Q. ก่อนอื่นถามพี่หนุ่มก่อนเลยว่าโดยส่วนตัวแล้วชื่นชอบ และหลงใหล “การ์ตูน” มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ที่ผ่านมาถือได้ว่าการ์ตูนมีอิทธิพลและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอย่างไรบ้าง
S. สวัสดีครับ พี่หนุ่มสันติสุข พรหมศิริครับ คนเดิมครับ กำลังจะมีผลงานภาพยนตร์การ์ตูนแอนิมชั่นเรื่องยักษ์ครับ ก็มารับบทเล่นและให้เสียงเป็นหุ่นยักษ์ที่ชื่อว่าน้าเขียวหรือทศกัณฐ์นะครับ ก็เรียกได้ว่าเติบโตมาชีวิตก็เกี่ยวพันกับการ์ตูนตั้งแต่เด็กนะครับ คือจริงๆ ตัวผมเองก็ไม่ใช่คนกรุงเทพฯ แต่เป็นคนต่างจังหวัด พอสักอายุ 7-8 ขวบได้ก็มีทีวี และสิ่งที่ชอบดูที่สุดก็คือการ์ตูน สมัยก่อนจะมีมิกกี้เม้าส์เป็นอันนั้นเป็นอันโน้นอันนี้ การ์ตูนก็เหมือนเป็นของหวานสำหรับเด็ก เอะอะพอนึกถึงทีวีเราจะนึกถึงการ์ตูน และก็พอโตขึ้นมาหน่อยตอนอายุได้สักสิบกว่าก็เปลี่ยนมาเป็นตามพวกซูเปอร์ฮีโร่ต่างๆ ก็ตามวัยของเด็กในสมัยนั้น ก็ส่วนใหญ่ในยุคสมัยนั้นก็จะเป็นญี่ปุ่นซะเยอะ พวกไอ้มดแดงมั่ง พวกยอดมนุษย์บ้าง ก็ชอบมาเรื่อยๆ ครับ
Q. หลายคนอาจคุ้นภาพของพี่หนุ่มสันติสุข ในฐานะพระเอกหนังไทย แต่ถ้าใครเป็นแฟนตัวจริงจะจำกันได้ว่า อีกบทบาทหนึ่งที่เกี่ยวพันกับพี่หนุ่มมาพร้อมๆ กับการแสดงเลยก็คือการพากย์เสียง เป็นไงมาไงถึงได้มาทำตรงนี้ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย
S. ก็เริ่มมาจากการเข้าวงการก่อนเลยนะครับ พอเข้าวงการก็เริ่มเล่นหนังนะครับ อย่างที่รู้กัน เล่นเรื่องบุญชูเล่นอะไร ก็เริ่มทำงานหนังก็เริ่มทำงานเรื่องเสียงมาพร้อมกันเลย เพราะว่าสมัยก่อนภาพยนตร์ไทยจะยังไม่ได้สร้างระบบ SOUND ON FILM คือจะถ่ายแล้วมาลงเสียงทีหลัง ถ่ายทีหลังใส่เสียงทีหลัง ซึ่งปกติสมัยก่อนมันจะมีนักพากย์ มีทีมพากย์ว่าคนนี้พากย์เป็นเสียงพระเอกก็มักจะเป็นอารอง เค้ามูลคดีซึ่งก็จะเป็นคนให้เสียงอาแอ็ด สมบัติ เมทะนี, พี่เอก สรพงษ์ แต่พอมาถึงรุ่นของตัวพี่ พี่ก็แบบเอ๊ะเราอยากให้หน้าเราเป็นเสียงของเราเอง และมันอาจจะเป็นยุคที่คือเสียงพาย์ส่วนใหญ่ก็เป็นเสียงเดิมๆ มาแล้ว เสียงพากย์ที่มีอยู่กันก็อาจจะดูมีอายุกว่าเราตอนนั้น เพราะว่าตอนพี่เริ่มเล่นหนังก็ประมาณยี่สิบกว่าๆ คือถ้าใช้เสียงนักพากย์เสียงมันจะดูแก่ไปนิดนึง ก็เลยเอาเสียงตัวเองพากย์ ก็เริ่มพากย์มาตั้งแต่เรื่งแรกที่พี่เล่นหนัง ก็คือเรื่องคำมั่นสัญญา หลังจากนั้นก็พากย์มาด้วยเสียงตัวเองโดยตลอดทุกเรื่อง ก็เริ่มมีความชำนาญพอสมควร พออยู่มาพักหนึ่งก็จำไม่ได้แล้วว่าสักกี่ปีมาแล้วนะ ก็มีทางบริษัทติดต่อมาให้ไปพากย์การ์ตูน เราก็ดีใจเพราะว่าเราก็ชอบการ์ตูนอยู่แล้ว คือเขาจะไม่ใช้คำว่าการ์ตูนมันจะเชยไปนิดนึง (หัวเราะ) เขาจะเรียกว่าแอนิเมชั่นอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่การ์ตูนนะเป็นหนังแอนิเมชั่น ก็เรื่องโพคาฮอนทัสเป็นเรื่องแรกเลยที่ได้ไปลองเทสต์ดูก็พากย์เป็นจอห์น สมิทที่เป็นพระเอกนะ ก็รู้สึกจะพากย์กับคุณสินจัย ตอนนั้นก็นับเป็นเรื่องแรกก็แบบงงไปหมด เพราะเราต้องลืมจากที่เราเคยพากย์เป็นมนุษย์เป็นคนมา เพราะว่าอันนี้มันเป็นการ์ตูน การ์ตูนมันจะมีอะไรที่ไม่เหมือนคน จะพูดเร็วพูดช้าอารมณ์มันจะเยอะกว่าอะไร โอ้โหกว่าจะพากย์ได้ก็นานทีเดียว ก็มีได้พี่ต๋อง พี่ต๋องเขาคุมอยู่เขาก็ช่วยแนะนำ ตรงนี้อย่างนี้นะ ต้องฮึบเสียง เก็บพลังไว้เพื่อที่จะปล่อยตอนนี้ ก็เริ่มพากย์ตั้งแต่เรื่องนั้นมา ตามมาก็เป็นเรื่องทอย สตอรี่ ก็มาเริ่มพากย์เป็นบัซ ไลท์เยียร์, ไอซ์เอจนะครับทั้งสามภาคสี่ภาค ที่พากย์ก็เป็นเสือดิเอโก้ และยังมีเรื่องโรบ็อท มีเรื่องแฮร์รี่พอตเตอร์ (พากย์เป็นซีเรียส แบล็ก) ก็นิด ๆหน่อยๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่น ก็มาอยู่เรื่อยๆ ก็พากย์อยู่เรื่อยๆ งานส่วนใหญ่จะมีภาคต่อ เราก็พากย์ต่อมา และก็จนกระทั่งมาถึงโปรเจ็คท์แอนิเมชั่นเรื่องยักษ์นี้
Q. พี่หนุ่มมองว่าระหว่างเล่นหนังกับพากย์หนังแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
S. การเล่นหนังกับการให้เสียงหรือการพากย์เสียงของหนัง มันเป็นคนละศาสตร์กัน จริงๆ มันคนละเรื่องกันเลย แต่ว่ามันต้องใช้พื้นฐานเดียวกัน คือต้องใช้พื้นฐานในเรื่องการแอ็คติ้งการแสดงเหมือนกัน เพราะฉะนั้น สมมติเมื่อก่อนเราพากย์หนังเป็นหนังของเราเองเราก็ไม่เท่าไร เพราะเราเป็นคนเล่นเอง เรารู้ว่าอารมณ์เราอะไรแค่ไหน แต่พอมาพากย์เป็นตัวแอนิเมชั่นเป็นตัวอื่นเป็นบัซ ไลท์เยียร์อย่างนี้ เฮ้ยยังไงนี่เรา เราต้องเป็นกัปตันอวกาศ มันจะต้องใส่ความเป็นกัปตันอวกาศลงไปในเสียง หรือว่าพากย์ดิเอโก้เป็นเสือช่วงนั้นก็มีคนคุมพากย์มาจากฝรั่งเศสเลย บอกต้องทำเสียงให้เหมือนเสือ พากย์แล้วต้องทำเสียงให้เสือมีเขี้ยว มันก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง แต่การแสดงมันก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ซึ่งมันก็จะไม่เหมือนกัน แต่สำหรับโปรเจ็คท์ท์เรื่องนี้มันต้องใช้ทั้งสองอย่างรวมกัน คือเราไม่ได้มาพากย์อย่างเดียวหรือเรามาเล่นอย่างเดียว เขาเรียกว่าเราต้องเป็นก้อนดาต้าสำหรับโปรเจ็คท์เลย เป็นตัวกำเนิดก็ต้องเอาจากแอ็คติ้งของเราเอาจากเสียงของเราไปคิดไปสร้างไปกำหนดเป็นภาพขึ้นมา
Q. เป็นไงมาไงถึงได้เข้ามามีส่วนร่วมสำคัญในโปรเจ็คท์ภาพยนตร์แอนิมชั่นยักษ์นี้ได้ แล้วพอรู้ว่าเป็นผลงานการกำกับของพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ซึ่งทั้งเป็นคนต้นคิดและเป็นเจ้าของไอเดียทั้งหมดนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง
S. ก็ก่อนหน้านี้ก็เคยได้มาอัดรายการที่บ.เวิร์คพอยท์ ก็เลยได้มีโอกาสได้เจอกับพี่จิกประภาส พี่จิกแกก็เลยแย่บๆ ว่ากำลังจะมีโปรเจ็คท์พิเศษ เราก็เอ๊ะโปรเจ็คท์อะไรให้เราไปเล่นหนังหรือเปล่า ก็หลายปีมากพูดจนเราลืมไปแล้วจนสุดท้ายพี่จิกแกก็เรียกมาที่บริษัทก็มาคุย ก็เพิ่งรู้วันนั้นว่าพี่จิกกำลังจะทำภาพยนตร์แอนิเมชั่น ซึ่งตอนนั้นจำได้ว่าเมืองไทยก็ยังไม่ค่อยมีคนทำแอนิเมชั่นเท่าไร ถ้ามีก็เป็นพื้นๆ ไม่เท่าไรเป็นอะไรง่ายๆ เราก็อู้หู ถามไปว่าทำจริงๆ เหรอพี่ เขาก็ฉายตัวอย่างให้ดูวันนั้นเลยวันที่มาคุย อู้หูสวย โอ้โหเจ๋งแหะ มันมาก โชว์ฉากบู๊นิดนึง ขายของนิดนึง โอ้โหพี่สุดยอดๆ ตอนนั้นพี่จิกเขาก็เริ่มคุยว่าความตั้งใจของเขาเป็นแบบนี้ๆ พอเราฟังแล้ว เรารู้เลยว่าสิ่งที่พี่จิกกำลังจะทำไม่น่าเป็นแค่หนังการ์ตูนแอนิเมชั่นธรรมดาๆ รู้สึกว่าเป็นโปรเจ็คท์ที่พิเศษเลยละ และถ้าเสร็จนะน่าจะเป็นงานภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่เราทำแล้วน่าจะขายทั่วโลก ประกาศศักดาให้คนทั้งโลกรู้เลยว่าเมืองไทยก็ทำแบบนี้ได้ เราก็ดีใจ ที่พี่จิกเขาเลือกเรา ก็ยังถามกลับไปเหมือนกันว่าทำไมพี่จิกถึงเลือกผม พี่มีคนให้เลือกตั้งเยอะแยะ ผมแก่ไปเปล่า พี่เขาก็อธิบายให้ฟังว่าไม่ได้อยากได้คนที่แค่มาพากย์เสียงอย่างเดียว แต่อยากให้เป็นการแสดงมากกว่า ก็เลยมองคนที่เป็นนักแสดงเป็นหลัก คนที่มีทั้งความสามารถในเรื่องการแสดงและการให้เสียงพากย์ เพราะต้องใช้ทั้งสองอย่างร่วมกัน และคาแรคเตอร์ของ “ยักษ์” ตัวนี้ก็มีคาแรกเตอร์หลายๆ อย่างคล้ายๆ กับตัวผม จึงเรียกให้มาลองเทสต์เสียงกันดู
Q. ตอนนั้นพอนึกออกไหมว่าพี่จิกมาทำการ์ตูนมากำกับการ์ตูนมันจะออกมาเป็นอย่างไร
S. โดยส่วนตัวแล้วก็รู้จักกับพี่จิกก็นานทีเดียวนะครับ พี่จิกก็เป็นนักคิดนักเขียนที่มีอะไรแปลกๆ ออกมาอยู่เรื่อยไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขา จะมีมุมมองอะไรที่เหมือนที่คุยกับพี่จิกแล้วมันจะได้อะไรที่หลายๆ อย่างที่แตกต่างออกไป อย่างเออทำไมเราไม่มองอย่างนี้บ้าง คือมุมอะไรต่างๆ พี่เขาจะมองไม่เหมือนคนอื่น และก็มาถึงการ์ตูนเรื่องยักษ์นี้อีก ก็คือเป็นเรื่องรามเกียรติ์นั่นเอง โอ้โห โปรเจ็คท์มันจะอะไรกันนักกันหนานี้ มันจะใหญ่โตมโหฬาร แสดงว่าต้องมีอะไรที่มันลึกซึ้งมากกว่านั้น ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำเรื่องยักษ์ พอตอนหลังพอเราเริ่มทำงานไป ทำไป ออกเป็นเนื้องานแล้ว มันก็รู้สึกได้ทันทีว่าเป็นของประเทศไหน ประเทศไทยหรือว่าเป็นเอเชียอะไรอย่างนี้ แล้วรามเกียรติ์เองมันเป็นเรื่องที่คนรู้จักเยอะ คนไทยก็รู้จัก และก็ในแถบเอเชียก็รู้จัก ก็ดูว่าเออเป็นโปรเจ็คท์ใหญ่ดีน่าร่วมงานเลยทีเดียว และคิดว่าการทำงานครั้งนี้คงไม่หมูแน่เพราะว่าโปรเจ็คท์ใหญ่ขนาดนี้ เตรียมตัวแล้วว่าคงต้องใช้เวลา เพราะเท่าที่รู้มาก็เคยศึกษาว่าสมัยก่อนอย่างพิกซาร์กว่าเขาจะทำเรื่องทอย สตอรี่ กว่าจะออกมาได้ เขาใช้เวลาหลายปีเลยทีเดียว สำหรับเรื่องแรกๆ อู้หู และโปรเจ็คท์นี้หลายปีแน่ และหลายปีจริงๆ
Q. คิดไหมว่าจะนานถึงหกปีขนาดนี้
S. ก็คิดว่ามันคงจะหลายปี แต่ไม่คิดว่ามันจะนานขนาดนี้
Q. สำหรับคาแร็คเตอร์ “ยักษ์หรือน้าเขียว”นี่ถือได้ว่าเป็นตัวละครสำคัญเลยทีเดียว
S. ครับสำหรับผมแล้วถือว่าเป็นงานที่ค่อนข้างที่จะได้รับเกียรตินะครับ เพราะว่าหลายๆ อย่าง แม้กระทั่งบท พอเราได้ลองสัมผัสดูแล้ว นี่คือตัวละครที่มันเป็นตัวเอกของเรื่องเลยนะครับ โดยพื้นๆ แล้วตั้งแต่ที่เราได้สัมผัสมาจากการอ่านบทตั้งแต่แรกนะครับในเรื่อง ยักษ์เขียวจะเป็นตัวละครที่มันมีหลากหลายอารมณ์มีหลากหลายคาแร็คเตอร์มาก ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นการทำหนังหรือว่าแอนิเมชั่นที่สำคัญที่สุดคือเรื่องบท บทมันจะต้องสำคัญ มันจะต้องเป๊ะและบทที่เราอ่านอยู่แล้วมันก็มีอยู่หลายอย่างที่มันมีในตัวของเรา ก็คือพี่จิกเขาอาจจะเห็นว่าตัวผมเองเป็นคนเล่นหลายบทได้ เป็นคนที่ไม่ชอบอยู่กับบทเดิมๆ เดี๋ยวร้ายก็ร้ายได้ร้ายเต็มที่ จะดีจะใสซื่อเป็นบุญชูก็ทำได้ ก็เลยคิดว่าถ้าบทมันเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นการที่จะเลือกหาเอาคนมาทำมาเล่นก็คงต้องเป็นแบบนี้ และมันก็ต้องอาศัยอีกหลายอย่าง ซึ่งทำให้การทำงานตรงนี้ต้องการนักแสดงที่ต้องมีองค์ประกอบดังกล่าวครบ ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักอารมณ์ของการแสดง และไหนจะต้องรู้เรื่องราวเกี่ยวกับวิธีการพากย์ ให้เสียง โดยเฉพาะคาแรคเตอร์ของตัวยักษ์ตัวนี้ที่จะต้องใสซื่อได้ โหดได้ตอนเป็นทศกัณฐ์ เป็นอะไรก็ได้และที่สำคัญเคยทำงานทางด้านนี้มาสามารถที่จะเล่นและให้คนเชื่อได้ว่าเราดีหรือเราเล่นให้คนเชื่อได้ว่าเราร้าย เพราะฉะนั้นมันก็เลยแบบว่าภูมิใจนะว่าเหมือนเขาเขียนมาเพื่อเราโดยเฉพาะ เราก็เต็มที่กับงานนี้
Q. สำหรับตัวคาแรคเตอร์ “ยักษ์” มีความสำคัญและมีความน่าสนใจอย่างไร
S. ครับสำหรับคาแร็คเตอร์ในเรื่องนี้นะครับก็คือยักษ์เขียวหรือน้าเขียวนะครับที่หนุมานหรือเผือกเขาชอบเรียกนะครับ ก็เป็นตัวเอกในเรื่อง ซึ่งมีคาแร็คเตอร์ที่หลากหลายนะครับ ตามเรื่องก็คือจะมีภาคหมดสติ ภาคจำความไม่ได้ ตัวตนที่แท้จริงก็คือประมาณยักษ์ใสซื่อ อาโนเนะไม่รู้เรื่อง ใจดี ค่อนข้างจะซื่อบื้อด้วยนิดๆ เหมือนเด็กแบบเอาแต่ใจตัวเอง อันนั้นคือเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขาน้าเขียว และก็มีอีกด้านหนึ่งก็คือที่เป็นทศกัณฐ์ซึ่งพูดได้ว่าเป็นชะตาลิขิตที่เขาต้องมาเป็นแบบนี้ที่ว่าแกต้องเป็นทศกัณฐ์ ก็เป็นคาแร็คเตอร์แบบโหดเหี้ยมดุร้ายและไม่ได้มีหน้าเดียวมีสิบหน้า สารพัดจะดุร้ายต่างๆ นะครับ คือตัวคาแร็คเตอร์นี้จะมีสองพาร์ทที่สำคัญก็คือสองด้านมันจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย แต่ว่ามันเป็นตัวละครตัวเดียวกัน เพราะฉะนั้นการที่จะแสดงหรือเล่นออกมามันจะต้องทำให้คนรู้สึกว่ามันเป็นส่วนเดียวกันด้วยคือไม่ใช่สองตัว ไม่ใช่ตัวดีตัวร้าย แต้อันนี้ตัวดีตัวร้ายอยู่อันเดียวกันแล้วมีอารมณ์ที่หลุดออกมา บางทีเป็นดีๆอยู่ก็หลุดร้ายขึ้นมา หรือกำลังร้ายอยู่หลุดดีออกมา ก็มีอยู่หลายฉากในหนังที่ออกมา คือมันเหมือนมันหลุดเครื่องมันรวนอะไรอย่างนี้ ยังไม่ร้ายก็ไม่ร้ายเต็มที่ ก็โดยคาแร็คเตอร์หลักๆ ก็จะเป็นอย่างนี้ก็จะมีสองด้าน แต่ว่าจะมีกลับไปกลับมามีฝันอะไรแบบนี้ไปเรื่อย
Q. พอบอกว่าตัวยักษ์มีทั้งในส่วนที่เป็นทศกัณฐ์ที่ดูร้ายมีดุดันนอกเหนือจากพาร์ทที่เป็นน้าเขียวแสดงว่าในภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ก็จะมีพาร์ทที่เป็นแอ็คชั่นด้วยนอกเหนือจากเรื่องของมิตรภาพ ความสดใส
S. คาแร็คเตอร์ก็ประมาณนี้ แต่ว่าเวลาถ่ายทอดออกมาในหนังคือบทมันจะเยอะ มันค่อนข้างที่จะออกแอ็คชั่นเยอะ มีรบกัน มียกทัพโยธาข่มกัน มีหอก มีย้ายพระอาทิตย์ ซึ่งมันจะเป็นอะไรที่เราค่อนข้างที่จะเล่นแล้วคือต้องจินตนาการออกไป ตอนที่เราเล่นก็จะมีภาพให้ดู แต่ว่าจะภาพที่เป็นคร่าวๆ ให้ดูว่าประมาณนี้ๆ แต่ว่าคือจริงๆ เราต้องเล่นใส่เสียง ใส่สีหน้าออกไป และเขาถึงจะไปวาดไปทำอะไรให้มันร้อยเปอร์เซ็นต์อีกทีหนึ่ง ก็ต้องจินตนาการให้มันเยอะเข้าไว้ ก็จะมีหลายตอนในเรื่องที่บางทีมันยากมาก คือบางทีสิบหัวที่มันอยู่บางทีมันทะเลาะกันเอง ไอ้หัวนี้จะทะเลาะกับไอ้หัวนั้น ไอ้หัวนี้จะฆ่าไอ้หัวนั้น ไอ้หัวนี้จับอะไรอย่างนี้ คือฉากนั้นก็ปวดหัวมากพากย์ยากมากเลยฉากนั้น เพราะต้องไล่พากย์กันทีละหัวๆ และก็หลายอย่างเรื่องนี้ต้องจินตนาการ และที่สำคัญที่เราจะต้องทำงานร่วมกับตัวของน้องหอย (เสนาหอย-เกียรติศักดิ์ให้เสียงเผือกหรือหนุมานด้วย) เพราะว่าในเรื่องเขาจะคู่กันตลอด ปกติเวลาเราทำงานเกี่ยวกับด้านนี้ ถ้าไปพากย์ของหนังทั่วไปใช้พากย์คนเดียว มโนภาพเอาเองนะ แต่เรื่องนี้จะต้องพากย์คู่กัน บางฉากจะต้องพากย์ด้วยกัน เพราะว่ามีการโต้ตอบกันเยอะ และมันก็จะมีมุกเสริมมุก อะไรที่บางทีหอยก็ชอบใส่มันขึ้นมา รามอ้าวเรียนรามเปลวเทียนให้แสง ก็จะมีมุกออกมาอยู่เรื่อยๆ อันไหนได้พี่จิกเขาโอเคก็เอา อันไหนไม่เอาก็ตัดทิ้งไป ก็เป็นการลองเล่นให้ดูก่อน
Q. ในความรู้สึกของพี่หนุ่มแล้วคิดว่าอะไรคือเสน่ห์ของตัวละครตัวนี้
S. สำหรับบางฉากดูแล้วก็มีน้ำตาซึมเหมือนกัน แต่ไม่บอกให้ไปดูกันเอาเอง ก็คือดูแล้วคิดว่าตัวละครที่คนดูจะรักมากที่สุดก็คือน้าเขียวในเรื่องยักษ์ เพราะว่าเขามีการเปลี่ยนแปลงจากไม่รู้เรื่อง จากเป็นตัวร้าย จากรู้เรื่องกลับมา ต่อต้านตัวร้าย ยอมสละชีพ ช่วยเหลือ เขาเป็นฮีโร่เลยในเรื่องก็คือเก่งมากเป็นตัวที่คนจะเอาใจช่วยตอนหลังเขาก็กลับมาสู้กับความชั่วร้าย ยอมสละชีวิตตัวเอง และก็มีอีกหลายๆ ตัวหนุมานเองก็น่ารัก ตัวหนุมานก็เป็นทหารของพระราม ก็ได้หอยมาก็โอเคเลย ดูแล้วก็ตลกไปเรื่อยเลย ฮาจริงๆ ก็เหมาะกับคาแร็คเตอร์เขาเพราะหนุมานมันจะเป็นลิงมันก็จะปุ๊บปั๊บๆ และก็จะมีอีกหลายตัวนะครับ คือการถ่ายทอดออกมาบางทีเราไม่เคยเห็น เราไม่เคยคิดว่าเฮ้ยอะไรรามเกียรติ์มาทำเป็นหุ่นยนต์ได้ยังไงเออเข้าใจคิด สำหรับผมว่าดูแล้วอมยิ้มอยู่ในใจเวลาเราดูหนังเรื่องนี้ เพราะชอบวิธีที่เขาคิดออกมาว่าเออทำให้มันเป็นหุ่นยนต์ มีล้อ หรือหุ่นบางตัวก็มีล้อเดียว สองล้อ มีแบบขึ้นสนิมมีอะไรอย่างนี้ คือมันแปลกและมันก็มีความที่เป็นไทยอยู่ในเรื่องด้วย
Q. คงต้องให้พี่หนุ่มเล่าให้ฟังแล้วว่า“ยักษ์”เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
S. ก็เป็นเรื่องของหุ่นสองตัวที่ตัวหนึ่งเป็นหุ่นกระป๋องนะครับคือหนุมานหรือเผือก ส่วนอีกตัวเป็นหุ่นยักษ์ที่ตัวใหญ่กว่าซึ่งก็คือทศกัณฐ์หรือน้าเขียว ในเรื่องก็เป็นเหตุการณ์ที่พูดถึงทศกัณฐ์กับหนุมานที่เคยสู้รบกันมาในภาคที่เป็นอวตารที่สิบล้านเอ็ดก็มาในรูปลักษณ์ของหุ่นยนต์ ก็สู้กันตอนนั้นพระรามก็ได้ยิงแสงลงมาเพื่อจะทำลายล้างทั้งหมดทั้งความดีความชั่วเกิดระเบิดครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นช่วงขณะที่หนุมานก็กำลังจับทศกัณฐ์อยู่คือใช้โซ่คล้องมัดตัวทศกัณฐ์ไว้ ก็เกิดระเบิดตูมทุกอย่างก็สลายหายไปหมด แต่ว่าสองหุ่นยังอยู่แต่ว่าสลบไป ก็หายไปอีกข้ามไปประมาณหลายร้อยล้านวัน จนกระทั่งวันหนึ่งหุ่นสองตัวนี้ฟื้นขึ้นมามีชีวิตขึ้นมาใหม่แต่หุ่นทั้งสองตัวจำความกันไม่ได้ และก็จำไม่ได้ว่าเคยเป็นศัตรู แถมยังจำไม่ได้เลยว่าทำไมฉันกับแกมีโซ่ผูกติดกันอยู่ ก็ไม่รู้ก็พยายามหาที่มาที่ไป ก็พยายามที่จะตัดโซ่ ไปหาทางตัดโซ่ ก็ในระหว่างที่เดินทางไปมันจะทำให้เกิดเรื่องเกิดราวให้เกิดมิตรภาพ เดินทางมาด้วยกันก็เป็นเพื่อนกัน ก็เลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วแต่ละคนนี้มีหน้าที่อะไร ก็เดินทางไปผจญภัย เจอโน่นเจอนี่ แล้วยิ่งพยายามจะตัดโซ่เท่าไหร่กลับกลายเป็นว่ามิตรภาพมันก็ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็มารู้ความจริงว่าตัวเองแต่ละตัวมีหน้าที่อะไร จะต้องทำอะไร ก็เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาครับ
Q. ฟังดูแล้วก็ลึกซึ้งเหมือนกันและค่อนข้างมีอะไรให้ชวนคิดดีทีเดียวแล้วตัวพี่หนุ่มเองละคิดว่าคนที่เป็นศัตรูกันจะกลายมาเป็นมิตรกันได้ไหม
S. คนที่เป็นศัตรูกัน หรือว่าศัตรูจะกลายเป็นมิตรกัน พี่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้มันอยู่ที่เหตุผลหลายๆ อย่าง คนที่เป็นศัตรูกันมันมาจากอะไร เป็นศัตรูกันเพราะหน้าที่ เป็นศัตรูกันเพราะว่าอยู่คนละประเทศ เป็นศัตรูกันเพราะว่าอยู่คนละบ้านหรือว่าอะไรอย่างนี้ ถ้าเป็นศัตรูเพราะเรื่องหน้าที่หรืออุดมการณ์แล้วพี่ว่ามันไม่ยากที่จะเป็นมิตรกันได้ แต่ถ้าเป็นศัตรูกันเพราะว่าอย่างแมวกับหนูคงจะลำบากนะครับ คิดว่าเป็นไปได้ครับ คนที่เป็นศัตรูกันมาเป็นมิตรกัน ก็น่าจะเป็นมิตรกันที่ดีด้วยเพราะว่าอย่างคนที่ไม่เคยถูกกันมาก่อนเกลียดกันมาก่อน แต่พอมาคบกันเป็นเพื่อนกันเขาจะรู้อะไรกันเยอะว่าคนนี้เป็นอย่างนี้เขาก็จะรักกันมากกว่าคนที่คบกันและเป็นเพื่อนกันไม่เคยมีเรื่องอะไรกัน เขาก็จะไม่รู้ว่าจริงๆ นิสัยเป็นยังไง ว่าเวลาโกรธเป็นยังไงครับ
Q. ถ้างั้นขอถามเลยละกันว่าเมื่อพูดถึงยักษ์ตัวแรกที่พี่หนุ่มรู้จักคือยักษ์อะไร
S. ครับถ้าพูดถึงยักษ์ตัวแรกที่รู้จักเลยนะครับ เดี๋ยวต้องเท้าความไปนิดนึงมันมีหลายยักษ์ เพราะว่านิทานพื้นบ้านของไทยมันก็ยังมียักษ์ ยักษ์ตัวแรกที่รู้จักน่าจะอยู่ในทีวีจำได้ก็คือของดาราวีดีโอสมัยโน้นที่มียักษ์และจะมีมือโผล่มาจับคน และเป็นยักษ์ที่เขียนหน้ารู้สึกจะมาจากในเรื่องโกมินทร์กุมาร ก็จะเป็นยักษ์แบบนั้น เป็นยักษ์ตัวใหญ่ที่มีเขี้ยวและก็กินคนเป็นอาหารก็คือเป็นยักษ์ในนิทานพื้นบ้านครับ (หัวเราะ)
Q. ท้ายนี้อยากให้พี่หนุ่มฝากถึงผลงานการ์ตูนแอนิเมชั่นยักษ์กับแฟนๆ
S. ถ้าจะพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้นะครับ ก็ถือว่าเป็นการกลั่นกรองอะไรจากหลายๆ บุคลากร ใช้บุคลากรเยอะเป็นร้อยนะครับ และก็ใช้เวลาในการทำหลายปีมาก ซึ่งก็มีชื่อของประภาส ชลศรานนท์นะครับเป็นอะไรหลายๆ อย่างในโปรเจ็คท์นี้ทั้งกำกับทั้งคิดเรื่อง คิดคอนเซ็ปท์ สร้างตัวละคร สอดแทรกเนื้อหา ควบคุมดูแลในแทบทุกขั้นตอน ซึ่งผมว่าภาพยนตร์เรื่องนี้พอถูกนำเสนอออกไปก็นอกจากว่าเด็กๆ ทั่วไปได้มาดูหนังการ์ตูนที่เขาก็จะได้รับความสนุกไปอีกแบบหนึ่งจากเรื่องราวการผจญภัยของหุ่นยนต์ซึ่งมีทั้งที่เป็นหุ่นกระป๋อง หุ่นยักษ์อะไรต่างๆ นานา จะได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ได้เห็นตัวละครคลาสสิคจากรามเกียรติ์ มีเรื่องของมิตรภาพ และก็มีทั้งเพลงเพราะๆ ในเรื่อง มีอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งความเป็นหนัง ที่มีหลากหลายองค์ประกอบทั้งความตื่นเต้น เร้าใจ มีต้น มีกลาง มีจบ มีตัวเอก มีตัวร้ายแต่แบบน่ารักๆ คือครบรสจริงๆ นอกเหนือจากตรงนั้นแล้ว มีสิ่งหนึ่งที่ผมว่าพี่จิกเขาซ่อนไว้ในหนังเรื่องนี้นะครับพอเราดูไปจนจบแล้ว ไอ้ความเป็นยักษ์หรือความไม่ดีมันมีอยู่ในทุกคน มันมีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน อยู่ที่ว่ามันจะไปโดนอะไรกระตุ้นออกมาหรือมันจะออกมาเมื่อไรเท่านั้นเอง คือสิ่งไม่ดีมันมีอยู่ในทุกคนอยู่แล้ว ไม่มีใครที่เพียบพร้อมทั้งหมด เป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ มันไม่มี ก็จะมีสิ่งที่ไม่ดีอยู่ แต่ว่ามันจะควบคุมมันได้ไหมเหมือนน้าเขียว ถ้าควบคุมได้ก็ผ่านมันไป แต่ถ้าจะให้มันหมดมันคงเป็นไปไม่ได้ หรือคนเราเมื่อต้องตัดสินใจระหว่างมิตรภาพกับหน้าที่ เมื่อคุณต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกมันอาจจะต้องเผชิญกับความขัดแย้ง (conflict) อะไรอีกหลายอย่างนะครับ อย่างในเรื่องในตัวของเผือกหรือหนุมานก็จะให้เห็นว่าระหว่างหน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายมาคือกำจัดไอ้ยักษ์ตัวนี้ให้ได้ไม่ว่าจะในโลกไหน ไม่ว่าจะกี่ปีสิบปีแต่ด้วยความผูกพันที่มาเจอกับน้าเขียวแล้วไม่รู้ว่าเขาเป็นยักษ์ คือต่างคนต่างจำไม่ได้ ก็ผูกพันกันจนกลายเป็นสนิทอะไรต่างๆ ตอนหลังมารู้ว่าเป็นศัตรูที่ตัวเองต้องกำจัดและมันก็แหมทำให้คลาสสิคอยู่เหมือนกัน มันทำให้ตรงนี้ที่ทุกคนก็เอาใจช่วย จะทำยังไงหรือให้ฆ่ายังไง มันก็เหมือนกับว่าความเป็นมนุษย์มันต้องตัดสินจากตรงนี้ บางทีความสนิทมันจะต้องตัดสินอย่างใดอย่างหนึ่งลงไป และสุดท้ายหนุมานเขาก็ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ก็ต้องไปดูเองในหนังว่าเขาตัดสินใจยังไง แต่มันก็เป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างลำบากอยู่เหมือนกัน ในยุคสมัยนี้นะก็อยากให้ไปชมกันการ์ตูนแอนิมชั่นเรื่องยักษ์ตุลาคมนี้ครับผม
บันทึกภาพ: สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล