“THE POSSESSION” มันอยู่ในร่างคน สยองทะลุพิกัดหวีด กับ วิญญาณร้าย ที่นรกยังต้องผวา

แชร์ข่าวนี้

ประเภท                                      Horror
กำหนดฉาย                               30 สิงหาคม 2012
บริษัทจัดจำหน่าย                     มงคลเมเจอร์
อำนวยการสร้าง                        แซม ไรมี่ (Drag Me to Hell, Evil Dead 1-3, Spider-Man 1-3)
กำกับ                                        โอเล่ บอร์เนดัล (Nightwatch, I Am Dina)
เขียนบท                                    
จูเลียต สโนว์เด็น และ สไตล์ ไวท์ (Knowing)
นำแสดง
                                      เจฟฟรี่ย์ ดีน มอร์แกน (The Losers, Watchmen, The Resident)
เคียร่า เซ็ตวิก (ซีรี่ย์ The Closer, Man on a Ledge, Gamer)
นาตาชา คาลิส (ซีรี่ย์ The Firm, Daydream Nation)
เมดิสัน ดาเวนพอร์ต (Kit Kittredge: An American Girl, ซีรี่ย์ Shameless)

“ผมอยากทำลายสิ่งนี้โดยไม่ต้องคิด แต่ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องเจอกับอะไรหลังจากนั้น”

 

เนื้อเรื่อง

ผลงานการสร้างจากสุดยอดผู้กำกับ แซม ไรมี่ (Drag Me to Hell, Evil Dead Trilogy) และผู้กำกับชาวเดนมาร์คที่โด่งดังในบ้านเกิด โอเล่ บอร์เนดัล (Nightwatch, The Substitute) ผสานพลังกันเล่าเรื่องราวสยองขวัญสุดขีด สร้างจากเรื่องจริงอันน่าสยดสยองของกล่องไม้ปริศนา ที่ปลดปล่อยความชั่วร้ายแห่งอดีตกาลสู่ศตวรรษที่ 21 เรื่องราวและประสบการณ์ของครอบครัวหนึ่งภายใน 29 วัน หลังจากพวกเขาได้รับกล่องไม้โบราณ โดยไม่รู้ตัวว่ามันมีปีศาจร้ายที่รอคอยที่จะเข้าครอบครองวิญญาณของมนุษย์

ความน่าสะพรึงกลัวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเบรเน็ค เริ่มต้นขึ้นจากงานเปิดท้ายขายของ ไคลด์ (เจฟฟรี่ย์ ดีน มอร์แกน) พ่อที่เริ่มคุ้นเคยกับชีวิตหลังจากการหย่าร้างกับภรรยา สเตฟานี่ (เคียร่า เซ็ตวิก) แต่ทุกอย่างก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อลูกสาวของเขา เอ็ม (นาตาชา คาลิส) ซื้อกล่องไม้โบราณที่เธอรู้สึกถูกชะตา และเมื่อเธอนำมันกลับมาบ้าน สิ่งที่แปลกประหลาดก็เริ่มต้นขึ้น

เอ็ม เริ่มถูกกล่องไม้ใบนี้เข้าครอบงำ เธอถือมันไปด้วยทุกหนทุกแห่ง พฤติกรรมของเธอรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไคลด์ ไม่สามารถแยกเธอกับกล่องไม้นี้ออกจากกันได้ ในขณะที่ สเตฟานี่ คิดว่าลูกของเธอกำลังเสียสติ เหตุการณ์สยองและประหลาดเกิดขึ้นมากมายนับครั้งไม่ถ้วน จนในที่สุดก็พบกับความจริงเกี่ยวกับกล่องไม้ปริศนาใบนี้ เมื่อมันกักขัง “ดิ๊บบัค” ปีศาจในตำนานของชาวยิว ที่เข้าสิงร่างมนุษย์ และกัดกินดวงวิญญาณของผู้ใดก็ตามครอบครอง

คำเตือน: อย่าเปิดกล่อง!!

จุดเริ่มต้นการสร้าง

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ความกลัวลึกๆของทุกคนที่ไม่เคยจางหายไปก็คือ การถูกอะไรบางอย่างเข้าสิง แนวคิดที่ว่าร่างกายและจิตใจของคุณ ถูกควบคุมโดยพลังงานที่ไม่ใช่มนุษย์ ที่มีแผนการชั่วร้ายบางอย่าง โดยจุดประสงค์ของปีศาจหรือวิญญาณร้ายก็คือ การครอบครองดวงวิญญาณของเรา แต่ตัวที่มีความพิเศษสุดก็คือ ดิ๊บบัค ที่ถูกเขียนอยู่ในตำนานเล่าขานของชาวยิว ดิ๊บบัค (ที่แปลว่า “ยึดติด”) ว่ากันว่าเป็นวิญญาณชั่วร้ายที่วนเวียนอยู่ในลิมโบ ที่จะเข้าสิงมนุษย์และครอบครองเป็นเจ้าของจิตวิญญาณ โดยเพื่อที่จะกักขังมันเอาไว้ แรบไบ (พระยิว) ก็สร้างกล่องไม้ที่เอาไว้ขังดิ๊บบัคเอาไว้ตลอดไป

มันมีเรื่องราวของ ดิ๊บบัค ที่เล่าย้อนไปถึงในคำภีร์ไบเบิ้ล แต่มันก็กลายเป็นข่าวดังอีกครั้งในศตวรรษที่ 21 เมื่อปี 2004 นักข่าว เลสลี่ กอร์นสตีน ของหนังสือพิมพ์ ลอสแองเจลิส ไทมส์ ได้เขียนบทความถึงผู้ชายที่ประมูลกล่องไม้ปริศนามาจากอีเบย์ ที่ว่าเป็นว่ากักขัง ดิ๊บบัค ซึ่งสร้างความสยองให้เขาจนกระทั่งต้องการกำจัดมันทิ้ง ไม่ว่จะเป็นผมที่หลุดร่วงอย่างไร้สาเหตุ ฝันร้ายที่เกิดขึ้นกับคนในบ้าน อาการป่วยที่หาสาเหตุไม่ได้ การเห็นภาพสุดสยองหรือได้ยินเสียงที่อธิบายไม่ได้ โดยผู้ที่ครอบครองกล่องไม้ชิ้นนี้ทุกคน ต่างก็ยืนยันว่าเจอเหตุการณ์แปลกๆ

กล่องไม้ชิ้นนี้ได้รับความสนใจจากผู้สนใจเรื่องลี้ลับจากทุกมุมโลก ก่อนที่มันจะถูกส่งไปให้ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ที่ชื่อ เจสัน แฮ๊กสตัน ซึ่งเขาก็เป็นคนเขียนที่รวบรวมเรื่องราวให้เป็นหนังสือ โดยทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับมัน ที่สืบไปถึงเรื่องเล่าของชาวยิวกับตำนานของ ดิ๊บบัค และพบว่ามันเป็นของผู้รอดจากเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวยิวอายุ 103 ปี ที่นำเอากล่องไม้นี้ข้ามน้ำข้ามทะเลมายังอเมริกา และเตือนลูกหลานของเธอว่าไม่ว่าจะยังไงก็ตาม… อย่าได้เปิดกล่องนี้เด็ดขาด

เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงทำให้หลายคนสนใจ ซึ่งก็รวมถึง แซม ไรมี่ ผู้กำกับและอำนวยการสร้าง ที่สร้างชื่อจากการทำหนังสยองขวัญคลาสสิกอย่างไตรภาค Evil Dead และ Drag Me to Hell รวมถึงผลงานบล็อคบัสเตอร์ในไตรภาค Spider-Man ไรมี่ เป็นคนที่ชื่นชอบความกลัวที่มาจากจิตใต้สำนึก และเรื่องราวที่บังคับให้คนดูเผชิญหน้ากับความกลัวของตัวเอง และด้วยเรื่องราวของ ดิ๊บบัค ก็อาจทำให้หลายคนต้องขวัญผวา เขารู้สึกว่านี่คือเรื่องราวที่เหมาะแก่การนำมาทำเป็นหนังสยองขวัญ ที่จะทำให้คนดูนั่งไม่ติดกับเก้าอี้ และความกลัวที่จะติดไปกับพวกเขาหลังจากหนังจบ

ไรมี่ เผยถึงจุดมุ่งหมายของการสร้าง The Possession ว่า “พวกเรามีชีวิตอยู่ด้วยความกลัวถึงสิ่งที่ยังไม่รู้ แน่นอนที่เราอยากรู้ว่าผีหรือปีศาจมีจริงหรือไม่ และอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่คุณตาย วิญญาณของคุณจะไปไหน ดังนั้นเมื่อผมได้ยินเรื่องราวของกล่องไม้ดิ๊บบัค และเรื่องเลวร้ายที่มันมอบให้กับใครก็ตามที่ครอบครองหรือเข้าใกล้ มันก็พุ่งตรงไปถึงแกนกลางของความกลัวและความอยากรู้อยากเห็นของพวกเรา ด้วยการอ้างอิงจากเหตุการณ์จริง พวกเราได้รับโอกาสในการสำรวจความสยองขวัญแบบคลาสสิก ด้วยมุมมองของเจเนเรชั่นใหม่”

ผู้อำนวยการสร้าง โรเบิร์ต ทาเพิร์ต เสริมต่อว่า “เรื่องราวมีองค์ประกอบที่ใหม่และแปลก ซึ่งผมและ แซม ไม่เคยได้ยินหรือสัมผัสมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำนานเล่าขานของดิ๊บบัค มันมีความจริงที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด ซึ่งคุณสามารถหาอ่านได้จากอินเตอร์เน็ต มันทำให้โลกยุคเก่าและยุคใหม่เชื่อมต่อถึงกัน มันท้าทายความเชื่อของคุณ หลังจากได้อ่านเรื่องราวสุดสยองที่เกิดขึ้นรอบๆกล่องไม้ชิ้นนี้”

ความน่าสะพรึงกลัวของกล่องไม้ใบนี้ ทำให้กระทั่งทีมงานสร้างจากสตูดิโอ Ghost House ของ แซม ไรมี่ รักษาระยะห่างกับกล่องไม้ของจริง เขาเผยว่า “ผมไม่เคยเห็นกล่องไม้ของจริงเลย และผมก็ไม่คิดที่จะเข้าใกล้มัน (หัวเราะ) เรื่องราวที่อยู่ในดินเตอร์เน็ตก็น่ากลัวพอแล้ว สิ่งสุดท้ายในโลกที่ผมต้องการทำก็คือ การนำมันกลับมาที่บ้านหรือออฟฟิศของผม สิ่งที่ผมต้องเผชิญหน้าอาจอันตรายเกินไป”

ทีมงานผู้สร้างเริ่มที่จะหาแนวทางในการนำเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นกับกล่องใบนี้ มาเรียงร้อยเป็นพล็อตที่เกิดขึ้นในหนัง พวกเขาพบมันในบทภาพยนตร์ของ จูเลียต สโนว์เด็น และ สไตล์ ไวท์ โดย ไรมี่ เล่าว่า “พวกเขานำเรื่องราวที่น่ากลัวที่สุดของแต่ละคนมาทำให้เกิดกับครอบครัวเดียว และการเป็นครอบครัวก็ทำให้เราทุกคนเชื่อมถึง เมื่อเรื่องเลวร้ายต่างๆนาๆเกิดขึ้นกับพวกเขา มันก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าใกล้ตัวมากขึ้น”

เรื่องราวที่สร้างจากเหตุการณ์จริง มักทำให้หนังสยองขวัญกลายเป็นที่จดจำเสมอ ไม่ว่าจะเป็น The Exorcist ที่ได้แรงบันดาลใจจากการไล่ผี ที่เกิดขึ้นนจริงในแมรี่แลนด์, The Amityville Horror ที่สร้างจากประสบการณ์ของ จอร์จ และ เคธี่ ลัซท์ ที่อาศัยอยู่ในบ้านที่เคยประกอบพิธีกรรมบูชาปีศาจ และ The Hills Have Eyes ที่อ้างอิงมาจากครอบครัวกินคนในสก็อตแลนด์ แซม ไรมี่ พูดถึงการนำเรื่องจริงมาเป็นแรงบันดาลใจว่า “เมื่อคุณรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมีเค้าโครงมาจากเหตุการณ์จริง มันก็ยิ่งทำให้คุณเกิดคำถามในใจและความกลัวมากยิ่งขึ้น”

ในการตามหาตัวผู้กำกับ ทีมผู้สร้างก็พบกับตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด นั่นก็คือ โอเล่ บอร์เนดัล ผู้กำกับมือรางวัลชาวเดนมาร์ก ที่กลับมาทำหนังในอเมริกาอีกครั้ง หลังจากที่กำกับหนังสั่นประสาทเรื่องเยี่ยม Nightwatch ทาเพิร์ต เล่าว่า “แซม และผมคิดว่าการทำหนังสยองขวัญ ผู้กำกับจะต้องมีวิสัยทัศน์ที่ตรงกับบรรยากาศของมัน พวกเรารู้สึกว่า โอเล่ มีประสบการณ์ในการทำหนังอย่างที่เราต้องการ ในขณะที่ยังไม่ลืมการสร้างมิติให้กับตัวละคร เพื่อทำให้เรารู้สึกอินไปกับสิ่งที่ครอบครัวนี้ต้องเผชิญ”

ไรมี่ ติดใจ บอร์เนดัล ตั้งแต่ที่เขาได้ดูผลงานการกำกับเรื่อง The Substitute หนังสยองขวัญสัญชาติเดนมาร์ก ที่ว่าด้วยเรื่องของครูสอนแทนที่มาจากต่างดาว เขาเล่าว่า “พวกเราชอบแนวทางที่เขาต้องการทำ The Possession โอเล่ เห็นว่าความกลัวและความระทึกขวัญมีรากฐานมาจากความสัมพันธ์ของมนุษย์ เขามีเซ้นส์ในเรื่องของตัวละคร และก็พยายามสร้างบรรยากาศรอบๆครอบครัวนี้ ที่ต้องรวมพลังและความเชื่อเพื่อเอาชนะปีศาจร้ายตนนี้”

ตั้งแต่เริ่มแรก บอร์เนดัล รู้สึกตื่นเต้นไปกับเรื่องราวนี้ แต่ก็เหมือนกับทีมงานทุกคน เขายืนยันว่ากล่องของจริงจะต้องอยู่ห่างจากสถานที่ถ่ายทำมากที่สุด “ผมได้รับคำเชิญจากคนที่ครอบครองกล่องดิ๊บบัคในปัจจุบัน แต่ผมก็บอกปฏิเสธพวกเขาไป ผมได้ยินเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับมัน และรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะอยู่ใกล้กับของจริง”

บอร์เนดัล พูดถึงแนวทางในการสร้างของเขาว่า “ผมต้องการตีความหนังแนวสยองขวัญให้แตกต่างออกไป สิ่งที่พวกเราต้องการทำก็คือการทำให้ตัวละครมีความเป็นมนุษย์ และแสดงให้เห็นว่าครอบครัวสมัยใหม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกับสิ่งที่อธิบายไม่ได้นี้เช่นไร ไม่เพียงแต่ที่พวกเราจะแสดงให้เห็นว่า เอ็ม ถูกเข้าสิงเป็นยังไง แต่เรายังมอบประสบการณ์ตรงของเด็กหญิง ที่พบว่ามีปีศาจร้ายอยู่ในร่างกายตัวเอง”

ความสับสนภายในครอบครัวเบรเน็ค ที่พบว่าพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับ ดิ๊บบัค และดิ้นรนเพื่อที่จะเอาร่างของลูกสาวของพวกเขากลับคืนมา ผู้อำนวยการสร้าง เจ อาร์ ยัง เล่าว่า “ไม่มีอะไรที่ทรงพลังไปกว่าความต้องการที่จะอยู่รอดของมนุษย์ และ โอเล่ ก็ทำให้มันเป็นแก่นกลางของเรื่อง พวกเราต้องการให้คนดูดีดตัวจากที่นั่งทุกห้านาที แต่ในขณะเดียวกันเราก็อยากให้พวกเขาเดินออกจากโรง และมีอารมณ์ร่วมไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวนี้”

ถึงแม้ว่ากล่องไม้ของจริงจะอยู่ไกลจากทีมสร้าง แต่เรื่องราวหลอนๆก็ยังเกิดขึ้น ยัง เล่าว่า “สิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นตลอดเวลาระหว่างเราถ่ายทำ อย่างตอนที่เราหาห้องที่จะใช้เป็นฉากไคลแม๊กซ์ของเรื่อง ทันใดนั้นหลอดไฟของสป็อตไลท์ก็ระเบิดและดับมืด เราเคยได้ยินว่า ดิ๊บบัค ก็เคยมีเรื่องที่ทำให้หลอดไฟระเบิดจริงๆ อย่างเจ้าของเก่าที่เป็นนักขายของสะสม วันหนึ่งเขาออกไปจากร้าน และกลับมาพบว่าหลอดไฟทุกดวงในร้านระเบิดหมด เมื่อคุณเชื่อมความสัมพันธ์แบบนี้ คุณก็จะเริ่มสงสัยว่าคิดถูกหรือเปล่าที่สร้างหนังเกี่ยวกับกล่องไม้ชิ้นนี้”

การคัดเลือกนักแสดง

เมื่อ ดิ๊บบัค ที่ถูกกักขังมานานถูกปลดปล่อยเข้ามาสู่ร่างของเด็กสาว เอ็ม เบรเน็ค ผู้ชายที่พยายามทำวิถีทางเพื่อช่วยก็คือพ่อของเธอ ไคลด์ ที่พยายามทำทุกอย่าง เมื่อเห็นลูกสาวกลายเป็นคนแปลกหน้า และความสดใสของเธอถูกแทนที่ด้วยพฤติกรรมรุนแรง โดยนักแสดงที่เข้ามารับบทนี้ก็คือ เจฟฟรี่ย์ ดีน มอร์แกน ซึ่งเป็นที่รู้จักจากหนังบล็อคบัสเตอร์อย่าง The Watchmen และ The Losers รวมถึงการแสดงในซีรี่ย์สุดฮิตอย่าง Grey’s Anatomy และ Supernatural

ผู้อำนวยการสร้าง โรเบิร์ต ทาเพิร์ต พูดถึงตัวละครนำว่า “ไคลด์ เป็นคนรักครอบครัว และเขาก็ต้องรวบรวมความเชื่อและความศรัทธาทั้งหมด เพื่อทำให้ลูกสาวของเขากลับมาเป็นเหมือนเดิม ผมคิดว่าคุณจะเชื่อไปกับการเดินทางของ ไคลด์ กับการเป็นผู้ชายไม่สมบูรณ์แบบ ที่พยายามต่อสู้กับสิ่งที่เขาไม่รู้จัก คุณจะเชื่อมต่อถึงเขาและเอาใจช่วยให้เอาชนะกับพลังงานชั่วร้ายที่อยู่ในตัวลูกของเขา”

เจฟฟรี่ย์ ดีน มอร์แกน ก็ถูกดึงดูดด้วยเรื่องราว ที่น่าจะทำให้คนเป็นพ่อแม่ต้องกลัวไปถึงกระดูก เขาเผยว่า “ผมไม่สนใจที่สิ่งคนอื่นเคยทำมาก่อน แต่สิ่งที่ผมสนใจก็คือบรรยากาศและเรื่องราวที่เกิดขึ้น มันเกี่ยวกับการที่ครอบครัวหนึ่งพยายามสู้กับปีศาจร้าย ซึ่งทำให้ความน่ากลัวมีคุณค่าและความหมายขึ้นกว่าหนังสยองขวัญทั่วไป”

มอร์แกน รู้สึกติดใจกับตัวละครอย่าง ไคลด์ ผู้ชายธรรมดาที่พบกับความสยองขวัญที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ “เขาไม่ใช่คนดีซะทีเดียว นั่นเป็นสิ่งที่ดีเพราะนั่นคือสิ่งที่ผมตามหาในตัวละคร สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดก็คือการเป็นพ่อที่ดี แต่เขาก็เป็นคนที่ต้องเจอกับอะไรหลายอย่าง เขาเป็นผู้ชายที่หลงทางตอนที่หนังเริ่ม และเรียงลำดับความสำคัญในชีวิตผิด แต่ตอนหลังเขาก็ต้องถูกสถานการณ์บีบบังคับให้เผชิญหน้ากับความเชื่อของตัวเอง”

มอร์แกน สารภาพว่าจากประสบการณ์ที่ได้รับ ทัศนคติในเรื่องผีและปีศาจของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป โดยยอมรับว่ากล่องดิ๊บบัคทำให้เขากลับมาสงสัยในความเชื่อของตัวเองอีกครั้ง เขาเผยว่า “ผมบอกคุณได้อย่างหนึ่งเลย ผมจะไม่นั่งอยู่กับไอ้กล่องนั้นแน่ๆ เพราะถ้ามีผู้คนจำนวนมากขนาดนี้เชื่อในพลังและอำนาจของมัน ก็ต้องมีบางสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายอยู่อย่างแน่นอน”

เข้ามารับบทเป็นภรรยาเก่าของ ไคลด์ อย่าง สเตฟานี่ ก็คือ เคียร่า เซ็ดวิก ซึ่งเป็นที่รู้จักจากซีรี่ย์ The Closer ที่ทำให้เธอรับทั้งรางวัลเอ็มมี่และลูกโลกทองคำ โดยเธอก็พบว่าสถานการณ์ของครอบครัวนี้น่าสนใจ โดยเฉพาะการเผชิญหน้ากับพลังงานชั่วร้าย และพฤติกรรมที่แปลกประหลาดของลูกสาว

เซ็ดวิก อธิบายว่า “ชีวิตคู่ระหว่าง สเตฟานี่ และ ไคลด์ จบลงไปแล้ว แต่ก็ต้องกลับมาร่วมมือกัน หลังจากที่ลูกสาวของพวกเขากลายเป็นเด็กที่มีพฤติกรรมประหลาด ในแบบที่เธอไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต ฉันคิดว่า สเตฟานี่ พยายามที่จะหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลในสิ่งนี้ แต่ท้ายที่สุดเธอก็พบว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในตัวลูกสาวเธอ”

เช่นเดียวกับ มอร์แกน เมื่อ เซ็ดวิก ถูกดึงดูดด้วยเรื่องราวของความเป็นมนุษย์ ที่ต้องเจอกับช่วงเวลาที่ชวนช็อคและหาคำอธิบายไม่ได้ “ฉันคิดว่าหนังสยองขวัญที่ดี ต้องมีพื้นฐานมาจากตัวละครและความสัมพันธ์ของพวกเขา และฉันก็ยังชอบเรื่องราวที่เกิดขึ้น เมื่อคุณมีอารมณ์ร่วมไปกับมัน ความกลัวก็จะเกิดขึ้นเอง”

ตั้่งแต่เริ่มแรกทีมผู้สร้างก็รู้ดีว่า The Possession ต้องมีนักแสดงเด็กที่เข้ามารับบทเป็นตัวละครที่สำคัญที่สุดอย่าง เอ็ม เพื่อที่จะพาเข้าไปในพื้นที่ความกลัวเข้าถึงกระดูก โดยผู้ชมก็จะได้มองเรื่องราวผ่านประสบการณ์สุดสยองของเธอ โดยเฉพาะการต่อสู้กับปีศาจภายในตัวเอง และการที่จะหาใครบางคนที่จะเข้ามารับบทนี้ บอร์เนดัล ก็ต้องมีการคัดเลือกนักแสดงอย่างเข้มข้น

ผู้กำกับ บอร์เนดัล เล่าถึงการคัดเลือกนักแสดงว่า “ผมทดสอบเด็กหลายคนด้วยการให้ลองแสดงเหมือนพวกเธอถูกอะไรเข้าสิง และนักแสดงที่ชื่อ นาตาชา คาลิส ก็เริ่มร้องไห้ และถ่ายทอดอารมณ์ที่เหมือนจริงที่สุด มันเป็นการออดิชั่นที่น่าทึ่งที่สุดครั้งหนึ่งที่ผมเคยเห็น มันทำให้เราทุกคนขนลุก พวกเราไม่เคยเห็นการแสดงแบบนี้มาก่อน นี่คือสิ่งที่ นาตาชา นำเข้ามาให้กับหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่กลายร่างเป็นปีศาจ แต่มันมีทั้งความเศร้าและสิ้นหวังที่ให้ความรู้สึกว่า เธอถูกบางอย่างเข้าสิงแต่ก็ไม่สามารถควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นได้”

คาลิส ที่เริ่มแสดงหนังตั้งแต่ 7 ขวบ ไม่เคยกลัวในการเข้ามารับบท โดยเธอได้รับโอกาสที่นักแสดงเด็กหลายคนไม่กล้าทำ นั่นก็คือการผลักดันตัวละครไปจนสุดขีด เธอเล่าว่า “มันเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นสำหรับฉัน ในการแสดงเป็นตัวละครที่ถูกเข้าสิง เพราะฉันชอบที่จะท้าทายตัวเอง ฉันมีไอเดียมากมายสำหรับการแสดงตอนที่ถูกเข้าสิง มันเป็นบทบาทที่น่าตื่นเต้นที่สุด”

นักแสดงวัยเด็กก็สามารถถ่ายทอดหัวใจที่กล้าหาญของ เอ็ม เมื่อเธอไม่ยอมแพ้ให้กับ ดิ๊บบัค ง่ายๆ ไม่ว่ามันจะส่งผลร้ายแรงต่อตัวเธอมากแค่ไหน คาลิส อธิบายว่า “เอ็ม ดิ้นรนเพื่อต่อสู้กับมัน แต่มันก็ค่อยๆที่กัดกินเธอจากภายใน และเธอก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงเพื่อกำจัดมัน”

คาลิส ต้องเจอกับการแสดงที่ท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นอยู่กับฝูงมอธนับพันในห้อง การกินเนื้อดิบแบบควบคุมไม่ได้ และเผชิญหน้ากับการไล่ผีของแรบไบผู้อ่อนประสบการณ์ แต่ความกระตือรือล้นของ คาลิส ก็ทำให้ เจฟฟรี่ย์ ดีน มอรแกน รู้สึกประทับใจ โดยเขาพูดถึงเธอว่า “นาตาช่า ทำให้ผมต้องทึ่ง กุญแจสำคัญของเรื่องนี้ก็คือการมีนักแสดงที่น่าเชื่อถือ ในการเข้ามารับบทเป็น เอ็ม ที่ต้องถูกปีศาจเข้าสิง มันไม่ใช่งานง่ายสำหรับใครก็ตาม แต่ นาตาช่า ก็มีพรสวรรค์โดยแท้”

เคียร่า เซ็ดวิก ก็พูดถึง คาลิส ว่า “นาตาช่า ได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนระหว่างการแสดงฉากถูกเข้าสิง แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ทำให้เราได้เห็นลึกลงไปในจิตวิญญาณของ เอ็ม ที่กำลังต่อสู้กับปีศาจภายในร่างกาย ความทุ่มเทในการแสดงของเธอเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นสำหรับพวกเราทุกคน”

สมาชิกครอบครัวเบรเน็คอีกคนก็คือ ฮันนาห์ พี่สาวของ เอ็ม รับบทโดย เมดิสัน ดาเวนพอร์ต ที่เป็นที่รู้จักจากซีรี่ย์ Shameless ด้วความคล้ายและสนิทกับ คาลิส ทำให้ทั้งสองดูเหมือนเป็นพี่น้องกันจริงๆ ผู้อำนวยการสร้าง เจอาร์ ยัง เผยว่า “พวกเธอเหมือนพี่น้องกันจริงๆทั้งในและนอกกองถ่าย ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่เรานำมาช่วยในการเล่าเรื่อง”

ดาเวนพอร์ต นักแสดงวัย 15 ปี พบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับ เอ็ม ใน The Possession เป็นเหมือนฝันร้ายทั้งชีวิตที่เคยเกิดขึ้นกับคุณ “สำหรับ ฮันนาห์ เธอเหมือนสูญเสียน้องสาวไปโดยที่ไม่มีใครรู้สาเหตุ น้องสาวของเธอกลายเป็นพลังงานที่ทำลายครอบครัวนี้ และมันก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูโกลาหล”

สำหรับคนดู ดาเวนพอร์ต ก็คาดหวังว่าพวกเขาจะถูกดึงดูดโดยประสบการณ์ที่ เอ็ม ต้องเผชิญ “ฉันคิดว่านี่คือหนึ่งในหนังที่เมื่อได้ดู คุณก็จะคอยระวังหลังแม้ว่าจะอยู่ในบ้านตัวเอง เพราะคุณรู้สึกว่าความสยองที่เห็นยังอยู่ติดตัวกับคุณ มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นในการได้เห็น”

ในตำนานที่เกี่ยวกับการถูกปีศาจเข้าครอบงำ ทุกศาสนาหรือความเชื่อก็มีหลักฐานถึงความพยายาม ถึงการขับไล่สิ่งชั่วร้ายที่กำลังกัดกินดวงวิญญาณออกไป ด้วยความต้องการความช่วยเหลือแบบหมดหนทาง ไคลด์ เบรเน็ค ก็ใช้บริการของ ซาด็อค ลูกชายของแรบไบ ที่บอกเขาถึงเรื่องราวของ ดิ๊บบัค โดยการคัดเลือกนักแสดงเข้ามารับบท พวกเขาก็เลือกนักร้องแร๊บและเร็กกี้ชาวยิวที่ไม่เคยมีผลงานการแสดงมาก่อน โดยเป็นที่รู้จักกันในชื่อ มาทิสยาฮู

ผู้กำกับ โอเล่ บอร์เนดัล เผยว่า เขาเห็นบางสิ่งที่จับต้องได้เกี่ยวกับ มาทิสยาฮู ที่ทำให้เขาคิดว่าสามารถรับบทเป็น ซาด็อค “บางครั้งการคัดเลือกนักแสดงก็ต้องอาศัยสัญชาตญาณ เมื่อผมพบ มาทิส มันเป็นที่เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด เขาไม่เคยมีประสบการณ์หรือฝึกฝนด้านการแสดงมาก่อน แต่เขาก็เป็นคนมีเสน่ห์อยู่ในตัว”

เช่นเดียวกับผู้กำกับ เมื่อผู้สร้าง แซม ไรมี่ ก็เป็นคนที่สนับสนุน มาทิสยาฮู อย่างเต็มที่ “เขาไม่เพียงเป็นตัวเลือกที่ทำให้ทุกคนต้องแปลกใจ แต่ผมคิดว่าเขาเหมาะสมกับบทนี้ โอเล่ ต้องการที่จะทำให้แรบไบในเรื่องมีความร่วมสมัย และ มาทิสยาฮู ก็เป็นคนที่เหมาะสมที่สุด การแสดงของเขามีความจริงและไม่เหมือนกับตัวละครที่ต่อสู้กับปีศาจทั่วไป เขาทำให้ฉากการไล่ปีศาจเป็นเรื่องใหม่สำหรับผม”

มาทิสยาฮู ก็ชื่นชอบบทภาพยนตร์นี้มาก เขาเผยว่า “ผมอ่านแล้วแทบวางไม่ลง นี่เป็นตัวละครที่ผมคิดว่าว่าตัวเองน่าจะทำได้ดี ซาร์ด็อค เป็นลูกแรบไบ แต่เขาก็แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสังคมชาวยิว สิ่งนั้นทำให้ผมเชื่อมถึงได้ในระดับหนึ่ง นี่คือบทบาทที่มอบโอกาสให้ผมทำในสิ่งที่อยากทำ เป็นสิ่งที่ทำให้ผมกลับไปคิดถึงรากเหง้าของตัวเอง”

ความพยายามในการไล่ปีศาจของ ซาร์ด็อค ทำให้เกิดฉากที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดฉากหนึ่งของหนัง เจฟฟรี่ย์ ดีน มอร์แกน เล่าถึงประสบการณ์ว่า “มันเป็นฉากที่บ้า บ้า บ้า บ้ามาก ในฉากนี้มีผม, เคียร่า, มาทิสยาฮู, นาตาชา และ เมดิสัน ซึ่งเมื่อถึงจุดๆหนึ่ง มันเหมือนกับว่าเราทุกคนจะอินไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันทั้งแปลก จริงจัง และสร้างอารมณ์ร่วมที่สุด บางสิ่งที่น่ากลัวเกิดขึ้นกับทุกคน แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับผู้ชมที่จะได้ดู”

 

เบื้องหลังการสร้าง: “จงกลัวปีศาจที่ไม่กลัวพระเจ้า”

สถานที่ถ่ายทำ

ฉากไคลแม๊กซ์ในการต่อสู้กับปีศาจ ถูกถ่ายทำในสถานที่ที่มีความหลอนเกิดขึ้นจริง นั่นก็คือโรงพยาบาลโรคประสาทริเวอร์วิว ที่ถูกทิ้งให้ร้าง ด้วยอาคารเก่าที่ทรุดโทรม ประวัติศาสตร์ของความวิกลจริต กลัว และการรักษาคนไข้ที่โหดร้าย ทุกอย่างยังคงอยู่ใน บริติช โคลัมเบีย โดยสร้างตั้งแต่ปี 1913 และใช้งานนานถึง 70 ปี โดยปัจจุบันก็ถูกทิ้งร้างไว้ที่มอบบรรยากาศที่น่าขนลุกให้กับละแวกนั้น

เมอร์รี่ แม็คเคย์ ผู้จัดการสถานที่เล่าถึงการเลือกสถานที่ว่า “ริเวอร์วิวมีประวัติศาสตร์ที่น่ากลัว ภายในอาคารก็เป็นเหมือนกับโลกอีกใบหนึ่งเลย เพราะมันถูกทิ้งให้ร้างมานาน คุณจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ยังคงอยู่ที่นั่น ฉันคิดว่ามันทำให้ทีมงานทุกคนมีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องที่เรากำลังเล่า”

การถ่ายทำในสถานที่แห่งนี้ ทำให้ทีมงานและทีมนักแสดงรู้สึกตื่นตัวตลอดเวลา บางคนปฏิเสธที่จะเข้าไปในห้องที่ตัวเองรู้สึกไม่ดี แต่ผู้เขียนบท จูเลีย สโนว์เด็น และ สไตล์ ไวท์ ก็รู้สึกตื่นเต้นไปกับการได้ใช้สถานที่จริง มาใช้ในการสร้างความตึงเครียดสูงสุด ไวท์ เล่าว่า “มันมีความน่ากลัวเป็นสองเท่า ในการถ่ายทำในสถานที่ที่หลายคนบอกว่ามีผีสิง มันมีความน่ากลัวที่เกิดขึ้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งเรื่องจริงและเรื่องที่เราสร้างขึ้น”

ส่วนที่ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่แตกต่างกัน ระหว่างชีวิตครอบครัวและการต่อสู้กับปีศาจร้าย ก็เป็นหน้าที่ของผู้กำกับภาพ แดน เลาส์เซ็น ที่พยายามเล่นกับแสงเงาตลอดทั้งเรื่อง และพยายามแหกกฏของหนังสยองขวัญ เขาเผยว่า “ความน่ากลัวไม่ได้ต้องการแต่ความมืดเพียงอย่างเดียว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็อาจเกิดขึ้นในตอนที่มีแสงสว่างมากที่สุด”

ฉากฝูงมอธ

ผู้ครอบครองกล่องไม้คนปัจจุบัน ได้เล่าถึงเรื่องราวสยองขวัญมากมาย อันหนึ่งก็คือการเรียกแมลงจำนวนมหาศาลออกมา ซึ่งก็รวมถึงแมงป่องและแมลงสาบ เมื่อผู้กำกับ โอเล่ เบอร์เนดัล เข้ามาทำ The Possession เขาก็ได้ตัดสินใจว่าจะใช้แมลงชนิดหนึ่งที่ไม่ค่อยเห็นกันมากนัก ซึ่งก็คือตัวมอธ เขาเล่าว่า “มอธมีความแปลกและเป็นแมลงที่อยู่มานานที่สุดชนิดหนึ่ง และมันมีเรื่องเหนือธรรมชาติหลายอย่างที่เกี่ยวกับมัน รวมถึงพฤติกรรมของมัน ไม่ว่าจะเป็นการกระพือปีกที่น่ากลัว และการที่มันบินเข้ามาคุณโดยไม่ทราบสาเหตุ”

ความต้องการของ เบอร์เดนัล ที่ทำให้ทีมงานทุกคนต้องตกใจ นั่นคือการที่เขาตัดสินใจใช้ตัวมอธของจริงในการถ่ายทำฉากสำคัญ นั่นก็คือฉากที่ เอ็ม พ่นมอธจำนวนมหาศาลออกมาทั่วทั้งห้อง เขาเล่าว่า “การมีนักแสดงที่แสดงร่วมกับควารู้สึกว่า มีแมลงมอธของจริงกำลังเกาะไต่ไต่ตามตัวและหน้าของคุณ คุณก็ไม่ต้องที่จะแสดงความกลัวเลย เพราะมันเกิดขึ้นจริง”

การถ่ายทำฉากฝูงมอธต้องใช้แมลงถึง 2,000 ตัวที่จะบินอยู่ในห้องนอนของ เอ็ม เพื่อทำให้ตัวมอธมีความพร้อมในฉากนี้ พวกเขาต้องนำเข้าพวกมันในสภาพดักแด้ และก็ออกมาเป็นตัวมอธในเวลาที่ไล่เลี่ยกันมากที่สุด ซึ่งผู้ควบคุมกระบวนการนี้ก็คือ แบรด แม็คโดนัลด์ ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง

ผู้อำนวยการสร้าง โรเบิร์ต ทาเพิร์ต เผยถึงสาเหตุในการทำฉากนี้ว่า “พวกเราสามารถสร้างตัวมอธได้ด้วยซีจีไอทั้งหมด แต่ โอเล่ ก็ยืนยันว่าเขาต้องการใช้ของจริง ดังนั้นผมจึงต้องหาผู้เชี่ยวชาญในเรื่องตัวมอธเข้ามา และท้ายที่สุดแล้วก็ทำให้นี่เป็นฉากที่น่าขนลุกและน่าจดจำมากที่สุดสำหรับผม”

ทีมงานทุกคนต่างก็ต้องปรับการทำงานของตัวเองให้เข้ากับธรรมชาติของตัวมอธ โดยผู้ออกแบบงานสร้าง เรเชล โอทูล ก็ออกแบบกำแพงของห้องนอน ด้วยสีที่มอธจะสามารถเกาะติดเองโดยธรรมชาติ ในขณะที่ผู้กำกับภาพ แดน เลาส์เซ็น ก็ต้องให้แสงสว่างกับฉาก โดยที่ตัวมอธจะไม่ถูกรบกวนโดยแสงไฟ และท้ายที่สุดก็คือผู้ดูแลวิชวลเอฟเฟ็ค อดัม สเติร์น ก็ได้เสริมสร้างเพิ่มความน่ากลัวให้กับฝูงมอธ

สิ่งที่สำคัญที่สุดในฉากนี้ก็คือนักแสดง ที่ต้องรับมือกับความกลัวในการที่มีแมลงเกาะทั่วทั้งตัว เจฟฟรี่ย์ ดีน มอร์แกน สารภาพว่า “ผมไม่ใช่คนที่ชื่นชอบแมลงนัก และเราก็มีมอธตัวใหญ่มากมายอยู่ในฉาก ในวันที่เราถ่ายทำฉากนี้ มีตัวนึงเข้าไปในเสื้อของผม และผมก็บอกได้เลยว่ามันไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่าพิศมัยนัก”

นาตาชา คาลิส ที่ต้องเป็นจุดศูนย์กลางของตัวมอธจำนวนมหาศาล ก็เล่าถึงประสบการณ์ว่า “ฉันชอบความท้าทาย แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ไม่คาดฝัน มันมีทั้งสีดำและส้ม และมีอยู่มากมายจนฉันมองอะไรไม่เห็น มันเหมือนกับเวลาที่คุณไปเล่นบันจี้จัมป์ ตอนแรกคุณจะรู้สึกตื่นเต้น แต่เมื่อคุณมองลงไปด้านล่างความรู้สึกก็จะเป็นตรงกันข้าม ตัวมอธบางตัวก็มีหนามเล็กๆบนเท้าที่สามารถเจาะเข้าไปในผิวหนังของคุณ”

กล่องไม้โบราณและปีศาจดิ๊บบัค

เพื่อที่จะทำให้กล่องไม้ดิ๊บบัคของจริงอยู่ไกลจากทีมงานมากที่สุด ผู้กำกับ โอเล่ เบอร์เนดัล ตัดสินใจที่จะสร้างกล่องไม้จำลองขึ้นมา ที่มีหน้าตาและสภาพเหมือนกับชิ้นนี้ถูกประมูลในอีเบย์ โดยกล่องไม้ในหนังจะต้องมีความเรียบง่ายมากพอที่จะเสริมสร้างความน่าสงสัย แต่ก็น่าพิศวงที่จะทำให้ใครก็ตามอยากเปิดมัน

ผู้อำนวยการสร้าง เจอาร์ ยัง อธิบายว่า “มันสำคัญที่เราจะต้องสร้างกล่องไม้ที่ทำให้คุณเชื่อว่า มีอะไรบางอย่างที่ควรอยู่ในนั้นตลอดไป เรเชล โอทูล ผู้ออกแบบงานสร้างของเรามีไอเดียมากมายในการทำ พวกเรายังลงรายละเอียดไปถึงสิ่งที่บรรจุอยู่ในกล่องไม้ของจริง ซึ่งรวมถึงกระดูกนก ปอยผม และไม้แกะสลักปริศนา”

สำหรับตัวปีศาจ ดิ๊บบัค ทีมงานก็ได้หันไปหาผู้ดูแลเมคอัพเอฟเฟ็ค บิล เทเรซาคิส โดย ยัง ก็ได้กล่าวว่า “พวกเราคิดว่า คุณจะมอบรูปลักษณ์ให้ปีศาจตัวนี้ยังไง อะไรที่ถือว่าเป็นหน้าตาของความชั่วร้าย บิล และ โอเล่ ได้ร่วมกันออกแบบว่ามันจะมีรูปร่างแบบไหน วิสัยทัศน์ของพวกเขาก็คือ ไม่ใช่ว่าเราจะแสดงให้คนดูเห็นได้มากแค่ไหน แต่คือการแสดงให้เห็นน้อยแค่ไหนแต่ก็ยังทำให้คุณช็อคได้”

หน้าตาของ ดิ๊บบัค ถือเป็นความลับสุดยอดของหนัง เทเรซาคิส กล่าวว่า “โอเล่ ต้องการบางสิ่งที่ให้ความรู้สึกถึงความคลาสสิกและหน้าประวัติศาสตร์ และผมคิดว่าพวกเราทำกันสำเร็จ” ผู้ดูแลวิชวลเอฟเฟ็ค อดัม สเติร์น เสริมว่า “พวกเราต้องการสร้างบางสิ่งที่ไม่เพียงแต่น่ากลัว แต่ก็ยังยึดติดกับความสมจริงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วย”

สำหรับ โรเบิร์ต ทาเพิร์ต ความหวังในการสร้างหนังที่จะติดอยู่ในความทรงจำของทุกคน และจะทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะหลังจากภาพสุดท้าย ก็คือแรงผลักดันหลักที่จะทำให้ The Possession ออกมาดีที่สุด เขากล่าวสรุปว่า “พวกเราต้องการให้คนดูในโรงรู้สึกแบบนั้น เมื่อหนังสยองขวัญที่คุณเพิ่งได้ดูอ้างอิงมาจากเรื่องจริง และก็อาจเกิดขึ้นกับคุณได้ เรื่องราวของกล่องไม้ดิ๊บบัคคือสิ่งที่พวกเราคิดว่า จะทำให้คนดูต้องรู้สึกกลัวไม่ใช่แค่ในโรงภาพยนตร์ แต่ยังรวมถึงหลังจากพวกเขากลับไปถึงบ้านด้วย”

ทีมนักแสดง

เจฟฟรีย์ ดีน มอร์แกน (รับบทเป็น ไคลด์)

เจฟฟรีย์ ดีน มอร์แกน คือหนึ่งในนักแสดงที่มีคนต้องการตัวมากที่สุดของวงการ โดยผลงานที่ทำให้เขาเป็นที่จดจำก็คือ Watchmen หนังแอ็คชั่นของผู้กำกับ แซ็ค ชไนเดอร์ สร้างจากการ์ตูนคลาสสิก โดยเขารับบทเป็น เดอะ คอมมิเดี้ยน หนึ่งในกลุ่มฮีโร่ที่ปกป้องเมือง The Losers หนังแอ็คชั่นที่สร้างจากการ์ตูน เรื่องราวของหน่วยรบพิเศษที่ถูกหักหลัง และรวมทีมกันเพื่อตามล้างแค้นผู้อยู่เบื้องหลังทุกคน

ผลงานเรื่องอื่นของเขาก็ยังมี All Good Things ของผู้กำกับ แอนดรูว์ จาเร็คกี้ นำแสดงโดย เคิร์สเตน ดันสต์ และ ไรอัน กอสลิ่ง ที่เขารับบทเป็นนักสืบที่เข้ามาเกี่ยวพันกับคดีผู้หญิงหาย รวมถึงการประกบบทกับ เอมิลี่ เฮิร์สช์ ในภาพยนตร์เรื่อง Taking Woodstock ผลงานการกำกับของอัง ลี เขายังแสดงนำในภาพยนตร์สงครามโลกเรื่อง Shanghai ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ จอน คูแซ็ค, โจวเหวินฟะ, กงลี่ และ เคน วาตานาเบ้ จากการกำกับของ มิกาเอล แฮฟสตรอม

ผลงานทางจอแก้วของเขาก็มีเยอะไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น Grey’s Anatomy ที่เขารับบทเป็นผู้ชายที่เป็นโรคหัวใจ และทำให้ อิซซี่ (แคธาลีน ไฮเกิ้ล) ต้องตกหลุมรัก รวมถึงซีรี่ย์แอ็คชั่น/เหนือธรรมชาติอย่าง Supernatural และซีรี่ย์ตลก/ดราม่าสุดฮิตอย่าง Weeds

มอร์แกน มีผลงานล่าสุดในภาพยนตร์ทริลเลอร์ระทึกขวัญเรื่อง The Resident ที่เขาร่วมแสดงกับ ฮิลลารี สแวงค์ โดยก่อนหน้านี้พวกเขาเคยร่วมแสดงกันมาแล้วในภาพยนตร์ดราม่าโรแมนติคเรื่อง P.S. I Love You โดยผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆของเขาก็ยังมีบทรับเชิญในภาพยนตร์ตลกเรื่อง Fred Claus และภาพยนตร์อินดี้แนวตลกเรื่อง Kabluey ที่เขาร่วมแสดงกับ ลิซ่า คูโดรว์

นาตาชา คาลิส (รับบทเป็น เอ็ม)

นักแสดงเด็กชาวแคนาดา คาลิส เริ่มต้นในการแสดงได้อย่างน่าประทับใจทั้งในจอเงินและจอแก้ว ผลงานที่ผ่านมาของเธอก็รวมถึง Donovan’s Echo แสดงคู่กับ แดนนี่ โกลเวอร์ และ บรูซ กรีนวู้ด ที่เปิดฉายครั้งแรกใน Vancouver and Calgary International Film Festivals รวมถึง Daydream Nation คู่กับ แคท เดนนิ่งส์, แอนดี้ แม็คโดเวล และ จอช ลูคัส

ผลงานล่าสุดของเธอก็คือซีรี่ย์สุดฮิตเรื่อง The Firm คู่กับ จอช ลูคัส, มอลลี่ ปาร์คเกอร์ และ จูเลียต ลูอิส ที่เป็นเรื่องราวในอีก 10 ปีต่อมาจากเวอร์ชั่นภาพยนตร์ โดย คาลิส เริ่มเข้าวงการตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ในหนังที่ฉายทางโทรทัศน์เรื่อง Christmas Caper โดยผลงานเรื่องอื่นๆของเธอก็ยังมีมินิซีรี่ย์ Impact ที่แสดงร่วมกับ นาตาชา เฮนส์ทริดจ์ และ Alice มินิซีรี่ย์ของช่อง SyFy

เคียร่า เซ็ตวิค (รับบทเป็น สเตฟานี่)

ผลงาน >>> ซีรี่ย์ The Closer, Man on a Ledge, Gamer, Secondhand Lions

เมดิสัน ดาเวนพอร์ต (รับบทเป็น ฮันนาห์)

ผลงาน >>> Kit Kittredge: An American Girl Mystery, ซีรี่ย์ Bones, ซีรี่ย์ CSI: NY, ซีรี่ย์ ER

ทีมผู้สร้าง

แซม ไรมี่ (ผู้อำนวยการสร้าง)

เขาเป็นทั้งผู้กำกับ อำนวยการสร้าง และเขียนบทให้กับหนังคลาสสิกมานานกว่า 30 ปี โดยในปี 1981 เขาและเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กของเขา บรูซ แคมป์เบล และ โรเบิร์ต ทาเพิร์ต ก็ร่วมกันสร้าง The Evil Dead หนังสยองขวัญที่กลายเป็นตำนานบทหนึ่งแห่งโลกภาพยนตร์ และทำให้เขากลับไปสร้างภาคต่ออย่าง Evil Dead II (1987) และภาคสาม Army of Darkness (1992) โดยปัจจุบัน Evil Dead ก็กำลังจะถูกนำมารีเมค โดยได้ ไรมี่ เข้ามาเป็นผู้อำนวยการสร้าง

ทางด้านโลกของหนังบล็อคบัสเตอร์ ไรมี่ ก็ได้ฝากอีกหนึ่งไตรภาคที่ทำรายได้รวมกันกว่าพันล้านเหรียญอย่าง Spider-Man (2002), Spider-Man 2 (2004) และ Spider-Man 3 (2007) นำแสดงโดย โทบี้ แม็คไกวร์, เคียร์สเทน ดันสต์ และ เจมส์ ฟรานโก้ โดยผลงานเรื่องอื่นๆของเขาก็ยังมี Darkman (1990) หนังแอ็คชั่นที่สร้างจากการ์ตูน นำแสดงโดย เลียม นีสัน, A Simple Plan (1998) หนังโจรกรรมที่นำแสดงโดย บิล แพ็กซ์ตัน และ บริดเจ็ท ฟอนด้า, The Gift (2000) หนังทริลเลอร์ที่นำแสดงโดย เคท บลันเชตต์ และ เคธี่ โฮมส์

ผลงานเรื่องล่าสุดของ ไรมี่ ก็คือ Drag Me to Hell หนังสยองขวัญที่เขากลับไปสู่รากเหง้าของตัวเอง นำแสดงโดย อลิสัน โลห์แมน และ จัสติน ลอง โดยในปี 2013 เขาก็มีผลงานการกำกับสุดอลังการเรื่อง Oz: The Great and Powerful ซึ่งเป็นภาคค้นกำเนิดของ The Wizard of Oz นำแสดงโดย เจมส์ ฟรานโก้, มิล่า คูนิส, มิเชล วิลเลี่ยมส์ และ เรเชล ไวส์

โอเล่ บอร์เนดัล (ผู้กำกับ)

ผลงาน >>> Nightwatch, The Substitute, I Am Dina

จูเลียต สโนว์เด็น และ สไตล์ ไวท์ (ผู้เขียนบท)

ผลงาน >>> Knowing

แดน เลาส์เซ็น (ผู้กำกับภาพ)

ผลงาน >>> Silent Hill, Solomon Kane, The LXG

เรเชล โอทูล (ผู้ออกแบบงานสร้าง)

ผลงาน >>> Try Seventeen, Going the Distance

ที่มา:  สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
บันทึกภาพ:  สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
นำเสนอโดย www.starupdate.com หากนำข่าวไปใช้กรุณาอ้างอิงถึง www.starupdate.com ด้วย
แชร์ข่าวนี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง