กำลังจะมีภาพยนตร์เรื่องใหม่มาฝากแฟนๆ กัน เป็นโปรเจกต์ที่เต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ในแบบที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงแม้แต่ตัวโอบเอง
ครับ ผมกำลังจะมีภาพยนตร์เรื่องใหม่ “ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด…” นะครับ ผมรับบทหนุ่มอีสานหรือผู้บ่าวไทบ้านที่ชื่อ “บักเคน” ครับ ต้องบอกว่าที่ผ่านมาทุกคนอาจจะเห็นโอบในบทหนักๆ เล่นบทซีเรียส เล่นบทดราม่าอะไรแบบนั้น ก็แปลกใจเหมือนกันว่าเวลาคนนึกถึงโอบก็จะชอบเห็นความเครียด หรือความรู้สึกอะไรบางอย่างที่บ่งบอกความรู้สึกทางด้านสายตาให้คนดูได้รู้สึกในเชิงดราม่า แต่ว่าสำหรับเรื่องใหม่นี้จะฉีกไปเลย ทุกคนอาจจะไม่ได้เห็นโอบใน Mood นั้นอีกแล้ว เพราะว่าเรื่องนี้จะมาในแบบภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ที่มันมีหลากหลายอารมณ์มากๆ ก็คือมีความรัก มีความเหงา มีความน่ารักอบอุ่น แล้วก็อกหัก ก็เลยรู้สึกว่าครั้งนี้แหละที่ทุกคนจะได้เห็นโอบในรูปแบบที่ต่างออกไป ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีนะครับสำหรับเราที่มีอาชีพนักแสดงที่ควรจะมีบทบาทใหม่ๆ ให้คนดูได้ชื่นชมและเป็นการท้าทายตัวเองด้วยครับสำหรับหนังเรื่องนี้
เคยคิดหรือรู้สึกแปลกใจมั้ยว่าทำไมที่ผ่านมาเรามักจะได้แต่บทที่ซีเรียส จริงจัง ดราม่า ทำไมไม่ค่อยมีใครเสนอบทสนุกสนาน กุ๊กกิ๊ก วาไรตี้แบบนี้ให้เราบ้างเลย
(หัวเราะ) อันนี้ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะครับว่าทำไมคนถึงเข้าใจแบบนั้น เขาคงคิดหรือเห็นว่าเราทำได้มั้งครับ ยังไม่เคยเห็นว่า เออ…สุดท้ายแล้วโอบก็มาทางนี้ได้นะ ซึ่งเราเองก็ไม่รู้หรอกนะครับว่ามันดีหรือไม่ดี คือโอบรู้สึกว่าพอเราได้มาทำอะไรแบบนี้ มันก็เป็นความสุขในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งคนดูก็อาจจะเห็นละว่า Mood มันเปลี่ยน มันมีความเบาสบาย ดูแล้วสนุกมากขึ้น ไม่มีความเครียด ไม่มี Tension อะไร แต่ว่าสิ่งที่ยากสำหรับโอบก็คือที่ผ่านมาโอบรู้สึกว่าโอบไม่มีเซนส์ทางด้านคอมเมดี้ครับ มันก็เลยกลายเป็นว่าเป็นเหมือนภาพจำของเราว่าคนคงอยากเห็นภาพที่มันเครียดๆ ที่มันเป็น ดราม่า แต่กลายเป็นว่าพอมาถึง “ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด…” พอเราได้ลองทำ มันก็ไม่ใช่ทำไม่ได้ คนเรามันต้องมีการฝึกฝนก่อน พอได้ทำ มันก็สนุกดีนะ มันเป็นรูปแบบใหม่ๆ ที่เราจะดึงเสน่ห์ของเราออกมาให้คนได้เห็นในอีกพาร์ตหนึ่งในการแสดงของเรา คือจริงๆ เป็นเพราะว่าคนส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้เห็นโอบในพาร์ตนี้ หรืออาจจะได้เห็นแต่น้อยมากๆ เลยอยากทำให้ทุกคนได้เห็นโอบในมุมนี้ด้วยนะครับ
ในความโรแมนติคคอมเมดี้ครั้งนี้มีความเป็นผู้บ่าว วัยรุ่นหนุ่มสาวคนอีสาน
คือต้องบอกว่าจริงๆ หนังเรื่องนี้ถ้าตัดคำว่า “อีสาน” ออกไปนะครับ เรื่องนี้ก็จะเป็นหนังรักโรแมนติกคอมเมดี้เรื่องหนึ่งเลย ที่ทุกคนอาจจะไม่เคยเห็นโอบทำอะไรแบบนี้มาก่อน โดยที่ตัวหนังจะเป็นการพูดถึงเรื่องราวความเป็นอีสานของคนรุ่นนี้ก็อายุในรุ่นราวคราวเดียวกับโอบนี่แหละ คนส่วนใหญ่ในรุ่นโอบหรือก่อนหน้าโอบหรืออายุมากกว่าโอบ เขาไปทำงานอะไร ส่วนใหญ่ก็เข้าไปทำงานทำมาหากินที่กรุงเทพฯ ทำงานในเมืองกัน ส่วนพ่อแม่ก็จะอยู่ที่บ้านแล้วก็คิดถึงลูก ส่วนลูกก็คิดถึงพ่อแม่ แต่วันหนึ่งถ้าเขามีโอกาส ทุกคนก็คงอยากที่จะกลับบ้าน มันก็จะได้เห็นบรรยากาศว่าเวลาคนอีสานกลับบ้าน กลับไปกอดแม่ กลับไปช่วยพ่อแม่ดูแลไร่นาที่บ้านเป็นอย่างไร มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ แต่มันเรียกว่าอบอุ่นก็แล้วกันนะครับ นี่คือสิ่งที่ทุกคนจะสัมผัสได้ในหนังเรื่องนี้ นอกเหนือจากความเป็นหนังรักโรแมนติกคอมเมดี้ ซึ่งแน่นอนว่าคนหนุ่มสาวในวัยนี้ที่เป็นคนอีสานที่ไปทำงานในเมือง เราก็จะได้เห็นคนใช้ชีวิต เห็นความฝันของแต่ละคนว่าเขาต้องการอะไรในชีวิต ซึ่งเรื่องนี้ทุกคนจะได้เห็นตัวละครตัวนี้ว่าเขามีความฝันนะ นั่นคือเขาอยากเปิดร้านลาบในฝันเพื่อช่วยครอบครัว ไม่อยากให้แม่ลำบาก แต่ว่าในเรื่องของความฝันของเขา มันก็จะมีที่ว่ากว่าจะไปถึงฝันได้มันจะมีระยะทาง ในระหว่างทางมันจะเป็นอย่างไร มีความสนุกอย่างไร มีความยากอย่างไรในการที่กว่าเขาจะทำร้านลาบของตัวเองได้ มันมีความสนุกอยู่ภายใต้ความฝันของเขานี้ควบคู่กันไป
ทราบมาว่าความน่าสนใจของตัวบทก่อนมาถึงโอบก็เข้าตา “พี่ย้ง ทรงยศ” ที่เป็นคนสกรีนเองด้วย
ครับ ก่อนจะได้บทนี้มามีการคุยกันก่อนกับ “พี่ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์” (ผู้บริหารบริษัทนาดาว-ต้นสังกัดของโอบ) ที่เป็นคนเข้ามาคุยกับโอบเองว่า เฮ้ย…โอบมีหนังเรื่องหนึ่งที่บทดีมาก ทีมงานเขาเป็นทีมงานได้รางวัลมา ก็เลยอยากให้เราเข้าไปอยู่ในผลงานนี้ โอบเลยรู้สึกว่าก็น่าลองดูนะ แต่ยังไม่ได้บอกอะไรนะว่าต้องพูดอีสาน หรือต้องทำอะไรแบบนี้ โอบก็โอเคพี่ น่าสนใจดี ก็เริ่มลงดีเทลไปเรื่อยๆ ว่า มันเป็นงานหนังนะ เป็นโรแมนติกคอมเมดี้นะ แต่ต้องพูดอีสาน ซึ่งโอบก็ช็อกไปเลยว่าทำยังไงดี คือโอบพูดไม่ได้เลย แต่ก็พอจะฟังออกว่าแปลว่าอะไร แต่พอถึงศัพท์ยากๆ จริงๆ โอบก็ฟังไม่ออกอยู่ดีล่ะครับ (หัวเราะ) ฟังไม่รู้เรื่อง สุดท้ายกลายเป็นว่าสิ่งที่เราไม่เคยเก็ตเหล่านี้ เออ…มันน่าสนใจนะ คือโอบเป็นคนที่ชอบอะไรท้าทายอยู่แล้วนะครับ ก็เลยรู้สึกว่ามันน่าจะสนุก ถ้าเราลองลงไปทำอะไรแบบนี้จริงจัง ก็เลยสนใจได้เริ่มไปแคสต์ เขาก็บอกว่าจริงๆ พี่อยากได้คนอีสานนะ เพราะว่ามันใกล้จะถ่ายแล้ว แล้วเวลามันค่อนข้างจะบีบ แล้วทีนี้ถ้าเราได้คนกรุงเทพฯ มามันยาก แล้วน้องพูดไม่ได้ด้วยจะทำยังไงดี เพราะว่าเวลามันกระชั้นชิดมาก ทำยังไงให้คนกรุงเทพฯ พูดสำเนียงอีสานได้ โอบก็แบบโอ้โหเริ่มกดดันตั้งแต่ออดิชันเลย ก็ไม่เป็นไร ตอนแรกก็ลองพูดไปแหละ สุดท้ายแล้วเขาบอกว่าเอางี้นะ ใจเย็นๆ ไม่ต้องกังวลเลยว่าเรื่องจะพูดอีสานหรือไม่พูดอีสาน พูดภาษากลางก่อน โอบเลยโอเคได้ครับ ก็ลองเล่นซีนต่างๆ ไปให้เขาดูแล้วก็รอผล สุดท้ายเขาก็บอกว่าเราได้ มันอาจจะเป็นเสน่ห์ของเรามั้งที่อาจจะถูกใจผู้กำกับ แต่ในเมื่อเราตอบเขาไปแล้ว เราตกลงที่จะไปทำตั้งแต่ตอนแคสติงแล้ว เราก็ต้องทำให้มันดี ถ้าเกิดว่าเราได้ ก็โอเคก็เริ่มหาตัวช่วย อย่างเช่นฟังเพลงลูกทุ่ง ช่วงนั้นก็พยายามที่จะฟังให้มันเยอะๆ นะครับ เพราะรู้สึกว่าถ้าฟังเยอะๆ มันจะเหมือนเป็นการกล่อมประสาทเราให้มันกลืนกินเข้าไป
ทีนี้เรื่องพูด พอได้บทมาก็จะมีคนที่คอยช่วยก็คือเป็นเพื่อน เพื่อนบางคนก็มาจากอีสาน ก็เลยเรียนรู้จากเขา ฟังเขามากขึ้น ได้คุยกับเขามากขึ้น พูดภาษาอีสานใส่มาเลย แต่ทีนี้เราจะตอบผิดๆ ถูกๆ ไปบ้าง ซึ่งผมก็ได้มาเรียนรู้อีกทีหนึ่งในตอนออกกองว่าสำเนียงอีสานในแต่ละจังหวัดแต่ละภูมิภาคไม่เหมือนกัน ซึ่งสิ่งที่ผมเรียนมามันอาจจะเป็นมหาสารคาม ร้อยเอ็ด หรืออะไรอย่างนี้ แต่ผู้กำกับอยากได้สำเนียงขอนแก่น ซึ่งโอบก็ยังไงดีสำเนียงขอนแก่น โอบก็เลยต้องเขียนเป็นภาษาคาราโอเกะ แล้วก็ “พี่บอย” (อุเทน ศรีริวิ) ผู้กำกับก็จะอัดเสียงมาให้ว่ามันพูดประมาณนี้นะ แล้วก็ต้องทำให้มันซึมซับเข้าไปในสมอง เพราะไม่งั้นเวลาที่เราไปถึงหน้าเซต เราจะมาห่วงโฟกัสว่าเราพูดชัดมั้ยนะ เราจะพูดได้สำเนียงแบบนี้มั้ยนะ ซึ่งมันจะทำให้เสน่ห์ของตัวละครตัวนี้ไม่ออก ซึ่งมันเกิดขึ้นครับในตอนแรก แล้วมันเป็นปัญหาใหญ่สำหรับโอบเลย เพราะว่าเราโฟกัสไม่ถูกที่ ซึ่งจริงๆ แล้วเราควรจะต้องโฟกัสไปที่การแสดงรึเปล่า ซึ่งทางพี่บอยจะให้ทีมงานคนหนึ่งเลยคอยประกบโอบแล้วก็คอยนั่งติว คือเป็นติวเตอร์ภาษาอีสานเลยครับ คอยบอกว่าให้พูดแบบนี้ๆ นะ แล้วทีนี้ก่อนจะเข้าฉากจะมีคนพูดแว่วๆ พูดใส่หูเหมือนเป็นผีพรายกระซิบบอกว่าเป็นประมาณนี้นะ เสร็จเข้าแอ็กชั่น เข้าไปพูดเลย มันเลยทำให้เรารู้สึกว่ายากนะ แต่ต้องทำให้ได้ ยากแต่มันแบบเราอยากจะเอาชนะ คือเราเป็นคนที่ต้องการเอาชนะ เราเป็นคนชอบความท้าทาย เราก็แบบจะทำให้ได้จนสุดท้ายมันทำได้ เราก็รู้สึกว่าเออ…เราก้าวไปอีกขั้นหนึ่งแล้วนะสำหรับการแสดงของเรา
ยากมั้ยในการปรับตัวเพราะนอกจากจะต้องเปลี่ยนแนวมาเล่นโรแมนติกคอมเมดี้แล้ว เป็นคนกรุงเทพฯ แท้ๆ แต่ต้องมาหัดเว้าอีสาน
ก็อย่างที่บอกนะครับว่าแต่ละภูมิภาคของสำเนียงอีสานก็จะไม่เหมือนกัน ทีนี้เวลาเราจะพูดอ้อนคนหรือว่าเราจะพูดปกติ บางทีวรรณยุกต์มันจะผันต่างกัน บางครั้งเราพูดปุ๊บขึ้นอีกอันมันต้องลงทันที ซึ่งมันยากมากๆ สำหรับมือใหม่นะครับ แล้วจะต้องพูดยังไงให้เป็นสำเนียงขอนแก่นอีก ซึ่งมันเป็นข้อจำกัดแบบว่าเฮ้ย…มันต้องทำยังไงให้เป็นแบบนี้ มันจะโอ้ย…ยากจัง ทำยังไงดี เราจะต้องพูดให้มันชิน ช่วงนั้นโอบจะแบบไม่มีใครพูดภาษากลางกับโอบเลย โอบพยายามจนกว่าจะได้นะครับ ทีนี้อย่างที่บอกบางทีขึ้น มีหนักมีเบามีค่อย บางทีก็แบบขึ้นปุ๊บแล้วลงทันที แล้วพอลงปุ๊บก็ต้องกลับมาขึ้นอีก แล้วรวมกับการที่เราต้องแสดงไปด้วย มันมีหลายอย่างที่ต้องโฟกัสด้วย ซึ่งมันค่อนข้างที่จะท้าทายมากๆ และยากมากๆ ด้วย ซึ่งไม่เพียงแค่เรื่องสำเนียง การแสดงให้เป็นธรรมชาติ แต่ถ้าเราไม่เข้าใจธรรมชาติ หรือไม่เข้าใจในสิ่งที่เราจะต้องถ่ายทอดในความหมายนั้นๆ มันจะแสดงออกมาไม่ถูกต้อง อย่างเช่นเราไม่ได้อ่านบทเฉพาะของเรานะ เราจะต้องอ่านบทของคนที่เล่นกับเราด้วย ไม่งั้นเราจะรับรีแอ็กแบบแปลกๆ ว่าเฮ้ย…เราไม่เข้าใจจริงๆ นี่นา หรือว่าเฮ้ย…มันหมายความว่ายังไงนะ คือก่อนที่โอบจะแสดง โอบก็ต้องถามเขาล่ะครับว่า พี่อันนี้มันแปลว่าไงทั้งเขาและของคนที่เล่นคู่กับเรา
บทนี้ส่งผลให้โอบได้สัมผัสและเรียนรู้ในความเป็นอีสานอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนยังไงบ้าง
คือบท “เคน” ทำให้โอบได้เปิดโลกใหม่อะไรหลายๆ อย่าง โอบไม่เคยกินลาบสดๆ ทั้งชีวิตโอบไม่ค่อยกินของสด จนมาถึงหน้ากองโอบก็ต้องลองกินดู เพราะว่าโอบเป็นพ่อค้าขายลาบ ก็รู้สึกว่าเออ…มันก็ได้อยู่นะ แต่ว่าบางอันที่เราไม่เคยลองก็ต้องลอง โอบไม่รู้จักแม้กระทั่งดีวัวที่เทออกมาแล้วเป็นสีเขียวๆ เพื่อเอาไปผสมกับลาบ ได้ลองแล้วก็รู้สึกว่า เออ…มันก็โอเคอยู่นะ แล้วก็ได้ไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ มันเป็นวัฒนธรรมของคนที่นั่น เราถ่ายทำกันในสถานที่ที่เป็นแบบดินแดงๆ เลย และบ้านแต่ละบ้านก็จะไม่มีรั้วกั้น มีความใกล้ชิดกัน มีเป็นเพียงที่กั้นเล็กๆ เหมือนในหนังตัวอย่างที่มียายสองคนทะเลาะกันแล้วก็สาดน้ำกันไปสาดน้ำกันมา โอบรู้สึกเหมือนเราได้เจอกับความเป็นอยู่ที่ดีมากอีกที่หนึ่งเลย จากที่ไม่เคยกระโดดลงไปในปลักควาย ท้องนา ลงไปจับปลา โอบไม่เคยทำอะไรแบบนั้น แต่ก็ได้มาทำในหนังเรื่องนี้ หนังเรื่องนี้ทำให้เราได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิตเราเยอะเลยครับ สนุกดี
บท ”บักเคน” ผู้บ่าวไทบ้านเป็นอย่างไรบ้าง
คาแร็กเตอร์ “เคน” เป็นคนสนุกสนานเฮฮา เป็นคนที่มีความฝันเหมือนคนอื่น เขาเป็นตัวแทนของคนหนุ่มอีสานที่เข้ามาทำงานในเมือง สุดท้ายก็รู้ตัวว่ามีความฝันอยากจะมีกิจการเป็นของตัวเอง แล้ววันหนึ่งก็คิดโป๊ะไอเดียขึ้นมาได้ว่าเฮ้ย…อยากเปิดร้านลาบให้แม่ว่ะ ก็เลยกลับมาบ้านเพื่อที่จะได้มาอยู่กับแม่จริงๆ แล้วโอบก็รู้สึกว่าคนอีสานจริงๆ เขาก็คงไม่อยากจากบ้านไปไกลๆ เขาก็คงอยากจะอยู่กับบ้านกับครอบครัว แต่ว่ามันมีเหตุจำเป็นที่จะทำให้เขาจะต้องออกไปทำงานหาเลี้ยงชีพ เคนตั้งใจจะกลับมาบ้านอยู่กับแม่และเปิดร้านลาบให้แม่ แล้วก็ได้มาเจอผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกสเปก แล้วก็รู้สึกหลงรักเขา ชอบเขา แล้วเขาเองก็มาช่วยเติมเต็มความฝันของเรา และมาช่วยเติมเต็มชีวิตของเรา แต่ทุกอย่างก็มีอุปสรรคที่เขาต้องเผชิญและผ่านมันไปให้ได้ ถ้าพูดถึงในมุมมองของตัวโอบที่มีต่อเคนนะครับ คนดูจะได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างในตัวของเคน ความเปิ่นที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของผู้ชายคนนี้ เวลาอยู่กับแม่ เวลามีความรัก แล้วก็มีความกวนตีนเวลาอยู่กับเพื่อน ซึ่งในหนังคนดูก็จะได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างอยู่ในตัวคาแร็กเตอร์ของบักเคนครับ
การได้ร่วมงานกับศิลปินนักร้องทั้งรุ่นใหญ่มากฝีมือและรุ่นใหม่ไฟแรง
ครับ โอบก็ได้มาทำงานกับนักแสดงใหม่ๆ และที่สำคัญทุกคนเป็นคนอีสานหมดเลยครับ มีผมเป็นไข่แดงจุดเดียวในนั้น ซึ่งเราจะทำอย่างไรให้เรากลมกลืนไปกับเขา แล้วก็เป็นครอบครัวเดียวกัน และเป็นทีมเวิร์กเดียวกัน ซึ่งการทำงานร่วมกับ “พี่แอน อรดี” ปกติเราจะเคยเห็นพี่เค้าอยู่บนเวที เป็นหมอลำ หรือว่า “พี่เต้ย จักร์รินท์” ที่ร้องเพลงในไมค์ทองคำ จนพอถึงวันที่ได้ร่วมแสดงด้วยกัน คือเขาช่วยเราได้เยอะมากๆ เลยครับ คอยช่วยโอบว่าจะต้องทำโน่นทำนี่ทำนั่น แล้วก็คอยเป็นติวเตอร์ให้โอบ เป็นคนคอยช่วยติวให้โอบว่าต้องพูดประมาณนี้นะ สำเนียงต้องประมาณนี้นะ หรืออย่างพี่แอนเองเวลาที่ต้องเขาฉากด้วยกัน พี่แอนเขาก็จะคอยช่วยเรา รู้รึเปล่าคำนี้แปลว่าอะไร โอบต้องพูดประมาณนี้นะ หรือบางอันที่เป็นสำเนียงอีสานจริงๆ หรือเป็นคำอีสานจริงๆ ที่โอบไม่รู้เขาก็จะแนะนำให้ บางทีโอบพูดแล้วแบบว่ามันไม่ถูก หรือว่าเอาประโยคที่มันง่ายกว่านี้แต่ว่าความหมายมันเหมือนเดิม เขาก็จะคอยอยู่ช่วยตรงนั้นให้ ซึ่งโอบต้องขอขอบคุณมากๆ ที่ทำให้โอบรอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้
แล้วพอมาถึงพาร์ตการทำงานกับรุ่นใหญ่ “แม่แดง” ที่ต้องเล่นเป็นแม่เรา เหมือนน้ำตาแกสั่งได้เลย คือเขาเป็นรุ่นใหญ่ที่รุ่นเดอะจริงๆ ครับ และเป็นการทำงานที่ราบรื่นมากๆ แล้วก็ตลกมากๆ เลยครับ แม่แดงจะมีเสียงหัวเราะที่เป็นเอกลักษณ์ แล้วทุกคนเหมือนเอ็นดูโอบ จะคอยช่วยให้โอบรอดให้ได้ เขาก็จะคอยช่วยว่าลูกๆ ต้องแบบนี้นะ คอยสอนคอยดูเรา ส่วน “พี่ฝ้าย เมฆะ” ที่เล่นเป็นเพื่อนโอบ พี่ฝ้ายนี่เจอกันวันแรกแบบมาเล่นด้วยเลย เพราะว่าเราจะต้องอยู่ด้วยกันนานมากๆ แล้วเราต้องเล่นเป็นเพื่อนสนิทกัน พอมาถึงพี่ฝ้ายบอกว่าเล่นหัวได้เลยนะ ตบหัวได้เลยนะ โอบบอกว่าไม่ดีมั้ง เพราะว่าในบทมันจะต้องมีตบกันจริงๆ แล้วที่นี้พอมาถึงวันแรกพี่ฝ้ายบอกน้องสบายมากเลย ตบพี่ได้เลยตั้งแต่วันนี้ โอบบอกว่าเดี๋ยวก่อนดีกว่าครับพี่ ทุกคนก็น่ารักและคอยเอ็นดูโอบ
ส่วนรุ่นเล็กอย่าง “น้องเนม” ก็รู้สึกว่าเป็นหนังเรื่องแรกที่ทำได้ดี ซึ่งตอนถ่ายก็สงสารน้องเขามาก เพราะน้องเขาคิวแบบแน่นมากๆ คือบินจากกรุงเทพฯ ไปกลับขอนแก่นเป็นว่าเล่นเลย คือโชว์จากกรุงเทพฯ เสร็จปุ๊บ ต้องไปโชว์จังหวัดอื่นๆ แล้วก็ต้องบินกลับมาถ่ายที่นี่ รู้สึกว่าน้องเขาคิวเยอะมาก แต่ก็สามารถทำสิ่งนี้ได้ แบบเก่งมากๆ แล้วก็ทุ่มเทมากๆ ครับ นับถือใจเขามากๆ จริงๆ แล้วเนี่ยจากที่เราเห็นเขาน่าจะงานเยอะมากๆ วันหนึ่งน่าจะมี 3-4 งาน แล้วบางทีงานแต่ละงานมันไม่ใช่จังหวัดเดียวกัน บางทีกรุงเทพฯ บางทีอีสาน บางทีต้องไปภาคอื่นๆ ซึ่งคิวเขาถือว่าเป็นคิวทอง ซึ่งโอบอยากรู้เหมือนกันนะว่าเขาทำการบ้านยังไง เพราะเวลามาถึงหน้ากองปุ๊บ เขาสามารถเข้าเป็นตัวละครตัวนั้นได้เลยโดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยด้วยนะ แต่ว่าเขาอาจจะแบบพอทำงานเสร็จปุ๊บ เขาอาจจะสลบไปเลยก็ได้ ก็รู้สึกว่านับถือใจเขามากๆ ที่แบบเขางานเยอะขนาดนี้ ยังทำงานออกมาได้ดีขนาดนี้
เป็นภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้เรื่องแรกในชีวิต และที่สำคัญได้ประกบ “แอน อรดี” นักร้องสาวเสียงดีฉายา “หมอลำสาวเน็ตไอดอล” ทั้งสวยทั้งมีฝีมือ
ก็ต้องขอเล่าให้ฟังก่อนนะครับถึงตัวละคร “เฟิร์น” ที่พี่แอนรับบทในเรื่องนี้ โอบว่าตัวละครตัวนี้มันมีเสน่ห์อะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าเฮ้ย…ทำไมเราถึงชอบเขาวะ เราอาจจะบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร แต่สุดท้ายมันก็คือความมีเสน่ห์ของผู้หญิงคนนี้ เวลาที่เราจะรักใครสักคนหนึ่งหรือจะชอบใครสักคนหนึ่ง เราอาจจะไม่จำเป็นต้องมีอะไรที่ต้องอธิบายเยอะ รักก็คือรัก ชอบก็คือชอบแค่นั้น แล้วก็ด้วยความที่พี่แอนเองเขาแสดงออกมา มันอาจจะเป็นความเป็นธรรมชาติผสมกับความโก๊ะของเขามั้งครับ รวมถึงพาร์ตที่เป็นคนรักครอบครัว คือชีวิตของผู้หญิงคนนี้เขาต้องดูแลแม่ ดูแลน้อง ดูแลครอบครัว เพราะพ่อเขาไปทำงานที่กรุงเทพฯ หรือว่าไปทำงานในเมือง ผมก็เลยรู้สึกว่าไม่แปลกใจที่ผู้ชายคนนี้ไปชอบเฟิร์น ส่วนทางด้านการทำงานร่วมกัน จำได้ว่าพี่แอนตอนแรกชอบมาบอกว่าฝากด้วยนะ ฝากพี่ด้วยนะ โอบก็จะพูดกลับไปว่า พี่แอนฝากโอบด้วยนะ ช่วยโอบด้วยนะ มันก็เลยเป็นเหมือนการทำงานแบบเชื่อใจไว้ใจกัน ก็เลยรู้สึกว่าเป็นการทำงานที่ราบรื่น พี่แอนก็น่ารัก นิสัยดี คือจะทำอะไรพี่แอนก็จะเป็นคนที่คอยช่วยเราตลอดว่าจะต้องทำอย่างไร แบบนี้ๆ นะซึ่งบางครั้งเราก็จะมีคอมเมนต์อะไรไปบ้าง พี่แอนถามว่าโอบรู้สึกอย่างไร บางทีโอบก็บอกว่าพี่แอนๆ อาจจะต้องเพิ่มอะไรอีกนิดหน่อย เพื่อให้มีการรับรีแอ็กอะไรให้มันแปลกมากขึ้น ให้มันตรงจุดมากขึ้นหรือให้ขยี้จุดนี้มากขึ้น
รู้สึกอย่างไรกับการทำงานร่วมกันของโอบที่เป็นสายนักแสดงกับแอนที่เป็นสายนักร้อง แล้วต้องมาแสดงเป็นผู้บ่าวผู้สาวคู่รักที่ต้องทำให้คนดูเชื่อให้ได้
สำหรับเคมีความรักของผู้บ่าวผู้สาวคู่นี้ก็อยากจะให้ทุกคนติดตาม เพราะเป็นสิ่งที่ดำเนินเรื่องราวของหนัง เราไม่รู้ว่าคนดูจะคิดอย่างไรนะ แต่ในฐานะนักแสดงเรารู้สึกว่ามันแปลกนะ เป็นแบบใหม่ที่เราไม่เคยทำอะไรแบบนี้ มันก็แปลกดีที่เรารู้สึกเป็นโมเมนต์ในชีวิตเรา มันมีโอกาสเกิดขึ้นแบบนี้ได้ด้วยเหรอ เราอาจจะได้เห็นอะไรหลายๆ แบบที่โอบกับพี่แอนไม่น่าจะเคยได้ทำ หรือไม่น่าจะมีใครเคยเห็นมาก่อน อย่างเช่นวันหนึ่งช่วยกันทำลาบซึ่งแต่ละคนทำลาบไม่เป็น แล้วก็จะกินได้รึเปล่า แต่ทำออกมาจะต้องกินได้ หรืออย่างซีนคาราโอเกะหรือดูหนังด้วยกัน อาจจะเห็นซีนกุ๊กกิ๊กๆ ที่มีการป้อนป็อปคอร์นกันและกัน แล้วก็ได้เห็นซีนขี่มอเตอร์ไซด์ฮ่างซึ่งแทบจะไม่ค่อยเห็น นั่งมอเตอร์ไซค์ชิลล์ๆ ตากลม ขี่กันไปโน่นขี่ไปดูนี่ ขี่ไปไหว้พระ ขี่ไปแบบหลายๆ ที่มากๆ มันก็เลยรู้สึกว่าอยากให้ทุกคนได้ดูเคมีของเคนกับเฟิร์นละกันเผื่ออาจจะมีใครหลายคนตกหลุมรักคู่นี้
แล้วอย่างหนังเรื่องนี้มันมีหลายอารมณ์ ซึ่งบางครั้งในบางวันมันจะมีการถ่ายทำโดยที่มีซีนดราม่าทั้งวัน หรือว่าเช้าจะเป็นแบบปกติ เย็นจะเป็นดราม่า และกลับมาเป็นปกติอีก สำหรับผมเคยผ่านการแสดงแบบนี้มาบ้างแล้ว แต่พี่แอนที่เป็นนักร้องที่ก้าวข้ามผ่านคำว่านักร้องมาทำงานเป็นนักแสดงแล้วเขาต้องมาเจอจุดนี้ บางครั้งเขาต้องร้องไห้ตอนเช้า แล้วก็กลับมาอารมณ์ดี แล้วก็กลับไปร้องไห้อีก โอบก็รู้สึกว่าเห็นใจเขาเหมือนกันนะ แต่เขาก็ทำได้ดีมากเลยครับ คือในเวลาที่แบบบางครั้งผู้กำกับจะแบบเอาอีกๆ พี่แอนก็บอกว่าได้ แต่บางทีเวลาร้องไปน้ำตาจะหมดแล้ว พี่แอนก็จะมีทริกครับผม โอบก็จะบอกว่าพี่แอนกินน้ำเยอะๆ เลยเดี๋ยวมันก็จะเติมเข้าไปเอง พี่แอนก็จะทำตามคำแนะนำของเรา และก็จะมีการร้องต่อได้ ผมก็เลยรู้สึกประทับใจ เพราะว่ามันเป็นเหมือนการก้าวไปอีกสายอาชีพหนึ่ง เพราะการเป็นอาชีพนักร้องนักแสดงมันไม่ได้เหมือนกันนะครับ เขาก้าวข้ามผ่านจุดของตัวเองเพื่อมาเป็นนักแสดง แล้วพี่แอนทำได้ในระดับนี้ โอบรู้สึกว่าเขาก็ทำได้ดีมากๆ ครับ
สำหรับ “ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด…” โอบมองว่าคอนเซปต์ไอเดียของหนังเรื่องนี้คืออะไร
โอบรู้สึกว่าคอนเซปต์หนังเรื่องนี้มันมีความน่าสนใจ ในความรู้สึกส่วนตัวของโอบมัน Touch คนได้ง่าย ซึ่งคอนเซปต์หลักคืออยากให้คนกลับบ้านโดยเล่าเรื่องผ่านหนุ่มคนหนึ่งที่ไปทำงานในเมืองหรือว่าทำงานไกลจากบ้านแล้ววันหนึ่งเขาอยากจะกลับมาอยู่บ้านดูแลแม่ โอบก็รู้สึกว่าอยากเป็นตัวแทนถ่ายทอดเรื่องราวนี้และสนับสนุนให้ทุกคนกลับบ้าน บางคนอาจจะไม่สามารถกลับไปอยู่ได้เลย แต่อยากให้ทุกคนกลับไปบ้านบ้าง ไปหาครอบครัวพ่อแม่และคนที่เรารัก เพราะเชื่อว่าเขาต้องรอเราด้วยความคิดถึงแน่นอน แต่หนังก็จะมีพูดถึงทั้งเรื่องของครอบครัว ความรัก ความฝัน ทำให้เส้นเรื่องนี้มันมีความสนุกมากขึ้น เพราะหลังจากที่เรากลับมาทำร้านลาบให้แม่แล้วนะ เคนจะทำ Mission ของความรักยังไงให้มันสำเร็จ โดยการที่มีผู้หญิงคนนี้คอยช่วยเรา คอยอยู่ข้างกายเรา
การร่วมงานกับ “บอย-อุเทน ศรีริวิ” ผู้กำกับที่ปลุกปั้นหนังอีสานยุคใหม่ที่มี “ผู้บ่าวไทบ้านฯ” ต่อเนื่องกันมาเป็นเรื่องที่ 4 แล้ว
พี่บอยเป็นคนที่ตั้งใจ เป็นคนที่ตลกและดุในเวลาเดียวกัน คือพี่บอยเขาตั้งใจมากล่ะครับ มันเลยทำให้รู้สึกว่าเขาจริงจังกับหนังเรื่องนี้มากๆ ผมรู้สึกว่าเขาเต็มที่กับหนังเรื่องนี้มากๆ ก็เลยทำให้มันเป็นไฟในการทำงานกับเราด้วยครับ เพราะเวลาเราทำงานอยู่ในกลุ่มคนตั้งใจทำงานมากๆ เราก็ไม่อยากจะเข้าไปทำให้งานเขาเสีย โอบก็เลยรู้สึกว่าเราเองก็ต้องตั้งใจมากๆ แล้วก็พี่บอยเขาก็เป็นคนที่เอาง่ายๆ ก็เหมือนกับโอบเล่นเป็นพี่บอย เล่นเป็นตัวแทนพี่บอยที่อยากจะเล่าเรื่องของคนๆ หนึ่งซึ่งเขาบอกว่าจริงๆ แล้วมันก็คล้ายๆ กับชีวิตเขาเหมือนกัน เพราะว่าเขาก็เป็นผู้บ่าวไทบ้านคนหนึ่งที่มีความฝันของตัวเองคืออาจจะไม่ใช่แบบว่าอยากจะเปิดร้านลาบหรอก แต่เขาอยากทำหนัง เขาเป็นคนดื้อที่อยากจะทำหนังให้ออกมาสำเร็จ มันก็เป็นเหมือนตัวแทน “เคน” ที่อยากจะทำร้านลาบในฝันของเราให้สำเร็จ คือคนเราเองพอมีความฝันก็อยากที่จะไปให้ถึงฝันให้ได้ โอบก็เลยรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ตั้งใจมากๆ คนหนึ่งเลยครับ ซึ่งคอนเซปต์ของผู้บ่าวไทบ้านก็คือเหมือนเป็นตัวพี่บอยที่เป็นเด็กดื้อคนหนึ่งที่มาถ่ายทอดอารมณ์และเรื่องราวให้คนดูได้ดู
ฉากประทับใจใน “ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด…”
มันเป็นซีนที่ใกล้จะจบแล้วครับที่เราเล่นกับแม่ คือวันหนึ่งรู้สึกเหมือนกับว่าแม่เราเป็นอัลไซเมอร์ แล้วอยู่มาวันหนึ่งแม่เราหายไป พอเราอ่านบทไปแล้วมันมีความรู้สึกทัชความรู้สึกเราเหมือนกันนะตรงที่ถ้าวันหนึ่งเราไม่เหลือใครแล้ว เราเหลือตัวเราคนเดียวแล้วเราจะทำยังไง แล้วพอไปได้แสดงซีนนั้น แม่แดงแกก็จัดเต็มมากๆ ไอ้เราที่เล่นเป็นลูกแล้วแบบแม่มาเบอร์นั้นแล้ว เราก็เลยรู้สึกว่าซีนนี้คนจะได้เห็นและรู้สึกถึงอารมณ์ของเรา 2 คนได้เป็นอย่างดี โอบรู้สึกชอบซีนนี้ตั้งแต่อ่านบท ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องนี้นอกจากจะมีเรื่องความรักของหนุ่มสาวแล้ว ความรักของแม่กับลูกมันก็เป็นความอบอุ่นอีกรูปแบบหนึ่ง ความรักของลูกที่ลาออกจากงานเพื่อมาอยู่กับแม่ มันก็เป็นอีกหนึ่งหน้าที่ที่ลูกที่ดีคนหนึ่งจะทำ แล้วก็รู้สึกว่าได้เล่นกับแม่แดงแล้วอินครับ เขาเก่งเขาส่งอารมณ์อะไรหลายๆ อย่างให้เรา แล้วทำให้เรารู้สึกว่าพอเราได้ไปเป็นตัวละครเคนจริงๆ ทำให้เรารู้สึกว่าเฮ้ย…นี่คือแม่ของเรา แล้วแบบทำให้เรารักเขามากๆ ครับ
แล้วก็มีอีกซีนหนึ่งนะครับอย่างฉากคาราโอเกะ ต้องบอกว่าคาราโอเกะเป็นที่ที่หลายๆ คนน่าจะเคยไปสังสรรค์กันนะครับ ความพิเศษของคาราโอเกะเรื่องนี้คือมันอยู่กลางเขื่อนนะครับ ถ้าใครที่เคยได้ไปโครงการอีสานเขียวที่มีแบบดนตรีกลางเขื่อนน่าจะเคยได้เห็น เพราะอันนี้เราเซตร้านคาราโอเกะขึ้นมาใหม่เลย แล้วความพิเศษของซีนนี้ก็คือนักแสดงทุกคนแทบจะเข้าด้วยกันหมด ทุกคนก็จะแสดงลีลาทางด้านการแสดง หรือการเต้น หรือการทำโน่นนี่นั่นกันแบบทำให้รู้สึกถึงความครึกครื้นและเป็นกันเองมาก มันเป็นความสนุกแบบอยู่ดีๆ จะเอาใครขึ้นมาร้องเพลง อยู่ดีๆ จะมีแบบเต๊าะสาวเชียร์เบียร์กัน มีขี่มอเตอร์ไซค์เมาๆ เข้าร้านจะมาตีกัน มันเป็น Mood แบบที่ไม่เคยได้เจอ แบบว่าทุกคนปล่อยกันสุด และความพิเศษของฉากนี้ก็คื เป็นการเจอกันครั้งแรกของพระเอกและนางเอก เพราะว่าเขาเมาแล้วเขาก็มาร้องเพลงโชว์ลีลาบนเวที มันก็เลยทำให้มีความรู้สึกว่าเฮ้ย…ปิ๊งเลยผู้หญิงคนนี้ ก็เป็นจุดกำเนิดความรักของพระเอกนางเอก
สิ่งที่ได้รับกลับมาจากการมาเป็นตัวละครสำคัญในหนังเรื่องนี้
คือถ้าถามว่าโอบได้อะไรจากหนังเรื่องนี้ โอบได้เห็นบรรยากาศใหม่ๆ รู้สึกว่าวันหนึ่งที่ถนนเข้าไปไม่ถึงบ้านเรา วันหนึ่งที่สัญญาณโทรศัพท์มันขึ้นแค่แบบสัญญาณ Edge แล้วเราแทบจะไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เราต้องอยู่กับธรรมชาติ เป็นหนึ่งเดือนที่จับโทรศัพท์น้อยมากๆ เลยครับ เราจะได้เล่นมือถือแค่ตอนพักหรือตอนกลับที่พักหลังเลิกกองแค่นั้น โอบรู้สึกว่ามันทำให้เราได้สัมผัสได้อยู่กับวัฒนธรรมได้เจอกับคัลเจอร์ใหม่ๆ ที่เราไม่เคยเจอ และเราไม่คิดว่าจะได้เจอด้วยซ้ำ โอบคงไม่ได้เห็นภาพที่ว่าตอนเช้ามีควายประมาณ 20-30 ตัวเดินออกไปเพื่อที่จะไปทุ่งนา แล้วก็คงจะไม่ได้เห็นภาพตอน 5 โมงเย็นที่ควายจะกลับมาเข้าคอก มันเป็นความรู้สึกที่ดีนะ ทำให้เราได้อยู่กับตัวเองมากขึ้นด้วยครับ
ฝากแฟนๆ ที่รอชมการพลิกบทบาทของโอบในภาพยนตร์เรื่องนี้
หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายตัวโอบ เหมือนเปลี่ยนชีวิตการแสดง เพราะว่าคนคงไม่เคยเห็นโอบในรูปแบบนี้ และโอบอยากให้ทุกคนได้เข้ามาเห็น ได้เข้ามาสัมผัสความซื่อๆ ความบ้านๆ ของโอบใน Mood แบบนี้ หนังเรื่องจะทำให้ใครหลายๆ คนรู้สึกอบอุ่น เป็นหนังที่ครบทุกรส ทุกคนจะได้เข้ามาสัมผัสโมเมนต์ต่างๆ และก็จะสนุกไปกับหนังเรื่องนี้ จะรักไปกับทุกตัวละครในหนังเรื่องนี้ ก็ฝากด้วยนะครับสำหรับ “ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด…” 18 พฤศจิกายนนี้แน่นอน รวมถึงเรื่องนี้มีเพลง “คิดฮอตอีหลี” เป็นเพลงประกอบหนังเรื่องนี้ที่ร้องโดย “พี่แอนอรดี” และ “พี่เต้ย ไมค์ทองคำ” ด้วย ฝากติดตามกันด้วยนะครับทั้งหนังและเพลงครับ ขอบคุณครับ
ตัวอย่างเต็ม ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด… (Official Trailer.):
บันทึกภาพ: ฝ่ายประชาสัมพันธ์