บทสัมภาษณ์ “เหมี่ยว ปวันรัตน์ นาคสุริยะ” ผู้พากย์เสียง สดายุ ในภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง “ยักษ์”

แชร์ข่าวนี้

เหมี่ยว ปวันรัตน์ นาคสุริยะ กับบทบาทพิเศษ“สดายุ”
นกเหล็ก สุดเก่าเก๋าไม่กลัวใคร ผู้ถือคติ บินไป บ่นไป
อีกหนึ่งตัวละครที่สร้างมาเรียกเสียงฮาก๊ากจากผู้ชม

     Q: โดยส่วนตัวแอนิเมชั่นมีอิทธิพลอย่างไรกับชีวิตพี่เหมี่ยวบ้าง มีเรื่องไหนที่ชอบเป็นพิเศษบ้างไหม

     M: เด็กๆ ชอบดูการ์ตูนอยู่แล้ว พอโตขึ้นผู้ใหญ่ก็ยังดูการ์ตูนอยู่ เดี๋ยวนี้การ์ตูนมันก็ไม่ได้ใสซื่อเหมือนเมื่อก่อน ถ้าเป็นดิสนีย์มันจะสะอาดมากนะ แต่เดี๋ยวนี้มีหนังอย่าง Shrek  มีขุ่นๆ บ้าง การ์ตูนญี่ปุ่นก็จะเป็นซึ้งๆ บีบๆ อารมณ์  แต่มันจะเป็นโลกที่ทุกคนดูแล้วมีความสุขค่ะ แม้ว่าจะเป็นการ์ตูนซีเรียสก็ตาม เพราะมันเหมือนมาแทนความฝันของเราทุกเรื่องเลย
ส่วนตัวแล้ว พี่ชอบเรื่อง Bambi ชอบเรื่อง The Jungle Book ไม่ได้ชอบตัวเมาคลีนะ ชอบตัวหมี ที่ชื่อบาลู ใน The Jungle Book พี่พูดบทได้หมดเลยเพราะดูซ้ำๆ เป็นร้อยๆ ครั้ง แล้วก็ชอบกลุ่มที่เป็นวอลต์ ดิสนีย์ทั้งหมดค่ะ หลังๆ นี้ก็จะชอบนีโม ชอบการ์ตูนของเขาเพราะมันเป็นการ์ตูนที่บทดีมาก เพราะเราได้มาดูตอนโตขึ้นและเราทำงานสายนี้ด้วย เราเลยรู้ว่า เฮ้ยนี้มันเก่งมาก ตอนเด็กๆ เราดูแล้วสนุก พอทำงานแล้วเราค่อยรู้สึกว่าพวกเขามันชาวมนุษย์มหัศจรรย์ มันเก่งอะไรขนาดนี้ คิดเก่งทำให้การ์ตูนที่เราก็รู้อยู่แล้วเป็นภาพวาด แต่ทำให้เราร้องไห้ได้ ทำให้เราหัวใจฟู ตอนที่นีโมมันเจอพ่อมันหรืออะไรอย่างนี้ และก็ชอบคาแร็คเตอร์ต่างๆ ชอบเชร็คด้วยนะ แต่เชร็คมันจะกวนๆ ประสาทหน่อย มันจะขุ่นๆ หน่อย จะไม่ใส

     Q: พี่เหมี่ยวทำงานในวงการมายาวนานได้ทำงานที่หลากหลาย เคยมีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้เสียงบ้างไหม

     M: งานที่ใช้เสียงที่พิถีพิถัน ที่ต้องยุ่งกับเสียงมากที่สุดก็คือละครเวทีค่ะ  ถ้าทีวีนี้ยังไม่เท่า แต่ละครเวทีทำให้เรารู้ว่า จะต้องบังคับเสียงใช้เสียงสื่ออารมณ์ทำให้เสียงมันกว้างใหญ่ และก็ต้องให้มันเสถียรด้วย และเราต้องเล่นเป็นหลายรอบ ยี่สิบสามสิบรอบห้าสิบรอบ อย่างทีวีมันจะเป็นฉากๆ มันยังช่วยกันได้มี พักมีอะไรได้ ถ้าเล่นละครเวทีนั่นคือสุดๆ ของการใช้เสียงสำหรับตัวพี่นะ และยิ่งละครเวทีที่ร้องเพลงด้วย  ส่วนการพากย์เสียงก็เคยพากย์เรื่อง ทาร์ซาน Tarzan (1999) พากย์เป็นลิงเพื่อนสนิททาร์ซาน  เรื่องนี้คือทำให้ได้เข้าสู่วงการพากย์ นอกนั้นก็จะเป็นการลงเสียงที่หนังที่เล่นบ้าง เป็นการเข้าไปพากย์ซ่อมเสียงตัวเอง มีพากย์สปอตโฆษณาบ้างซึ่งก็ต้องพากย์ให้ตรงปาก  แต่สำหรับการพากย์การ์ตูนสำหรับพี่มันเหมือนการแสดงเลยแหละ มันไม่ใช่แค่ไปพากย์ให้เสียง เราไม่ใช่แค่นักพากย์หมายถึงเราต้องแสดงด้วย

     Q: เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง “ยักษ์” นี้ได้อย่างไร และยังเป็นการร่วมงานกับ พี่จิกประภาส ชลศรานนท์รู้สึกอย่างไรบ้าง

     M: ตอนนั้นก็ทำงานในวงการตามปกติก็ได้รับการติดต่อมาจากพี่จิกนะคะ รู้ว่าพี่จิกจะทำการ์ตูนนานมาก ตั้งแต่เล่นซิทคอมของเวิร์คพอยท์เรื่องแรกๆ ของโต๊ะกลมนะคะแต่ถ่ายที่สตูดิโอเวิร์คพอยท์  เวิร์คพอยท์ ตอนนั้นเพิ่งสร้างเสร็จ สียังไม่แห้งเลย จำได้เลย (หัวเราะ) ว่ายังเป็นปูนๆ อยู่ยังไม่แห้ง เขาก็ชวนมาก็พากย์การ์ตูน  ถามว่าพากย์เรื่องอะไร เรื่องรามเกียรติ์ โอ้โห พี่จิกทำการ์ตูนเรื่องรามเกียรติ์ เฮ้ยคงจะรำกันเลยทีเดียว (หัวเราะ)  ได้สิพี่ และก็จะหายไป เป็นปี สองปี ก็ติดต่อมา อ้าวให้พากย์แล้วหรอไปก็พากย์ แต่เอ๊ะทำไมเป็นหุ่นยนต์ล่ะ และก็ไม่ใช่เรื่องรามเกียรติ์ไม่ใช่แบบขนบธรรมเนียมเดิมเป็นแบบคิดใหม่อีกมุมหนึ่ง
พี่จิกเป็นคนที่มองอีกมุมเก่งเป็นบ้า เวลาแกแต่งเพลง ก็รู้จักพี่จิกมาตั้งแต่แกเริ่มแต่งเพลง เขาเรียนสถาปัตย์ จุฬาฯ และเขามาเล่นเรื่องเจ้าสมุทรในเรื่องพรายน้ำ และพี่ไปฝึกงานเป็นช่างแต่งหน้า  ก็รู้สึกคนนี้ประหลาด (หัวเราะ) เขาเล่นละครแล้วเสียงเขากว้าง และหน้าเขาประหลาดมากเขาผอมๆ หน้ายาวๆ เล่นเป็นเจ้าสมุทรเหมือนโพไซดอนน่ะ ก็รู้สึกว่าคนนี้ที่ชื่อพี่จิกเนี่ยเก่งมาก! และเขาก็แต่งเพลงด้วย โอ้โหสุดยอด ชอบคนนี้ฉันชอบคนนี้  และชอบมุมมองของพี่จิก และที่ชอบมากที่สุดคือเพลงของเขาอย่าง ต้นชบากับคนตาบอด และเขาจะเล่าเบื้องหลังเวลาแต่งเพลง ให้ฟังอย่างเพลงดอกมะลิมาจากแฟนเขาให้ดอกมะลิมา  เราก็จะแซวว่าว้ายเอาเรื่องส่วนตัวมาแต่งเพลง (หัวเราะ)  เราก็ชอบแหย่ ในกลุ่มเขาก็จะมีพี่จิก พี่ดี้ (นิติพงษ์ ห่อนาค)  พี่ตั้ว(ศรัณยู วงษ์กระจ่าง) พี่เจี๊ยบ (วัชระ ปานเอี่ยม)  พี่อั๋น (วัชระ แวววุฒินันท์) และทุกคนจะเป็นมนุษย์มหัศจรรย์สำหรับพี่มาก ชอบนั่งฟังเขาพูดกันน่ะค่ะ  รุ่นน้องเขาก็จะเป็นกิ๊ก (เกียรติ กิจเจริญ) ,ดู๋ (สัญญา คุณากร) พี่โค้ก (สมชาย เปรมประภาพงศ์) พี่ชอบความคิดของพี่จิกอย่างตอนที่เขาทำละคร เทวดาตกสวรรค์สนุกดี  พอพี่จิกทำการ์ตูนพี่เลยคิดว่าไม่ต้องธรรมดา แต่พี่ก็ไม่นึกว่าจะเป็นอย่างนี้นะ รามเกียรติ์มันก็ต้องมีใส่ชฎากันบ้างนะ แต่นี่ไม่มีเลย(หัวเราะ)

     Q: คิดว่าพี่จิกเลือกเรามาพากย์เพราะอะไร และช่วยเล่าให้ฟังถึงตัวละครของเราสักนิด

     M:  ในเรื่องยักษ์นี้ พากย์เป็นนกยักษ์นะคะ ชื่อ สดายุ   พี่จิกเขาคงเลือกเราเพราะรู้จักเรา รู้ว่าเราพูดจาเป็นยังไง แต่มารู้ว่าเป็นคาแร็คเตอร์หน้าตาเป็นแบบนี้ไม่นานนี้เอง พี่จิกเขาบอกว่าเป็นตัวละครที่ออกแบบมาจากคนพากย์ ก็โกรธนะเพราะมันแก่ (หัวเราะ) สดายุเป็นเครื่องบินรบสมัยสงคราม มันอยู่ในโกดังแล้วสนิมเขรอะ บินก็ไม่ไหว และก็ขี้บ่น ขี้โมโห และก็ขี้ประชด ผมมันสั้นแต่เป็นเหล็กหมด  เวลาพากย์พี่จิกก็จะบอกว่าพูดแบบเหมี่ยวเลยประชดๆ  เวลาที่แบบพูดอยู่ไกลๆและก็จะไม่ได้มีบทละเอียด ให้พูดแบบเราได้เลย  มีประชดหลายแบบด้วยนะ ประชดโมโห ประชดเบื่อ ประชดเร่งรีบอะไรแบบนี้  แต่พี่ก็มีไปฝังใจกับสดายุเรื่องเดิมว่ามันต้องเหมือนนกทหารใช่ไหม และก็ตายเพื่อพระรามเลยนะ ก็ชอบถามพี่จิกเขาว่าเรื่องนี้หนูตายป่ะ  เพราะเราดันรู้เรื่องรามเกียรติ์ด้วยไง หนูตายไหมพี่ๆ เขาจะทำหน้าแบบอะไรของเธอ เซ้าซี้อยู่ได้ สดายุตายไหมๆ เซ้าซี้จนกระทั่งมารู้ อ่อมันไม่ใช่ มันไม่ใช่เรื่องในวรรณคดี  มันเป็นสดายุแบบตีความใหม่ นกสดายุมันก็เลยไม่ใช่นกที่มีปีกหรือมีลายไทยแบบในผนังโบสถ์นะ ตัวนี้จะเป็นแบบโกโรโกโสนิด สนิมหน่อย บินก็ไม่ค่อยขึ้น

     Q: คาแร็คเตอร์ของตัวนี้มีเสน่ห์ ความน่าสนใจอย่างไรบ้าง

     M: พี่ว่าขาแขนมันเล็กไปหน่อยนะ ก็ดูกงโก้  แน่จริงทำตัวอ้วนๆ สิ (หัวเราะ)  มันเป็นเครื่องบินที่มีชีวิตประหลาดดีค่ะ ท่าทางเอะอะมะเทิ่ง  ดูกะเปิ๊บกะป๊าบ ไม่มีความสง่างามใดๆ ทั้งสิ้น คือไม่มีฟอร์ม แต่ไม่รู้ตัวหรอกนะ มันมั่นใจในความเป็นนกยักษ์ของมัน  และก็มุ่งมั่นให้ทำอะไรก็ทำ แต่ว่าอย่าขัดใจมากอย่าเยอะ เยอะด่า  สำหรับตัวนี้ เหมือนกับว่าไม่มีอะไรมากมาย แต่พอพี่พากย์ไป ไอ้สดายุมันคือคนที่มีภารกิจมันต้องทำให้สำเร็จนะ ไอ้การประชดประชันก็คงเป็นตามนิสัย นิสัยของตัวละครตัวนี้ แต่อันหนึ่งคือจุดมุ่งหมายที่มันเจอ ต้องทำให้สำเร็จอ่ะ และก็บ้าๆ บอๆ ยังไงก็ทำ เพราะว่าตั้งใจทำแล้ว มาด้วยกันแล้วยังไงก็ต้องทำ ก็ต้องเอาให้สำเร็จ สดายุเนี้ย มันก็ต้องเจอเรื่องแก้ไขแปลกๆ เวลาเจอท่านทศก็จะเปลี่ยนเลย จากขี้ประชดก็จะเป็นสอพอ รักแบบเลิฟ เป็นบอสที่หายไปนานก็จะรักๆ และก็จะยอมทุกอย่าง

     Q: ประสบการณ์การพากย์เสียงแอนิเมชั่นครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง ทราบมาว่าต้องทำมากกว่าหน้าที่ให้เสียงอย่างเดียวต้องมีการแสดงเพื่อให้เหล่าแอนิเมเตอร์นำไปสร้างคาแร็คเตอร์อีกด้วย มีความยากง่าย ความสนุกอย่างไร
     M: เราไม่ใช่นักพากย์ที่ใช้เสียงอย่างเดียว อารมณ์มันต้องเกิดขึ้นจริงๆ ในตอนพากย์  อย่างถ้าช่วงเหนื่อยเราต้องกระโดด กระพือปีก ในห้องพากย์จริง เพราะไม่อย่างนั้นมันก็จะไม่ออก  เหนื่อยชิบเป๋ง มันเหนื่อยมาก (หัวเราะ)  เหนื่อยแบบว่าหน้ามืดเลย เพราะมันต้องหอบจริงๆ เพราะไม่อย่างนั้นมันจะทำเสียงไม่เป็น เพราะฉะนั้นต้องเล่นจริง วันนั้นเป็นวันที่เหนื่อยจริงๆ วันนั้นต้องพูดบทเองเยอะ เจ้าประคุณเอ๋ย  แล้วไม่หยุดไงมันต้องพูดหลายๆเทคไง ให้เขามีเลือกหลายๆ แบบ แล้วพี่จิกเขาจะอยากให้เราพากย์ด้วยเสียงจริง  เขาก็จะถามว่าดัดเสียงหรือเปล่า ไม่ดัดใช่ไหม ไม่ดัดพี่ พากย์ให้ทันยังลำบากให้หนูดัดเสียงอีกหรอ (หัวเราะ)  แสดงว่าพี่จิกเขาเอาคาแร็คเตอร์ของเราด้วยส่วนหนึ่ง

     บางทีการพากย์ในฉากที่ตัวละครสองตัวมันอยู่ในซีนเดียวกันแต่ตัวหนึ่งก็ต้องพูดอยู่ พอตัดมาที่เราบางทีมันไม่ทันไง ก็ต้องใช้ความสามารถส่วนตัว คือต้องกะจังหวะเอา  ต้องพูดให้ในเวลาเท่านี้ เท่านั้นวินาที  แต่จะว่าไปการทำงานก็ค่อนข้างจะฟรีอยู่เหมือนกัน ไม่เครียดค่ะ เหมือนไปเล่นละคร  เราไม่เคยคิดว่าคาแร็คเตอร์ เราเนี่ยจะเป็นนกแก่ที่ขี้บ่น ขี้โมโห ขี้ประชด จนกระทั่งได้พากย์เรื่องยักษ์นี้ แล้วปรากฏว่าไอ้ที่พากย์ๆ ไปอ่ะมันตัวเองทั้งนั้นเลย (หัวเราะ) มันเป็นอารมณ์จริงๆ ที่เรารู้สึกกับเรื่องและก็เหตุการณ์ที่อยู่ในการ์ตูน ลองพูดมาปรากฏว่าอ้าวนี้มันฉันนิ อ้าวตายแล้วฉันคือสดายุหรอ ก็เครียดเหมือนกันนะ พอพากย์หลายๆ ทีเข้าเออฉันกับสดายุมันก็เหมือนๆ กันอยู่แหละ (หัวเราะ)

 

     Q: รู้สึกยังไงบ้างที่คนออกแบบตัวละคร พี่เอ็กซ์ ชัยพร ทำตั้งใจให้เหมือนพี่เหมี่ยว

     M: ตอนแรกไม่เชื่อหรอกค่ะ พอพากย์ไปก็เชื่อแล้วค่ะ พอไปพากย์หลายๆ ทีมันใช่เลยค่ะ เพราะหน้าตาเพราะตาเขาจะตาโปนๆ หูตาเหลือกตลอดเวลา ก็ต้องทำกันขนาดนี้เชียวหรอ ก็คือตอนแรกที่คิดก็คือการ์ตูนก็หน้าตาแบบนี้แหละ แต่พอมันมีตัวละครอื่นเข้ามามันไม่ใช่นิ มีฉันคนเดียวที่หูตาเหลือกขนาดนี้ ไอ้สนิมก็น่ารัก เออไอ้เขียวก็เป็นแบบเท่ห์ๆ

     Q: คาแร็คเตอร์ในเรื่องนี้ มีการออกแบบให้ดูเป็นตัวรอง แต่สามารถมาเป็นพระเอกได้ รู้สึกอย่างไรบ้างกับประเด็นนี้

     M:  มันเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าถึงแม้ว่าคนที่หมดสภาพดูเป็นไก่รองบ่อน หรือว่าไม่มีอะไรที่จะทำให้ใครเชื่อได้ว่าจะทำสิ่งที่สำคัญได้สำเร็จ แต่พอมันอยู่กับกลุ่มที่ใช่ ความเชื่อที่มีและก็ทำอะไรที่ยากๆ ได้จนสำเร็จ จริงๆ แล้วภารกิจของสดายุมันถึงชีวิตเลยนะ มันตายได้นะ แต่มันก็ทำ สำเร็จหรือเปล่า ก็ต้องไปดูกันอีกที ในเรื่องพี่ชื่นชมตัวสดายุที่มันทำจนสำเร็จ ถ้าเป็นพี่ พี่อาจจะไม่ทำนะ เพราะมันเสี่ยงอันตรายเกินไป ทั้งที่พี่ว่าเขาไม่พร้อมอะไรเลยนะ  สภาพร่างกาย มีแต่จิตใจอย่างเดียวก็พาไปจนได้ เอาสิเหมือนกับลงเรือลำเดียวกันแล้ว  มันทำให้ทุกตัวมีเสน่ห์  ตัวพี่ตอนมาร่วมงานนี้ใหม่ๆ  พี่จะเปรียบเทียบกับเรื่องรามเกียรติ์ตลอดเลย อ้าวทำไม เป็นอย่างนั้น ไอ้นี้เป็นอย่างนี้คู่อริกันนิ เอ๊ะและเป็นเพื่อนกัน ทำไมเป็นอย่างนี้หรอ เราก็จะลุ้นไปกับเรื่องนี้เราก็จะลืมเรื่องดั้งเดิมของรามเกียรติ์ไป และเราก็จะเข้าถึงบท และพอพากย์ด้วยมันต้องมีอารมณ์เข้าไปในนั้น เราก็จะผูกพันกับไอ้ตัวกุมภกรรณ เริ่มผูกพันกับน้าเขียวๆ และไอ้สนิมอีก เพราะมันก็จะน่ารักน่าเอ็นดูและก็ ไอ้ตัวไอ้เผือกอีก และพอเราก็จะเห็นเหตุการณ์บางอัน ก็เป็นสิ่งที่ดูแล้วก็รู้สึกว่าเราจะอยู่กับเพื่อนเราหรือเราจะอยู่กับคนที่เกลียดหรืออยู่ด้วยความรัก
พี่ว่าการ์ตูนเรื่องนี้มันจะมันจะบอกเราหลายอย่าง เช่นบางทีเราจะทำอะไรเราก็ไม่มีสิทธิ์เลือกนะ แต่การ์ตูนเรื่องนี้จะทำให้เราเห็นว่า จำเป็นไหมที่เราจะต้องโกรธเกลียดกันไปทั้งโลก จะด้วยอะไรก็ไม่รู้ที่เกลียดกัน แต่พอไม่มีโจทย์พวกนั้นมา ก็เพื่อนกันได้  เป็นเรื่องที่ทำได้ เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้จะโกรธกันไปทำไม เราจะฆ่ากันทำไม พี่คิดอย่างนั้นแต่มันก็ไม่ได้ซีเรียสแบบนี้ เป็นเรื่องตลก

     Q: ในฐานะที่รู้จักพี่จิกมานานคิดว่าเสน่ห์ของเรื่องราวแบบ จิก ประภาส อยู่ตรงไหน

     M: พี่จิกเป็นคนที่มีมุมมองที่ไม่ค่อยเหมือนใคร เป็นมุมคิดบวกที่ไม่ใช่เป็นดอกไม้สายรุ้ง แต่เขาจะมองโลกนี้แบบมีความจริงอยู่ในนั้น บางทีมันก็มีความเจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นในเพลงในละครในหนังที่พี่จิกเขาทำมา ก็จะเป็นลายมือพี่จิกที่เขาจะพาเราไปสู่โลกรามเกียรติ์ในแบบของพี่จิก ซึ่งพี่ว่าไม่เคยมีใครทำเลย ก็ไม่ค่อยมีใครค่อยกล้าทำ เฮ้ยจะมาเอามาทำเป็นแบบนี้เหรอ มาทำให้มันเสียหรือเปล่า แต่พี่ว่าไม่ใช่ พี่จิกรักความเป็นไทยมาก ชื่นชมความเป็นไทยและพี่จิกจะทันสมัยและเฮฮา แต่ก็ไทยๆ เหมือนรายการคุณพระช่วยอย่างนี้ก็ไทยที่เป็นไทยแบบที่ไม่ต้องพับเพียบดูหรือว่าต้องใส่ชุดไทยหรือว่าเปิบข้าวด้วยมือ เรื่องนี้ถ้าไม่ใช่พี่จิกก็คงไม่มีใครทำได้นะ อันนี้พูดตรงๆ (หัวเราะ)

     Q: การทำแอนิเมชั่นเรื่องนี้ใช้เวลาใส่ใจในการทำ ถึง 6 ปี คิดว่าคุณภาพของเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง

     M:  ไม่น่าเชื่อ พี่ยังคิดว่าเขาคงเปลี่ยนคนพากย์ไปแล้วเลย ทิ้งระยะการพากย์ไปเป็นปีๆ มีช่วงหลังนี้แหละที่เข้าที่ เรื่องนี้คิดก่อน Wall-E ก่อนโรบ็อท อีกนะ เอาพี่ไปสาบานที่ไหนก็ได้เพราะพี่ได้รับการติดต่อมาตั้งแต่เวิร์คพอยท์สร้างเสร็จใหม่ๆ จริงๆ บอกแล้วปูนยังไม่แห้ง (หัวเราะ)  พี่คะ จะทำอีกนานไหมคะ ทำอยู่นั้นน่ะ แต่ว่าพอออกมาเป็นเรื่องแล้วโอ้โห! มันต้องใช้ความนานอย่างนี้ ก็เพราะแบบนี้นี่เอง และพอถึงขั้นนี้ก็คือพี่จิกไม่ต้องไปห่วงว่าใครจะบอกว่าไปเลียนแบบใคร ไม่ต้องคอยอธิบายด้วย เพราะว่ามันไม่เหมือนก็คอยดูล่ะกัน ตอนแรกที่พี่คิดไง  เฮ้ยจะเหมือนวอล-อี เปล่าเนี่ย มีกองขยะอะไรคล้ายๆ กันด้วยแต่มันต่างกันจริงๆ
การ์ตูนเรื่องนี้เป็นที่ฮือฮาสำหรับทีมงานที่ได้ร่วมงาน ที่ได้ไปพากย์นะ เราอยู่เรื่องนี้มาหกปีทีเดียว แต่เมื่อเราได้เห็นงานแล้วหกปีมันก็ไม่นานหรอก ได้อีกพี่จิกได้อีก พี่เอาอีกไหมเอาด้วย เขาไม่ใช่แบบคิดแค่หลวมๆ มันคือรวมทุกอย่างทั้งหมด ตั้งแต่เนื้อเรื่องในการตีความแล้วก็ภาพที่เป็นแอนิเมชั่นที่ มันน่ารัก ละเอียด พี่ไม่รู้ว่า มันต้องใช้ความยากแค่ไหนนะคะ แต่เราดูแล้วเราเชื่อ ไปกับเรื่องด้วย พี่ว่ามันคงไม่ใช่กดๆ เอา เอามือขีดๆ เอาในคอมพิวเตอร์ ด้วยศักยภาพที่คนที่จะทำงานด้านแอนิเมชั่นในเมืองไทย ก็มีไม่กี่คนอ่ะ ก็คิดว่า แต่ทุกอย่างมันเมดอินไทยแลนด์หมด เพราะฉะนั้น 6 ปีมันก็ไม่นานหรอกพี่จิก เอาอีกไหมอ่ะ ให้อีกปีหนึ่ง พากย์กันให้แก่คาห้องกันเลย (หัวเราะ)

     Q: การพากย์ครั้งนี้มีฉากประทับใจบ้างไหม

     M:  ก็จะมีฉากบินเนี่ยแหละ บินกันอ้วกแตกเกือบเป็นลม อันอื่นก็จะเป็นของเรื่องการคิดบท คือเวลาต้องพูดบทเพิ่ม ก็ต้องทำให้หลายเวอร์ชั่น เพราะฉะนั้นมันก็จะสนุก สนุกฉากที่ประชดไอ้สนิมอ่ะ ที่มันไม่ร้องไห้ซะที อันนั้นขำพากย์ไปก็ขำ คือต้องพากย์เป็นละครน้ำเน่าอ่ะ เหมือนเป็นนังแม่ตัวอิจฉาอะไรอย่างนี้ ให้สนิมมันร้องไห้อ่ะ แล้วมันตลกมากคือทุกคนมองพี่เหมือน เป็นอะไรมากไหม พากย์การ์ตูนแต่มีอารมณ์ขึ้น หลุดใส่การ์ตูน (หัวเราะ)

     Q: หากได้ยินคำว่า “ยักษ์” นึกถึงอะไร

     M:  สำหรับพี่คือยักษ์วัดพระแก้ว  มันน่ากลัวมาก แม่พาไปตัวสูงมาก มีหลายตนเยอะมาก แล้วก็อยู่ทุกประตูเลย และก็เขาบอกว่าตอนกลางคืนก็ออกไปตีกับยักษ์วัดโพธิ์ ก็เชื่อสิผู้ใหญ่ไม่โกหกหรอก ตีกันเตียนเลย และไปเจอยักษ์วัดโพธิ์หน้าจีนมาก ก็มีเป็นหน้าไทยแต่ตัวเล็กกว่า กลัวนะก็เพราะเป็นเด็ก แต่ผู้ใหญ่ก็เล่าไปไง รู้ไหมเนี่ยว่าเด็กมันเชื่อ โอ๊ยกว่าจะหายกลัว โตจนตัวใหญ่เบ้อเร่อเบ้อร่าแล้ว (หัวเราะ) กลัวยักษ์พระแก้วอยู่ตั้งนาน แล้วคนรุ่นพ่อรุ่นแม่พี่ก็ต้องเข้าวัดพระแก้ว จะไปเมืองนอกทีก็ไปลาพระแก้ว ปีใหม่ เทศกาลก็วัดพระแก้ว ก็กลัวสุดๆ  ขาเข็งเลยอ่ะ เดี๋ยวนี้ไปก็เฉยๆ ล่ะ

 

 

     Q: ในเรื่องนี้มีประเด็นหลักอยู่ที่มิตรภาพระหว่างหุ่นยนต์ทั้งสอง ที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครและต้องทำอะไรในชีวิหากอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่าง“หน้าที่”กับ“มิตรภาพ”จะเลือกอย่างไหน    

     M: เลือกทำไมล่ะ แสดงว่า หน้าที่อันนี้มันต้องไม่มีมิตรภาพ ถ้าให้เลือกแสดงว่าต้องตรงข้ามกัน จริงๆ พี่ว่ามันน่าจะอยู่ด้วยกันได้นะอย่าต้องให้ต้องเลือกเลย

     Q:  คิดว่าคนเราที่เคยเป็น “ศัตรู” กันมาก่อนจะสามารถเปลี่ยนมาเป็น “มิตร”กันได้ไหม

M: ได้สิ คนเราเปลี่ยนมาเป็นเพื่อนกันได้ โลกนี้ความเกลียดไม่ทำให้อะไรดีขึ้นเลย ความเกลียดไม่มีดีเลย แต่เราจะเอาชนะตรงนี้ยาก ความเกลียดมันทำให้มีแต่เรื่องเลวร้าย ยิ่งกระพือให้มันเกลียดมากขึ้นมันก็ยิ่งเลวร้ายมากขึ้น แต่ถ้าสับสวิทซ์ให้มารักเลยก็คงยากนะ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเรื่องหรอก คนเราถ้ามีแต่ความรักมันก็คงจะลั้ลลาใช่ไหม มีทุ่งดอกไม้

      Q:  คิดว่าหนังเรื่องนี้มีเสน่ห์ตรงไหนถึงควรค่าแก่การไปชมกัน

     M: คนเราควรจะดูการ์ตูนอย่างน้อยปีละเรื่องจะได้เห็นว่าโลกนี้มันไม่ได้มีแต่ความเลวร้ายหรือความเครียด หรืออะไรที่ทำให้เราต้องต่อสู้ดิ้นรน การ์ตูนมันจะพาเราไปสู่โลกของจินตนาการโดยที่ไม่มีขีดจำกัด และการ์ตูนเรื่องนี้มันจะมีเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ต้องเกลียดใคร ไม่ใช่ว่าเราเกลียดกันแล้วก็ต้องเกลียดกันตลอดชีวิต ก็ลองดูถ้ามันเลิกเกลียดได้มันคงมีอะไรดีๆ อีกเยอะ เกิดขึ้นในชีวิตเราในโลกนี้

 

 

 

ที่มา:  สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
บันทึกภาพ:  สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
นำเสนอโดย www.starupdate.com หากนำข่าวไปใช้กรุณาอ้างอิงถึง www.starupdate.com ด้วย
แชร์ข่าวนี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง