คุณเข้ามาเกี่ยวข้องกับโปรเจกต์ Woman of the Hour ได้อย่างไร เหตุใดถึงลงเอยเป็นผู้กำกับ
ทีแรก ฉันเข้ามาในฐานะนักแสดงและโปรดิวเซอร์ จำได้เลยว่าฉันบอกกับเพื่อนว่า “งานนี้ต้องออกมาดีมาก เพราะบทดี แต่ฉันไม่ต้องเล่นทุกฉาก งานไม่น่าจะหนักมาก” ตอนนั้นฉันไม่รู้ตัวเลยสักนิด ฉันคิดว่าพอผ่านไปสองปีระหว่างการพัฒนาโปรเจกต์นั่นแหละ ฉันเพิ่งมารู้ตัวว่าตัวเองทุ่มเทให้กับงานนี้มาก ปกติฉันมักจะโฟกัสที่บทของตนเอง แต่งานนี้ ฉันพบว่าฉันถามไถ่ทุกคนเลยว่าพวกเขารู้สึกยังไงบ้างกับงานนี้ ตั้งแต่ทีมโปรดิวเซอร์ถึงคนเขียนบท พอถึงวันที่น่าจะต้องเปิดกล้องแล้ว พวกเราก็พบว่า พวกเราพร้อมหมดแล้วยกเว้นยังหาผู้กำกับไม่ได้
พวกเราเลยช่วยกันคิดว่าจะชวนใครมากำกับดี ใครที่จะสนใจประเด็นนี้มากๆ ฉันจำได้ว่าสองวันแรกที่คุยกัน ความคิดก็ผุดขึ้นมาในหัวว่า ฉันนี่ไง แต่ฉันก็พยายามค้านความคิดนั้นในใจ ยิ่งคิดในใจก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังผลักตัวเองให้ยืนบนปากเหว
ฉันคิดว่าตัวเองพูดมันออกมาจากปากตอนที่ฉันคุยกับผู้กำกับคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของฉันให้มากำกับงานนี้ เขาอ่านบทแล้วพูดว่า “บทดีมากๆ ใจนึงผมก็อยากทำ แต่ผมคิดว่าคุณน่าจะอยากทำ และผมคิดว่าคุณควรทำเองนะ ผมว่าคุณพร้อมแล้ว พูดตรงๆ นะ คุณมัวรีรออะไรอยู่” คำพูดนั้นเหมือนเป็นคำอนุญาต ฉันเลยเตรียมพร้อมเข้าไปเสนอตัวเองในสองวันต่อมา
คุณอยากกำกับเพราะอยู่กับโปรเจกต์นี้มานาน หรืออยากกำกับเพราะคุณโปรดิวซ์หนังมาหลายเรื่องแล้ว คุณคิดอยากเป็นผู้กำกับตอนไหน หรือคุณแค่กำลังรอโอกาสเหมาะๆ ให้มาถึง
ฉันคิดในใจมานานแล้ว มันอยู่ในจิตใต้สำนึกมาตลอด ฉันมีความเชื่อว่าการเป็นผู้กำกับนั้นคุณจะต้องดึงพลังทุกส่วนออกมาใช้ ลึกๆ ฉันก็ปิดกั้นตัวเองด้วย เพราะฉันไม่มั่นใจเลยเวลาอยากทำอะไรสักอย่างแล้วต้องพูดออกมาดังๆ แม้แต่การพยายามบอกตัวเอง ดังนั้นการเป็นผู้กำกับก็เป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวฉันมานานมากแล้ว แต่ไม่กล้าพอที่จะยอมรับว่าอยากทำ จนกระทั่งมาเจอหนังเรื่องนี้ การที่สุดท้ายเรายังหาผู้กำกับไม่ได้ เป็นเหตุผลให้ฉันตัดสินใจกระโจนลงจากหน้าผา ซึ่งถ้ามีเวลาให้อ้อยอิ่งกว่านี้ ฉันคงร่ำไรขี้ขลาดและไม่ทำแน่
เนื้อหาในหนังไม่น่าใช่สิ่งที่คนคาดหวังว่าจะเป็นงานกำกับเรื่องแรกของคุณเลย เพราะมันดาร์คมาก!
ตลกดี ตอนที่ฉันขอร้องให้เพื่อนที่เป็นผู้กำกับอ่านบทเรื่องนี้ เขาบอกว่า “ผมดีใจมากเลยนะที่คุณจะกำกับ แต่ผมบอกตามตรงเลยว่า ผมเซอร์ไพรส์มากที่คุณให้ความสนใจโปรเจกต์นี้ ผมเข้าใจว่ามันมีประเด็นเกี่ยวกับผู้หญิงและความท้าทายต่างๆ ที่สืบเนื่องตามมา” เขายังพูดด้วยว่าฉากเปิดมันรุนแรงมากๆ
ตอนนั้นฟังแล้วฉันก็คิดหนักเลยนะ สุดท้ายฉันก็บอกกับตัวเองว่าฉันสามารถเข้าใจว่าทำไมหนังต้องเปิดเรื่องด้วยความรุนแรงแบบนั้น แม้มันจะดูไม่เหมือนกับภาพที่คนอื่นมองฉันเลย แต่ฉันรู้สึกเหมือนฉันเคยมีประสบการณ์การได้อยู่กับใครอีกคนที่ทำให้เรารู้สึกว่าไม่ปลอดภัยมาก่อน และมันน่าหวาดหวั่นแค่ไหนที่จู่ๆ ห้องที่เรารู้สึกว่าปลอดภัยและอบอุ่นกลับกลายเป็นความน่าสะพรึงกลัว
พวกฉากรุนแรง หรือมีกลิ่นอายความรุนแรงไม่ใช่ของแปลกใหม่สำหรับฉันเลย อันที่จริง ฉันเป็นคนยืนกรานเองว่าหนังต้องเปิดด้วยฉากนี้ บางคนเสนอว่าลองเปิดเรื่องด้วยอย่างอื่นดีไหม แต่ฉันคิดว่าต้องเปิดแบบนี้แหละ แม้ใครต่อใครจะมองฉันเป็นนักแสดงสาวผู้ร่าเริงก็ตามที ฉันเข้าใจที่คนอื่นคงประหลาดใจที่ฉันเลือกกำกับหนังเรื่องนี้ แต่สำหรับตัวฉันเอง ฉันเข้าอกเข้าใจประเด็นเหล่านี้ได้ดีมาก
คุณมีวิธีนำเสนอฉากรุนแรงอย่างไร เพราะบางฉากนั้นค่อนข้างรุนแรงทีเดียว แต่กลับไม่ทำให้รู้สึกว่าทำเพื่อความสะใจหรือสนองความต้องการทางเพศต่อผู้หญิงเลย
โดยหลักการ วิธีการของฉันคือ อะไรที่ดูสวยงาม ก็ทำมันออกมาให้สวยงาม อะไรที่เลวร้ายก็ควรออกมาเลวร้าย แต่ความรุนแรงในหนังไม่ค่อยนำเสนอออกมาตรงๆ หรือโจ่งครึ่ม ฉันอยากจะลบความรุนแรงออกไปโดยไม่ต้องทำให้รู้สึกว่ามันสะอาดเกินไป ความรุนแรงเป็นสิ่งที่น่ากระอักกระอ่วน เราไม่ควรดูความรุนแรงอย่างเพลิดเพลิน แต่บางครั้งการนำเสนอเป็นนัยๆ กลับส่งผลลัพธ์ทางอารมณ์ที่ดีกว่า
ฉันไม่ได้สนใจความรุนแรง แต่สิ่งที่ฉันสนใจคือวิธีการที่คนจะเอาตัวรอดจากคนที่อันตราย หรือระบบที่อันตราย บทของเอียน แม็คโดนัลด์เขียนได้น่าสนใจและสะเทือนอารมณ์มาก หลายฉากที่รุนแรงมันไม่ได้แสดงภาพที่รุนแรง สำหรับฉันแล้ว มันพูดถึงความสุ่มเสี่ยงที่จะโดนทำร้าย ที่เราเผลอเปิดใจให้คนแปลกหน้า มันรู้สึกเหมือนเป็นฉากเกี่ยวกับความอับอาย ใครควรต้องอับอาย ฉันต้องยอมอับอายเพื่อคุณหรือเปล่า เพื่อที่คุณจะได้ไม่ทำร้ายฉัน และคุณอาจจะทำร้ายฉันหนักแค่ไหนถ้าฉันไม่ทำ
ปรกติแล้วคุณชอบเรื่องคดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจริงไหม
ฉันคิดว่าหนังในแนวนี้มันน่าสนใจ เพราะว่าเราทุกคนอยากรับรู้รับฟังเรื่องร้ายๆ เอาไว้ เพราะสมองเราเชื่อว่าเราจะปลอดภัยหากเรารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคนที่อันตราย และคนแบบไหนที่อาจตกเป็นเหยื่อ มันเหมือนเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ติดตัวมาตั้งแต่แรก ฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดีว่าทำไมผู้คนมากมาย รวมถึงตัวฉันเอง ถึงอินกับเรื่องราวแบบนี้ บางทีมันอาจจะเติมเต็มจินตนาการที่ว่าเราสามารถทำให้ผู้กระทำความผิดเห็นว่า สิ่งที่พวกเขาทำนั้นผิด แต่ความจริงก็คือ คนเหล่านี้ไม่คิดแบบนั้น
เมื่อกี๊คุณบอกว่ามีไปปรึกษาเพื่อนที่เป็นผู้กำกับ พอจะบอกได้ไหมว่าคุณไปปรึกษาใครบ้าง
มีเยอะมากเลยที่ฉันต้องคอยถามคำแนะนำจากพวกเขา แต่บังเอิญว่าเพื่อนฉันอย่าง เจค จอห์นสัน และ บริททานีย์ สโนว ทั้งคู่เพิ่งกำกับหนังเรื่องแรกก่อนที่ฉันจะทำ Woman of the Hour ฉันส่งข้อความหาบริททานีย์ หนึ่งสัปดาห์ก่อนเราเริ่มถ่าย ฉันกังวลมาก ความมั่นใจต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แล้วเธอก็บอกฉันว่า “เธอทำได้อยู่แล้ว ตอนนี้เธอสติแตก แต่พอไปถึงหน้ากอง เธอก็จะรู้ว่าควรทำอะไร” ซึ่งก็ถูกของเธอนะ มันเหมือนเวลานักแสดงตื่นเวทีน่ะ มักจะกังวลว่า ฉันไม่กล้าขึ้นเวที ฉันไม่กล้าขึ้นเวที แต่ทันทีที่เสียงเพลงดังขึ้น คุณก็จะบอกตัวเองว่า เอาละ คงต้องขึ้นเวทีแล้ว แล้วคุณก็จะมีพลังฮึดขึ้นมา ส่วนเจคก็คอยให้คำปรึกษาตลอดสามเดือนก่อนหน้าที่ฉันถ่ายทำ ฉันโทรหาเขาเวลาเจอปัญหาใหม่ๆ และถามว่าจะรับมือยังไง มีอะไรที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นบ้างเวลาเป็นผู้กำกับ
บทเดิมของ Woman of the Hour ติดอยู่ในบท Black List ปี 2017 (Black List คือบทดีที่ไม่ถูกนำไปสร้างหนัง) ตอนนั้นใช้ชื่อว่า Rodney & Sheryl คุณทำงานกับมือเขียนบทอย่าง เอียน แม็คโดนัลด์ เป็นยังไงบ้าง
เอียนเก่งที่สุดเลย เขาน่ารักและฉลาด รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร สิ่งหนึ่งที่เราทำงานร่วมกันก็คือการเปลี่ยนตอนจบ ฉันเคยอ่านข้อมูลเกี่ยวกับเหยื่อคนหนึ่งของรอดนีย์ อัลคาลา เด็กสาวคนนั้นรอดชีวิตและวิธีที่เธอเอาตัวรอดมาได้ นั่นเป็นข้อมูลที่น่าสนใจมากสำหรับฉัน
มีเรื่องขำเรื่องหนึ่ง ฉันจำได้ว่าตอนนั้นฉันกับเอียนช่วยกันแก้บท จนกระทั่งวันหนึ่งฉันบอกกับเขาว่า “ฉันเขียนจดหมายให้คุณฉบับหนึ่ง ซึ่งฉันไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ และนั่นทำให้ฉันชอบคุณยิ่งกว่าเดิม ข้อความในนั้นเขียนว่า คุณมอบความสามารถให้กับผู้หญิงมากเกินไปแล้ว” (หัวเราะ) เขาตอบว่า “ผมขอโทษ! เอ๊ะ ต้องขอโทษใช่ไหม”
ฉันเข้าใจอย่างดีเลยว่าทำไมเขาถึงสร้างตัวละครผู้หญิงออกมาแบบนั้น มีหลายๆ ช่วงที่ผู้หญิงเหล่านั้นมีปฏิสัมพันธ์กับแฟนหนุ่มของพวกเธอ หรือกับพิธีกรรายการเกมโชว์ หรือกับตัวฆาตกร และพวกเขาก็พูดประโยคทำนองว่า “คุณทำให้ฉันอึดอัดแล้วนะ” แต่ฉันต้องบอกกับเขาว่า ผู้หญิงไม่พูดอะไรแบบนั้นหรอก เพราะมันไม่สมจริง และมันจะยิ่งทำให้พวกเธอตกอยู่ในอันตราย เขาเข้าใจความหมายของฉัน และเข้าใจว่าทำไมเราถึงต้องแก่้ไขฉากพวกนั้น
คลิปจริงของรายการ The Dating Game ตอนที่เชอรีล แบรดชวอ์ และ รอดนีย์ อัลคาลา ไปออก แทบไม่มีเหลืออยู่แล้ว มีบางส่วนที่คนไปอัปโหลดในออนไลน์เท่านั้น คุณสร้างฉากเหล่านั้นขึ้นมาใหม่อย่างไรบ้าง
ฉากการถ่ายทำรายการ The Dating Game น่าตื่นเต้นมาก เพราะเอียนใช้โอกาสนี้เขียนเวอร์ชันใหม่เพื่อแสดงสิ่งที่คนดูคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญนั้น โดยมากมักเป็นประโยคที่เราจะพูดกับตัวเองเวลาอาบน้ำหลังจากผ่านเหตุการณ์มาแล้วหนึ่งสัปดาห์ ทำนองนั้น และฉันยังสามารถพูดได้เร็วเท่าที่ใจต้องการโดยไม่มีใครมาสั่งให้ช้าลง บางทีฉันควรบอกตัวเองแบบนั้น แต่ฉันเมามันเกินไปหน่อย
เรารู้ว่าความจริงแล้ว รอดนีย์ อัลคาลา และ เชอรีล แบรดชอว์ ได้มีโอกาสคุยกันหลังจบรายการ ซึ่งทำให้เธอตัดสินใจไม่ไปออกเดตกับเขาแม้ว่าเธอจะชนะรางวัล เราไม่รู้หรอกว่าการสนทนานั้นเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นในหนังคือเรื่องที่เราจินตนาการเอาเองทั้งหมด การแสดงของ แดนนี โซวัตโต ทำให้ฉันหายใจไม่ออก นั่นเป็นเพียงวันที่สองของการถ่ายทำ ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะเล่นได้สมบทบาทขนาดนั้น มีบางเทคที่ฉันนั่งมองเขา แล้วบอกตัวเองในใจว่า “แอนนา อย่าขยับนะ อย่ากะพริบตาด้วย มีสิ่งน่าทึ่งกำลังเกิดขึ้น และถ้าเธอทำอะไรที่ไปกระทบการแสดงของเขา ฉันจะไม่ให้่อภัยเธอแน่”
แต่ฉันคิดว่าตัวเรื่องเองก็น่าสนใจมาก เพราะทำไมผู้ชายที่อันตรายและใช้ความรุนแรงแบบนั้นถึงไปออกรายการน่ารักๆ แบบ The Dating Game ซึ่งเป้าหมายคือการเลือกเฟ้นผู้ชายที่ดีที่สุดและชนะรางวัลไป ทำไมทุกอย่างมันกลับหัวกลับหางได้ขนาดนี้ ฉันคิดว่าเอียนขยายความอุปมาที่ว่า “คนน่ากลัวแอบอยู่หลังกำแพง” ออกมาได้อย่างสวยงาม และรายการ The Dating Game ก็ทำหน้าที่เป็นเหมือนแก่นเรื่องของหนังไปพร้อมกัน เราใช้ตัวรายการทีวีเป็นภาพแทนของการสำรวจประเด็นที่ว่ามันน่าสยดสยองเพียงใดเกี่ยวกับการถูกเฝ้ามอง การที่เรายอมให้ใครเข้ามาในชีวิต และความอ่อนแอนั้นส่งผลร้ายอย่างไร นำไปสู่คำถามว่า เราควรไว้ใจใครได้บ้าง
การรับบทเชอรีล ยากง่ายเพียงใด
เชอรีลเป็นตัวละครที่บทปั้นแต่งมากที่สุดของเรื่องเลย เพราะเรารู้ข้อมูลจริงเกี่ยวกับเธอน้อยมาก ดังนั้นชีวิตของเชอรีลก่อนมาออกรายการ The Dating Game จึงเป็นภาพจินตนาการของเราถึงผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งในยุค 1970 และเรื่องราวของเธอก็สร้างขึ้นเพื่อสะท้อนรากของปัญหาทางเพศที่อยู่ในสังคมเรามานานจนถึงทุกวันนี้
สิ่งที่ฉันชอบเมื่อได้มารับบท เชอรีล ก็คือการรักษาสมดุลในการประคับประคองชีวิตรอดไปได้ในโลกที่อันตรายเช่นนี้ – บางครั้งเหมือนชีวิตเธอแขวนอยู่บนเส้นด้าย – แต่ยังต้องพยายามยิ้มระรื่นให้คนรอบข้างได้ทุกวัน ไม่ว่าจะพวกผู้คัดเลือกนักแสดง ผู้กำกับ เพื่อนบ้าน หรือพิธีกรรายการโทรทัศน์ ฉันสนุกมากเลยที่ได้เห็นเธอเปลี่ยนตัวเองเป็นแบบนั้นทีแบบนี้ทีเพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ แสดงให้คนดูเห็นว่าเธอกำลังอึดอัด เธอกำลังซ่อความกลัวหรือความน่าเกรงขาม เวลาพูดประโยคนั้นๆ ออกมา
ด้วยเหตุผลนั้น ฉันเลยสนุกกับการได้เล่นอารมณ์ที่หลากหลาย และการได้ช่วงชิงอำนาจคืนมาระหว่างการอัดเทปรายการ มีบางจุดที่ฉันกังวลว่าสิ่งที่เธอทำในรายการ มันจะดูโอ้อวดหรือรู้ดีเกินไปไหม จากนั้นฉันก็รู้ว่า ถ้าฉันเล่นเหมือนฉันถามคำถามไปอย่างนั้นเอง และฉันไม่แคร์เลยถ้าผู้ชายพวกนั้นจะไม่รู้ความแตกต่างระหว่างนักพยากรณ์และนักดาราศาสตร์ ทำเหมือนแค่ถามไปเล่นๆ สนุกๆ แบบนั้นแหละมันจะยิ่งทรงพลัง เพราะบางทีอาจเป็นครั้งแรกในชีวิตของเชอรีลที่เธอสามารถถามคนอื่นได้แบบไม่ต้องเกรงกลัวใคร
คุณบอกแต่แรกว่าคุณชอบทุกขั้นตอนในการทำหนังเรื่องนี้ แต่ถ้าต้องเลือกแค่ส่วนเดียว คุณชอบอะไรในการกำกับ Woman of the Hour ที่สุด
ชอบการทำงานกับนักแสดงค่ะ ฉันรู้ว่าทุกแผนกในหนังมีความสำคัญ เพื่อให้หนังเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นมาได้ คุณต้องมีการออกแบบงานสร้างที่ดีเยี่ยม การถ่ายภาพที่ดีเยี่ยม เสื้อผ้าที่ดีเยี่ยม ซึ่งสิ่งเหล่านั้นต้องมี แต่เนื่องด้วยฉันเป็นนักแสดง หนังเรื่องหนึ่งจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยเรื่องที่ดีและการแสดงที่ดี
นักแสดงทุกคนที่แสดงออกมาได้ดีเยี่ยม ฉันพังแน่ถ้าใครคนใดคนหนึ่งทำออกไม่ดี ทุกคนต้องทำออกมาให้ดี และฉันทำงานกับนักแสดงอย่างดี ไม่มีอะไรจะมีความสุขเท่ากับการได้ดูนักแสดงเก่งๆ มอบการแสดงที่ยอดเยี่ยมอีกแล้ว ในชีวิตนี้ ฉันไม่เจออะไรที่ดีขนาดนั้นเลย
Woman of the Hour แตกต่างจากหนังฆาตกรต่อเนื่องเรื่องอื่นๆ ตรงนี้หนังเน้นเล่าเรื่องเหยื่อ คุณคาดหวังว่าหนังเรื่องนี้จะส่งผลต่อความรู้สึกคนดูอย่างไร โดยเฉพาะคนที่ชอบดูเรื่องราวที่สร้างคดีอาชญากรรม
เราต้องการจะหาสมดุลในการเล่าเรื่องที่สนุก โดยไม่พยายามจะไม่ผลิตซ้ำความไม่เป็นธรรมต่อเพศหญิง ที่มาจากการฆ่าของอัลคาลา สิ่งที่น่าหงุดหงิดที่สุดจากการรับรู้เรื่องคดีนี้ก็คือ ไม่มีใครสักคนคิดจะตามจับตัวเขา มีผู้กล้าหาญหลายคนพยายามออกมาเตือนว่าเขาเป็นคนอันตราย พยายามป่าวประกาศว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่มีใครสนใจ และไม่มีใครออกมาทำอะไรปกป้องเหยื่อ เรื่องราวลักษณะนี้ไม่มีตอนจบที่มีความสุข ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังจะพูดกับคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความกล้า และยอมโอนอ่อนผ่อนตามคนอื่น เพียงเพื่อให้ชีวิต การเงิน หรือจิตใจของตนเองไม่โดนกดขี่ทำร้าย มันเป็นหนังที่ทำเพื่อคนที่คิดว่า “ขอบคุณพระเจ้าที่ฉันเชื่อสัญชาตญาณตัวเอง” และสำหรับคนที่รู้ซึ้งถึงประโยคที่ว่า “รู้งี้ฉันน่าจะเชื่อสัญชาตญาณตัวเอง” ฉันหวังว่าหนังจะบอกให้พวกเขาให้อภัยตัวเอง ที่ทำเรื่องแบบนั้นไปเพียงเพราะต้องการเอาชีวิตรอด
มีเรื่องแบบไหนอีกบ้างที่คุณอยากจะลองทำเป็นหนัง
ฉันยอมรับว่าฉันแปลกใจที่ตัวเองชอบเรื่องราวที่มืดหม่น บทหนังที่ฉันได้รับมาส่วนใหญ่ ฉันชอบแตกต่างหลากหลาย แต่ฉันเพิ่งมาสังเกตว่าตัวเองชอบเรื่องของมนุษย์ที่มีข้อบกพร่อง และสิ่งนั้นทำให้กระทบคนรอบข้างตัวเขา แต่อีกส่วนหนึ่งของตัวฉันก็ชอบอะไรที่รื่นรมย์ ฉันจะยินดีมากหากใครส่งบทหนังตลกที่ฉันอ่านแล้วตกหลุมรักมาให้ได้ และฉันก็อยากจะกำกับมิวสิคัลใจจะขาด
เอียน แม็คโดนัลด์พูดถึงแอนนา เคนดริค
ในฐานะผู้กำกับ แอนนามีความทุ่มเทและพิถีพิถัน เธอสามารถลงลึกถึงความรู้สึกและพฤติกรรมของตัวละครในขณะที่ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องราวในองค์รวม เธอยังมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและไม่ประนีประนอม มันยิ่งสร้างความฮึกเหิมให้กับทีมงาน ผมบรรยายข้อดีของเธอไม่หมด…แปลกดีที่เราทั้งคู่เติบโตในรัฐเมน บ้านอยู่ห่างกันประมาณ 15 นาที และเรายังเคยอยู่ในงานเทศกาลคริสต์มาสด้วยกันตอนเด็กๆ และพ่อของเธอก็เคยทำงานเป็นครูสอนแทนที่โรงเรียนมัธยมของผมด้วย ผมรู้สึกเหมือนทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้ว
เอียน แม็คโดนัลด์พูดถึงการเขียนบท
ความท้าทายที่สุดในงานนี้ก็คือ เราจะเขียนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงอย่างไรโดยไม่พยายามบิดเบือนเพื่อเร้าอารมณ์ หนังฆาตกรโรคจิตก็เหมือนกับหนังสงคราม มันมักนำเสนอภาพที่บันเทิง ทั้งที่มันควรเป็นสิ่งที่เราควรประณาม นั่นเป็นกับดักที่ผมพยายามจะไม่ตกลงไป ผมอยากจะให้เกียรติคนที่รอดนีย์ฆ่า ให้บทบาทสำคัญกับพวกเขา แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเหล่านั้นมีชีวิต มีเรื่องราวของตนเอง ไม่ได้เป็นเพียงเหยื่อของฆาตกรคนหนึ่ง
เกร็ดการถ่ายทำ
Woman of the Hour ถ่ายทำในเวลา 24 วันที่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา “ในแง่ของการจัดการงานสร้างนั้นท้าทายมาก เรากำลังพยายามสร้างลอสแอนเจลิสในยุค 1970 ในฤดูหนาวของแคนาดาในปัจจุบัน และเรามีเวลา 24 วันในการสร้างทุกอย่าง สำหรับฉากรายการ The Dating Game เราต้องถ่ายทำบทละคร 25 หน้าเพื่อการปูตัวละคร และเนื่องด้วยวันถ่ายที่จำกัด เราถ่ายได้แค่เทคเดียวเท่านั้น” เคนคริคเล่า
เบรนท์ โธมัส ผู้ออกแบบงานสร้าง ตั้งใจที่จะไม่ลงรายละเอียดที่เจาะจงยุคสมัยมากเกินไป “หลักการทำงานของผมในฐานะโปรดักชันดีไซเนอร์คือการสร้างอารมณ์ให้เรื่องผ่านฉาก ไม่ใช่เพียงแค่สร้างให้สมจริงเฉยๆ หนังเรื่องนี้บอกเล่ามุมมองของผู้หญิง สิ่งสำคัญคือ มันพูดถึงการเหยียดเพศที่เป็นระบบและเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า และแม้ว่าจะเกิดขึ้นในยุค 1970 แต่ก็ยังเกิดขึ้นกับผู้คนจำนวนมากในปัจจุบัน ในฐานะโปรดักชันดีไซเนอร์ มันเป็นโอกาสที่เราจะเล่นสนุกกับการใช้สี บรรยากาศ และรายละเอียดที่เป็นส่วนหนึ่งของยุค 70 – เพราะมันเป็นยุคที่ฉูดฉาด แต่ผมไม่ต้องการให้คนดูรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องของยุค 70 ผมไม่อยากให้ความงามของฉากทำให้คนดูเห็นเป็นสิ่งล้าสมัย และหลงลืมที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องราวที่ยังไม่ล้าสมัยไป”
ตลอดหนังทั้งเรื่อง “จะมีภาพการมองผ่านวัตถุหรือกระจกที่ทำให้สิ่งที่อยู่ด้านอีกฝั่งไม่ชัดเจนหรือเบลอบ่อยครั้ง — ในเชิงแก่นเรื่อง มันอธิบายถึงภาวะที่เราไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้อย่างชัดเจนหรือแม่นยำว่า ‘อะไรอยู่ข้างหน้า’ หรือ ‘อะไรอยู่ด้านหลัง’ — และฉากของรายการ The Dating Game ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ด้วยลวดลายกระจกแบบมอนดรีอานที่ทำให้ผู้เข้าร่วมเล่นเกม มองเห็นแค่รูปร่างที่คลุมเครือของคู่แข่งคนอื่น ๆ’ เบรนท์ โธมัส อธิบาย
ฉากรายการ The Dating Game ยังเปิดโอกาสให้สร้างโลกที่มีลักษณะกึ่งแฟนตาซี อย่างที่เคนดริค บอก ‘ฉากเกือบจะมีสีสันมากเกินไป สว่างเกินไป และผู้กำกับของเรา แซ็ค คูเปอร์สไตน์ ก็เปลี่ยนจากเลยส์ Master Primes มาใช้เลนส์ Zeiss ที่ปรับใหม่เฉพาะสำหรับฉากเกมโชว์ เราต้องการให้ฉากมีความรู้สึกหวานเยิ้ม ราวกับว่าทุกความหวานนั้นกำลังซ่อนสิ่งที่เน่าเสีย และเมื่อเชอรีลตัดสินใจที่จะเล่นนอกกติกา ภาพที่จับใบหน้าของเธอเริ่มมีเสน่ห์ที่สุด ระยะโฟกัสจะยาวขึ้น การตัดต่อจะเร็วขึ้น เกิดแสงสะท้อนจากเลนส์ และแม้จบรายการ เชอรีลจะอยู่ในกรอบที่มีสีสันสวยงามและโบเก้ (ภาพพื้นหลังไม่ชัด) ไม่ว่าจะเป็นเทียนราคาถูกในบาร์หรือไฟท้ายในลานจอดรถ และเมื่อเนื้อเรื่องเริ่มเปลี่ยนทิศทาง บาร์และลานจอดรถแห่งเดียวกันจะรู้สึกเหมือนเป็นพื้นที่ที่น่ากลัว โลกจะกลับมาเหมือนสิ่งที่มันเป็นจริง ๆ นั่นคือเป็นสถานที่อันตราย”
สำหรับดนตรีประกอบ นักประพันธ์เพลง แดน โรเมอร์ และ ไมค์ ทุชชิโล ค้นพบวิธีในการนำเสียงของผู้หญิงมาปรับแต่งให้กลายเป็นเสียงที่น่าขนลุก ซึ่งทำหน้าที่เป็นการแอบเตือนภัยให้กับจิตใต้สำนึกของผู้ชม เสียงร้องทั้งหมดมาจากเสียงของนักแสดงหญิงในภาพยนตร์ เคนดริคเล่าว่า “ตลกดีที่ฉันจ้างนักร้องโดยไม่ได้ตั้งใจ นักแสดงหญิงทุกคนในเรื่องเป็นนักร้องกันหมดเลย แถมเป็นนักร้องที่มีเสียงดีเป็นเอกลักษณ์ด้วย…เราให้พวกเธอมารวมตัวกันในห้องและร้องเพลงไม่มีท่วงทำนองออกมาสดๆ มันจึงกลายเป็นส่วนผสมระหว่างความไม่ลงตัวและความกลมกลืน และมันสร้างเสียงที่น่าขนลุก ทุกครั้งที่คุณคิดว่าสิ่งที่เห็นกำลังจะกลายเป็นสิ่งที่สวยงาม มันจะเปลี่ยนไปอีกครั้งและกลายเป็นสิ่งที่ชวนให้กระอักกระอ่วนใจ…โดยไอเดียก็คือ ผู้หญิงทั้งหมดถูกทำร้ายโดยผู้ชายคนนี้ และพวกเธอกำลังพยายามส่งเสียงร้องออกมาผ่านหน้าจอ”
Woman of The hour รู้ไหมใครโหด
วันนี้ในโรงภาพยนตร์
เบื้องหลังการทำงานคุยกับ แอนนา เคนดริก
บันทึกภาพ: ฝ่ายประชาสัมพันธ์