแถวนี้คือชัมบาลา อยู่ในเป้าหมายเป็นสถานที่

 

 

Q. ในการเดินทางสู่ทิเบต และการค้นหา สิ่งที่เรียกว่า “ชัมบาลา” สำหรับซันนี่แล้วมันน่าสนใจอย่างไร กับการที่ตัวละครตัวหนึ่งที่มีความมุ่งมั่นในศรัทธาที่มีความรักคนรักเป็นแรงบันดาลใจอย่างนี้

S. สิ่งสำคัญคือการที่ได้ทำอะไรเพื่อใครสักคน ผมว่ามันเริ่มมาจากความรัก ความอยากให้เขา อยากทำอะไรให้คนหนึ่งๆ ที่เรารัก ก็คือ ผมว่าการที่เราอยู่ดีๆ เราจะทำอะไรขนาดนี้ ทำสิ่งๆ หนึ่งที่ตัวเองอยากหรือไม่อยากไม่รู้เพื่อใครสักคนหนึ่ง มันเป็นอะไรที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ดีๆ อยู่แล้ว

 

Q. ส่วนตัวแล้วเชื่อใน “พลังศรัทธาของความรัก” มากน้อยแค่ไหนอย่างไร แล้วเคยทำอะไรที่เรียกได้ว่าเป็นพลังศรัทธาของความรักหรือมีความรักเป็นแรงบันดาลใจหรือไม่ อย่างไร

S. เชื่อพลังแห่งศรัทธาในรักไหม คือ ผมเชื่อในบางเรื่อง อย่างครอบครัวเนี่ยะเชื่อมากครับ ผมเชื่อในพลัง คือทำให้ทุกอย่างเพื่อเราได้ คือมันไม่มีข้อแม้ไงครับถ้าเป็นพ่อแม่ เขาเลิกเป็นแม่ลูกอะไรกับเราไม่ได้ คือเป็นแฟนเป็นอะไรมันเลิกกันได้ คือสิ่งๆ นี้มันเลิกกันไม่ได้ และไม่มีความจำเป็นทีจะต้องเลิกด้วย ไม่มีความคิดในหัวเขาด้วยซ้ำว่าเขาจะต้องเลิกเป็น เนี้ยะมันคือรู้สึกที่สุด เนี้ยะมันคือพลังแห่งความรักของจริง ไม่ต้องมาบอกว่าเขารักเราไหม มันส่งมาได้ตลอดเวลา รู้สึกได้

 

Q. ก่อนไปทิเบตคาดหวังว่าจะเจออะไร แล้วพอไปถึงแล้ว

S. คือก่อนไปก็ไม่ได้ศึกษาอะไรมากมาย นึกว่าจะออกจากจีนมากกว่านี้ เราไปผิดฝั่งด้วยครับ ต้องไปอีกฝั่งหนึ่ง จริงๆ ที่เขาไปฝั่งที่ฮิตๆ กันคือเมืองหลวง ลาซา ก็คงเป็นแหล่งท่องเที่ยว คนไปกันเยอะแยะ แต่ฝั่งของชัมบาลาเนี้ยะก็เป็นฝั่งที่เลยจากจีนขึ้นไป จริงๆ ทิเบตจริงๆ ไม่ใช่ประเทศนะครับ เหมือนเป็นแบบแยกออกมาจากจีนอีกทีหนึ่ง ก็คือประเทศจีนครับแต่เป็นคนเหมือนเป็นชนกลุ่มน้อยอะไรแบบนี้ ใหญ่ๆ ก็คือส่วนหนึ่งของจีนครับ จริงๆ ผมก็ไม่รู้ว่าจะเปรียบเทียบยังไงจริงๆ คนก็ไปลาซากันเยอะ ผมไม่เคยไปไงครับ ผมเคยไปแต่ชัมบาลา ผมก็มีความคิดว่าทิเบตเป็นแบบนี้ แต่คนเขาก็แตกต่างกันนะครับ คนทิเบตหน้าตาแตกต่างกับคนจีนก็คือแยกออกมาจาก…ถ้านั่งรถสิบกว่าชั่วโมงได้ก็แตกต่างแล้วแหละ คงจะแยกออกแล้วแหละ (หัวเราะ)

 

 

Q. เสน่ห์ของดินแดนทิเบตนี้ ที่เราได้มีโอกาสไปสัมผัส

S. จริงๆ คือเสน่ห์ของประเทศนี้คือเป็นในแง่ของความคิดมากกว่าความศรัทธาความเชื่อของคนที่นั่น คือในหนังเขาจะบอกตลอดเวลาว่าความเชื่อของคนที่นี่คือเขาทำเพื่อคนอื่น เขาสวดมนต์เพื่อที่ให้คนที่เขารัก ส่วนมากจะเป็นอย่างนี้คือทำผิดเขาจะมีการกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ไปครับ เพราะว่าสิ่งที่ทำเนี้ยะ รู้สึกในความผิดบาปของตัวเองกับคนอื่นนะครับกับตัวเองก็เลยทำแบบชดเชยด้วยการนี้ คือสิ่งที่เขาเชื่อนะครับ ชดเชยด้วยการที่ทำให้ตัวเองลำบากเพื่อคนๆ นั้น เพื่อทำร้ายตัวเราให้เราเจ็บด้วย เพื่อที่จะลบล้างความผิดที่ทำกับเขาไว้นี่คือประเด็นหลัก ก็จะเป็นเรื่องความเชื่อตลอดเวลาที่มีให้เห็นที่มีธงผูก (ธงมนต์) มีคนเดินมาจะมีอะไรหมุนๆ (กงล้อมนตรา) ที่เห็นบ้าง จริงๆ ก็จะสะท้อนครับว่าเขาเห็นในเรื่องอะไร คือไม่ได้เห็นจริงจังขนาดนั้นจะเห็นใกล้ๆ วัดที่มีคนทำ แต่จริงๆ คือที่เราไปเป็นช่วงที่แบบใบไม้ร่วงแล้วเพื่อจะเข้าฤดูหนาว ที่ผมไปในแบบใบไม้ร่วงนี้คือเปลี่ยนข้ามวันเลยนะ สมมติแบบเหลืองๆ อยู่อย่างนี้ ถ่ายเสร็จเราก็นอนตื่นลงมาตอนเช้าขาวโพลนหมดเลยเป็นหิมะหมดเลย แบบเปลี่ยนข้ามวัน จริงๆ อยากอยู่ตอนเขียวด้วย คนถ่ายรูปมาแบบไม่เคยเห็นฟ้ามาก่อน ฟ้าแบบฟ้าจริงๆ ไม่รู้ว่าเห็นใกล้หรือสูงจากน้ำทะเลเยอะผมก็ไม่รู้ สีมันครับแตกต่างกันมาก

 

Q. นอกจากตัวอนันดาแล้ว ยังได้ร่วมงานกับนักแสดงหญิงหน้าใหม่ด้วย

S. คือจริงๆ ในพาร์ทผู้หญิงก็จะเจอกันไม่ค่อยเยอะ เพราะเราต้องแยกตัวไปทิเบตด้วยไง ก็ดีครับ ได้เล่นกับฝนซึ่งเขาเป็นนักแสดงใหม่ด้วย เขาก็พยายามทำหน้าที่ของเขาให้ดีที่สุด ก็ดี มีความตั้งใจ ต้องบอกว่าบทน้ำที่ฝนแสดงถือว่ายากและท้าทายครับ คือบทฝนในเรื่องเขาจะเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างจะแข็งแกร่ง เขาเลยทำให้ตัวละครวุฒิซึ่งเหมือนมันไม่มีที่พึ่งอะไร รู้สึกว่ามีเป้าหมายในชีวิต หลังจากที่ได้มาเจอน้ำ และตัวน้ำจะพูดและคอยบอกตลอดเวลาในเรื่องของการอยากให้วุฒิไปเจอชัมบาลา อยากให้ดูแลตัวเอง แข็งแกร่ง เข้มแข็ง เข้าใจในโลก ก็ตั้งแต่ทั้งคู่เจอกันครั้งแรกแล้ว  คือจริงๆ ก็ไม่ได้ถูกใจอะไรกันมาก เหมือนจะต่อล้อต่อเถียงด้วยซ้ำ พอเจอปุ๊บมันเป็นการพูดคุยพบกันโดยบังเอิญมากกว่าครับ แล้วพอทั้งคู่ได้พูดคุยกัน มันเป็นเหมือนแลกเปลี่ยนวิธีคิด คือวุฒิไม่เคยเจอคนๆ หนึ่งที่อยู่ดีๆ มาพูดจาแบบนี้กับเราว่ากลัวทำไมความตายทุกคนก็ต้องตาย เป็นผู้หญิงที่มองเห็นคุณค่าทุกสิ่งอย่าง แม้กระทั่งรูปถ่ายธรรมดา น้ำก็จะเห็นคุณค่าของมัน และเป็นคนที่เลือกมองในอีกแง่มุมหนึ่งที่คนทั่วไปเขาไม่ได้มองกัน วุฒิก็เลยรู้สึกดีต่อผู้หญิงคนนี้และหลังจากนั้นก็ได้คบหาและใช้ชีวิตร่วมกัน เพราะจะว่าไปแล้วความสัมพันธ์ของวุฒิมันก็มีกันอยู่แค่นี้คือคนรักซึ่งคือน้ำ นอกจากครอบครัวที่มีพี่ชายอีกคน ที่หายไปอยู่ที่ไหนกันไม่รู้ เพราะฉะนั้นจะเหลือเขากับน้ำ แค่นั้นคืออยู่ด้วยกันตลอด ไปไหนก็ไปด้วยกันมาตลอด


 

 

Q. ทราบมาว่าในการทำงานจะมีการแชร์ไอเดีย เสนอแนะเรื่องการแสดงระหว่างนักแสดงและผู้กำกับตลอดเวลา

S.ครับก็จะมีคุยๆ กันตลอดเราก็จะช่วยกันทุกตำแหน่งครับ ในเรื่องสมมติผู้กำกับอยากได้ฮาด้วยหรือเล่นมุขด้วย ก็จะมาคิดกันว่ายิงอย่างนี้ฮาไหม เขาก็ถามผู้กำกับ ถามผม ก็จะช่วยกันทั้งหมด ในแง่ของตัวละคร คือจริงๆ รู้สึกได้เลยครับเวลาที่คนเราอยากทำอะไรจริงๆ อย่างอนันดาเขาอาจจะทำงานของเขา เป็นนักแสดง หรือพี่ปี๊ดอาชีพเป็นเบื้องหลังทำอะไรตลอด กลับกันผมรู้สึกว่ายังเฉยๆ มากสำหรับเขา แต่ทุกครั้งเวลาที่พวกเขาพูดถึงหนังกันความรู้สึกมันส่งออกมาได้เลยว่าเขาอยากทำจริงๆ และผมรู้สึกดีที่ได้มีโอกาสมาอยู่เป็นส่วนหนึ่งในหนังของเขา และท้ายที่สุดเราก็ได้ทำความฝันของคนๆ หนึ่งให้เป็นจริง

 

Q. พูดถึงนักแสดงหญิงอีกคนที่ร่วมงานด้วย โอซา แวง

S. จริงๆ กับโอซาไม่ค่อยได้เจอกันมากมายครับ ก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนน่ารักดีครับ จริงๆ เขาเหมือนฟังภาษาไทยออกครึ่งหนึ่งครับและก็พูดได้ด้วย พูดไทยได้ด้วยบางคำ ก็ดูเขามีความตั้งใจจริงๆ นะ แต่เขาชอบมากเลยนะผู้กำกับเนี้ยะผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรหรือเปล่าแต่ผู้กำกับเขาชอบโอซามากเป็นพิเศษ (หัวเราะ)

 

Q. ประสบการณ์การทำงานในทิเบต

S. เรารู้สึกดีครับเพราะว่าตอนเราทำตอนนั้นมันลำบากครับ ในการเดินทางทุกสิ่งทุกอย่าง ไปนอนกลางป่าแบบจะลบยี่สิบ สิบกว่าองศาต้องนอนพื้น เพราะโลเกชั่นที่เราเลือกถ่ายทำไม่สามารถ ไม่มีโรงแรม เพราะต้องขี่ม้าเข้าไปในโลเกชั่น ขี่ม้าข้ามเขาไปในป่า แต่ว่าพอทุกอย่างผ่านมาแล้วก็โอเครู้สึกดีกับมัน แล้วพอได้กลับมาเห็นภาพหรือตัวผลงานที่ปรากฎออกมา พอมองย้อนกลับไปมันรู้สึกดีครับ เราจะไม่เหนื่อยเลย ตอนนั้นมันเหนื่อยในการทำ แล้วกล้าพูดได้ว่าพื้นที่สำหรับหนังแบบนี้มีน้อยมากครับที่เราจะได้เจอ ผมรู้สึกดีมากๆ เลยทำให้ผมต้องคว้าไว้ ผมต้องเล่นเพราะไม่รู้ว่าอีกกี่ปีที่จะได้อ่านบทแบบนี้แล้วรู้สึกดีอย่างนี้ครับ

 

 

Q. ก่อนไปมีการเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า

S. การเตรียมตัว ก็คือจริงๆ แล้วก็มีสิ่งที่เขาบอกเล่ามาทั้งหมดแล้ว แต่เพราะเราก็จะไม่รู้ว่ามันคืออะไร คือว่าหนาว ตอนแรกที่ไปถึงก็ไม่ค่อยนี่หว่าอะไรแบบนี้ แต่พอไปหนาวแล้วเนี้ยะ มันหนาวจริงๆ มันหนาวแบบไม่มีจุดไหนเลยที่อุ่น คือเราจะพยายามหาอะไรไปเกาะ ไปทำอะไร มันทำไม่ได้ คือแบบเปิดแอร์อัดแล้วมีไม่มีผ้าห่มให้ มันเป็นแบบนั้นเลยครับทิเบต แล้วคนเล่าว่านั่งรถไปถึงสิบหกชั่วโมง พอเป็นคำพูดไง เฮ้ยมันก็นานนะ แต่ไม่ค่อยนานเท่าไรมั้งสิบหกชั่วโมงเดี๋ยวก็ถึง ปรากฎว่าก็ยังไม่ถึง สิบหกก็คือสิบหกจริงเพราะเราแทบนับทุกนาทีไม่มีอะไรให้เพลิดเพลินเลย นั่งสองคนจะอ้วกใส่หน้ากันนั่งใกล้กันจนเกลียดไอ้คนนั่งข้างๆ คือทรหดด้วยถนนก็แบบเหมือนสร้างตลอดเวลาครับ

 

Q. ได้ข่าวว่าแม้แต่อาหารการกินก็ยังเป็นอุปสรรค

S. จริงๆ แล้วมีหนึ่งอย่างครับ เวลาที่เราไปเมืองนอกประเทศอะไร ไปแล้วถ้าเป็นยุโรปก็คงต้องมีภาษาอังกฤษ มันคงมีอะไรที่ทำให้เราเข้าใจได้ แต่นี่มาถึงปั๊บจีนล้วน เราคงต้องเอาคนจีนไปด้วยถึงจะช่วยเรามีชีวิตได้ สมมติเรามานั่งกันเองไปกันทั้งกองถ่าย ไปถึงนั่งที่โต๊ะ เฮ้ย หิว ทำยังไง สุดท้ายแต่ด้วยมีความเซอร์อยู่ในตัวไงครับ ก็เลยคือเดินเข้าไปในครัวแล้วชี้ว่าเอานี่ ชี้เนื้อหมู ไปใช้อย่างนี้เลยครับ (ทำท่า) คือมันบอกเขาไม่ได้ ก็ผัดพริกเผา ผัดอะไร เราก็ชี้ๆ ว่าใส่อะไรบ้าง เป็นแบบนั้น  จริงๆ ผมพกข้าวเหนียวไปด้วยนะ พกใส่กระติ๊บไป ไปถึงแข็งโป๊กเลย ครับตอนนั้นที่กินน่าจะมีเนื้อจามรีด้วย แต่จำอะไรไม่ค่อยได้ เพราะตอนนั้น ผมป่วยด้วย ลิ้นมันจะไม่รู้รสอะไรเลย แต่ต้องกินให้หายหิว แต่กินไรไม่ค่อยได้มากเพราะป่วยอยู่ อุปสรรคส่วนใหญ่มีแต่ความหนาว ธรรมชาติต่างๆ เจออะไร สิ่งอะไรเยอะ มันอยู่ในพื้นที่สูงด้วย ขึ้นไปเหนือระดับน้ำทะเล 4 พันฟุต  แล้วช่วงเวลาที่เราไปด้วยคือในฤดูใบไม้ร่วง ก็เปลี่ยนสีแล้ว ใบไม้เปลี่ยนจากเขียวไปเหลืองแล้ว เราก็จะไปช่วงนั้นแล้วมันก็ข้ามวัน เราขึ้นไปนอนปุ๊บถ่ายเสร็จตื่นมาตอนเช้าก็แบบขาวโพลนไปหมดเลย เป็นช่วงหิมะตก เป็นช่วงที่ฤดูมันเปลี่ยนที่เราไม่รู้ เห็นกับตา จากเมื่อวานไม่มี  ยังแห้งๆ อยู่  คือจริงๆ ถ้ามาก่อนหน้านี้มันคงเขียวและสวยมาก แต่เวลาเรามาเป็นช่วงที่ใบไม้ร่วงแล้ว ก็จะเป็นสีเหลืองๆ และเปลี่ยนสี จริงๆ อยากได้สามสี ถ้าได้สามสีจะสวยมาก แต่อาจจะอยู่ที่นั้นสักสี่เดือน กลับมาเปลี่ยนชื่อ ตอนแรกก็ไม่ได้ร้อน ก็ไม่คิดว่าคงหนาวมาก ก็ไม่หนาวมาก แต่พอไล่จากจีนขึ้นไปเชิงตู เราลงเชิงตูนั่งเครี่องบินมาแล้วก็นั่งรถไป หนาวขึ้นตามระยะทางเลยครับไปถึงอุณหภูมิลดทีละนิดๆ หนาวขึ้นตามระยะทาง

 

 

Q. ที่บอกว่าหนาวๆ นี่หนาวระดับไหน

S. อยากให้เข้าใจว่าไม่มีทางพอ ไม่มีที่ว่าจะใส่อะไรแล้วรู้สึกว่าอุ่นจัง สบายใจ ร้อน เหงื่อท่วมไม่มีนะครับ ใส่เท่าไรก็ไม่พอ มีทุกอย่างใส่เข้าไปเถอะ ยิ่งตอนอยู่ในป่าใกล้ชัมบาลา พื้นนี้แบบเย็นอย่างกับน้ำแข็ง ต้องนอนกันอย่างนั้น จุดไฟก็แล้ว อะไรก็แล้ว มีแต่ควัน ดมควันกันตายอีก (หัวเราะ)

 

Q. ร่วมงานกับน้ากล้วย ณัฐวุฒิ กิตติคุณ ผกก.ภาพระดับท็อปของประเทศ (นางนาก, โหมโรง, ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช, องค์บาก ฯลฯ)

S. ชอบมากๆ ในเรื่องนอกจากที่น้ากล้วยเขาเป็นคนนิสัยดีแล้ว น่ารักมากครับ คือในเรื่องของการทำงานของเขา ผมไปดูภาพเขา โอ้โหสวยจังและทำเร็วด้วยนะครับ แสงโน้นนี่ ชอบครับชอบมาก รู้สึกดีที่ได้ร่วมงานกับคนเก่งๆ รู้สึกดีมากครับแล้วภาพที่เราถ่ายออกมามันเป็นสถานที่ที่แปลกตาด้วย ถ้าบ้านเราก็เป็นสถานคุ้นเคยที่เห็นอยู่แล้ว อันนี้เหมือนเราดูหนังฝรั่งที่เห็นแล้วแบบ เฮ้ยที่นี่ที่ไหนคิดไม่ออกไม่คุ้นเลย ก็จะได้ความรู้สึกแบบนั้น อาจจะเป็นสักเรื่องที่ไม่มีเชื้อชาติในโลก เป็นภาพที่แบบไม่รู้ชาติไหน ถ้ามันไม่พูดไทยกันเราจะรู้ไหมว่ามันชาติไหนกัน และนักแสดงแต่ละคนชื่ออนันดา ชื่อซันนี่ โอซา มีฝนคนเดียวที่ดูไทยเนี้ยะแหละ (หัวเราะ) เฮ้ยหนังอะไรเนี้ยะนานาชาติ ซึ่งจริงๆ ต้องบอกว่าการทำงานที่กว่าจะได้ภาพสวยๆออกมาอย่างที่เห็น

 

 

 

Q. เรื่องราวของชัมบาลา

S. ก็สำหรับเรื่องชัมบาลาก็จริงๆ แล้วมันเริ่มจากการเดินทางด้วยความอยากจะทำอะไรให้ใครสักคนหนึ่งก่อน คือด้วยเหตุการณ์นี้เราก็จะมองว่าเป้าหมายเราเป็นอย่างไรก่อน และก็ออกเดินทางโดยที่ดันมีความบังเอิญว่าพี่ชายของเราที่อยู่ดีๆ เละเทะอะไรมาไม่รู้ และกลับมาต้องไปด้วยกัน มันก็เลยเกิดเป็นสถานการณ์ที่ว่าจำเป็นละที่เราจะต้องไปด้วยกันเพราะมันไม่มีใครไปกับเราจริงๆ เพราะเราไปคนเดียวมันคงไม่รอด ก็เลยต้องไปด้วยกัน และเราเองก็ต้องการหาคนถ่ายรูปให้เราด้วยและดันมาเป็นไอ้นี้ ซึ่งแบบไม่เจอกันนานมากแต่ด้วยความสนิทกันที่เป็นพี่ชายของเราก็เลยไปด้วยกัน โดยเป้าหมายคือการค้นหาชัมบาลา ส่วนเป้าหมายของพี่ชายเราก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปค้นหากับเราหรือแค่ไปเปลี่ยนที่กินเหล้าเหมือนที่เขาพูด แล้วทำไมถึงต้องเป็นทิเบต จริงๆ แล้วมันมีเหตุผลมันมีความสำคัญไม่ใช่ เอะอะอยากไปเมืองนอกกันเฉยๆ มันเป็นความรู้สึกที่ นี่เป็นดินแดนแบบนี้มันมีเรื่องความเชื่อหรือเรื่องความคิดความรู้สึกของประเทศนั้นได้เข้ามาหาคนสองคนนี้ที่มีความคิด มีปมอยู่ในใจอยู่ ซึ่งมันตรงกับพวกเขาทั้งคู่ เหมือนความบังเอิญก็เลยได้ไปที่นี่ และก็ได้ไปด้วยกัน แล้วความเป็นทิเบตทำให้เขาคิด ทำให้เขารู้สึก เพราะระยะเวลาการเดินทางในทิเบตมันยาวนานมาก มันเลยเป็นเวลาที่ นี่แหละมีเจอกันอยู่สองคนแค่นี้ มันก็เลยทำให้เรามีความรู้สึกว่ามันมีอะไรในชีวิตของเราที่ขาดหายไป อะไรของชีวิตที่เราต้องการ อะไรในชีวิตเราที่เราต้องดูแล ในเรื่องจะเป็นแบบนั้น

 

Q. นอกจากเรื่องราวของชัมบาลาแล้วซันนี่มีของที่ระลึกเกี่ยวกับความเชื่อและศรัทธาของคนทิเบตมาแนนำด้วย

S. วันนี้นะครับจะมาแนะนำสินค้านำเข้าจากทิเบตนะครับ เปรี้ยง อันนี้ก็เป็นกงล้อมนตรานะครับผม คือจริงๆ จะมีทั้งอันใหญ่อันเล็ก แต่นี่เป็นสำหรับคนที่ใช้ไว้ถือไว้ ข้างในก็จะเป็นคัมภีร์มียันตุ์ก็จะแบบว่าคือหมุนรอบจริงๆ ตามความเชื่อของกงล้อมนตราก็จะสวดหนึ่งรอบ หนึ่งครั้งเท่ากับสวดหนึ่งรอบ แต่ถ้าคนที่ถือไปด้วยเนี้ยะก็จะให้มีสมาธิหมุนและสวดไปด้วย ก็คือคนทิเบตก็จะทำอย่างนี้ เหมือนมีสติแยกความรู้สึกสวดไปด้วย หมุนไปด้วยกงล้อมนตรา แต่เขาจะทำแล้วคิดอะไรเพื่อคนอื่นนะ ถ้าหมุนผิดฝั่งก็ไม่ดีนะครับ แต่เราหมุนไม่ได้แล้ว มีสติแล้วสวดไป

 

Q. ท้ายนี้ฝากอะไรเกี่ยวกับชัมบาลา

S. ติดตามนะครับข่าวคราวของชัมบาลาเข้าฉาย 23 สิงหาคมนี้นะครับ หรือติดตามได้ในอินสตาแกรมนะครับ 99_stepstoshambhala จะมีข่าวคราวว่าเราทำอะไรกันมาบ้างที่ทิเบตก่อนชัมบาลาจะเข้า ดูกันด้วยครับ

 

 

ที่มา:  สหมงคลฟิล์ม
บันทึกภาพ:  สหมงคลฟิล์ม
นำเสนอโดย www.starupdate.com หากนำข่าวไปใช้กรุณาอ้างอิงถึง www.starupdate.com ด้วย
แชร์ข่าวนี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง